Group Blog
 
All blogs
 

อะแคนทะมีบา ภัย คอนแทคเลนส์

ดวงตา คือ หน้าต่างที่ทำให้เรามองเห็นโลกกว้าง ถ้าไม่ดูแลรักษาให้ดี ก็อาจทำให้เราก้าวเข้าสู่โลกมืด หรือมีความผิดปกติทางสายตารุนแรงโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะหากละเลยข้อควรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ก็อาจเป็นเหมือนการเปิดประตูต้อนรับสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่มองไม่เห็นอย่าง อะแคนทะมีบา เข้ามารุกรานและทำอันตรายต่อดวงตา

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ศ.พญ.พนิดา โกสียรักษ์วงศ์ ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า อะแคนทะมีบา เป็นโปรตัวซัวแบบเซลล์เดียวที่อาศัยอยู่ในน้ำและดิน มีช่วงชีวิต 2 แบบ คือ

1. แบบ ซีสต์ มีขนาด 10-25 ไมครอน เมื่ออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เพียงแต่จะฝังตัวอยู่นิ่ง ๆ

2. แบบ โทรโฟซอยต์ ที่เคลื่อนไหว มีขนาด 15-45 ไมครอน จะเปลี่ยนรูปร่างจาก ซีสต์ มีฤทธิ์ทำลายดวงตา

อย่างไรก็ตาม เชื้ออะแคนทะมีบา ทั้ง 2 แบบ สามารถทนทานอยู่ได้นานในสิ่งแวดล้อมทุกรูปแบบ เช่น หนาวจัด ร้อนจัด แห้งแล้ง ขาดอาหาร สระว่ายน้ำที่ใส่คลอรีน หรือแม้แต่บ่อน้ำร้อน


เกี่ยวข้องอย่างไรกับคนใส่คอนแทคเลนส์

ส่วนใหญ่ร้อยละ 70 ในคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ สามารถพบกระจกตาอักเสบเนื่องจากติดเชื้ออะแคนทะมีบาได้ โดยส่งผลทำให้เกิดอาการ ดังนี้ ปวดตามาก สู้แสงไม่ได้ กระจกตาขุ่น ฝ้า เป็นแผลอักเสบที่กระจกตา ในบางรายดูคล้ายอักเสบเนื่องจากติดเชื้อไวรัสเริม


วิธีรักษา

ควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด ในส่วนของการรักษา โดยทั่วไปจะต้องหยอดตาด้วยยาฆ่าเชื้อนี้โดยเฉพาะ ซึ่งจะต้องผสมจากน้ำยาบางชนิดที่ไม่มีขายในท้องตลาด โดยจะต้องหยอดตาบ่อย ๆ เป็นเวลานานหลายเดือน หรืออาจเป็นปี และเฝ้าติดตามดูอาการเป็นระยะ ๆ นานหลายปี
เนื่องจากเชื้ออะแคนทะมีบาสามารถมีชีวิตอยู่ในรูปแบบของซีสต์ได้นานหลายสิบปี ดังนั้นเมื่อใดที่ร่างกายอ่อนแอหรือมีเชื้อโรคที่ไปเป็นอาหารชั้นดีของเชื้ออะแคนทะมีบา ซีสต์ดังกล่าวก็จะแปลงร่างเป็นโทรโฟซอยต์ทำให้ดวงตาอักเสบทันที


ทำอย่างไรไม่ให้ติดเชื้อ

1. ล้างมือทำความสะอาดโดยการฟอกสบู่หลาย ๆ ครั้ง ก่อนหยิบจับคอนแทคเลนส์

2. น้ำยาทำความสะอาดล้างเลนส์ ควรใช้ให้หมดภายใน 1 เดือน ไม่เก่าเก็บเกิน 2 เดือนหลังจากเปิดใช้แล้ว

3. ขัดถูล้างเลนส์ทั้ง 2 ด้านเป็นเวลาพอสมควร ตลอดจนล้างขัดถูตลับแช่เลนส์ให้สะอาดทุกครั้งก่อนใส่น้ำยาแช่เลนส์ที่เปลี่ยนใหม่ทุกวัน เพราะโรคนี้มักพบในคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ชนิดนิ่มบ่อยกว่าชนิดแข็ง โดยเฉพาะไม่ล้างทำความสะอาดเลนส์ทุกวันหรือใส่นอน

4. ควรนำตลับแช่เลนส์อบไมโครเวฟทุก 2-3 สัปดาห์ และเปลี่ยนตลับใหม่ทุก 2-3 เดือน เนื่องจากเชื้อโรคนี้อยู่ทนทาน


หากมีอาการหรือพฤติกรรมต่อไปนี้ อย่าใส่คอนแทคเลนส์

1.เปลือกตาอักเสบ

2.ตาแห้ง

3.เป็นโรคภูมิแพ้

4.ไม่มีเวลาดูแลล้างทำความสะอาดคอนแทคเลนส์


เนื่องจากเชื้ออะแคนทะมีบา เป็นสาเหตุสำคัญของอาการกระจกตาอักเสบ และยังส่งผลให้เกิดแผลที่ดวงดา ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ มีความอดทนต่อยาที่ใช้รักษาทุกชนิด ทำให้ต้องหยอดยาเป็นเวลานาน และในบางรายอาจไม่ตอบสนองต่อยา เป็นผลให้เชื้ออาจมีการลุกลามไปทั่วทั้งกระจกตา จนเกิดอาการอักเสบทั้งลูกตาได้

การรักษาต้องหยอดยาเป็นเวลานาน ถ้ามีอาการอักเสบมาก จักษุแพทย์จะทำการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาให้ แต่ก็สามารถกลับมามีเชื้อชนิดนี้ได้อีก จึงต้องเฝ้าติดตามดูอาการเป็นเวลานาน และในบางรายอาจมีอาการหนักถึงขั้นที่ต้องได้รับการผ่าตัดเอาลูกตาออกในที่สุดแม้ว่าจะผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาแล้วก็ตาม เนื่องจากสามารถกลับมามีเชื้อชนิดนี้ได้อีก

ดังนั้น การใส่คอนแทคเลนส์แล้วปฏิบัติตัวไม่ถูกวิธี มีสิทธิติดเชื้อจนตาบอดได้ ยิ่งเห่อใส่ตามแฟชั่น ยิ่งต้องควรระวังมากกว่าปกติ เพราะหากดูแลดวงตาและรักษาคอนแทคเลนส์ไม่ถูกวิธี อาจมีเชื้อโรคเข้าสู่ดวงตาได้ง่าย หรือแค่ฝุ่นละอองปลิวเข้าตา ก็อาจพาเชื้อ อะแคนทะมีบา เข้าไปได้ด้วยเหมือนกัน ส่วนผู้ที่ไม่มีเวลาทำความสะอาดล้างเลนส์ แนะนำให้ใส่ชนิดรายวันแล้วทิ้ง หรือเปลี่ยนเป็นใส่แว่นตาจะปลอดภัยกว่า เพื่อให้ดวงตาคู่สวยของคุณมองเห็นโลกสดใสและจะอยู่คู่ชีวิตคุณได้ตลอดไป.


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์




 

Create Date : 01 ธันวาคม 2552    
Last Update : 1 ธันวาคม 2552 10:09:03 น.
Counter : 998 Pageviews.  

ตะเกียบอนามัย อันตรายกว่าที่คิด

อุปกรณ์หนึ่งในการกินก๋วยเตี๋ยวที่จะขาดเสียไม่ได้เลย ก็คือ "ตะเกียบ" โดยผู้ประกอบการร้านอาหาร ส่วนใหญ่นิยมใช้ "ตะเกียบอนามัย" ชนิดใช้แล้วทิ้ง

ฟังชื่อแล้วทําให้มั่นใจว่าจะได้ตะเกียบที่สะอาด ปลอดภัย แต่แท้จริงแล้วตะเกียบชนิดนี้เป็นที่สะสมของสารเคมีอันตรายหลายชนิด โดยเฉพาะ "สารฟอกขาว" ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับที่ใช้แช่ถั่วงอก ที่มีสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์เป็นส่วนประกอบ เมื่อสารชนิดนี้ถูกน้ำร้อนหรือของที่มีอุณหภูมิสูงจะเปลี่ยนเป็นสารซัลฟูริก ชนิดเดียวกับที่ใช้ในแบตเตอรี่รถยนต์

เมื่อเราใช้ตะเกียบที่มีสารฟอกขาว ในอาหารที่ร้อนจัด เช่น สุกี้ หม้อไฟ หมูกระทะ เป็นต้น จะทําให้สารดังกล่าวละลายออกมาจากตะเกียบ ปะปนในอาหาร

ในรายที่แพ้ง่ายหรือเป็นโรคหอบหืดจะมีอาการแสดงทันทีที่ได้รับสารนี้เข้าไป ส่วนในคนที่ร่างกายแข็งแรงจะยังไม่แสดงอาการ แต่จะค่อยๆ สะสมในร่างกาย ทําให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง จึงมีโอกาสเกิดโรคต่างๆ ได้ง่ายกว่าปกติ เพราะร่างกายไม่มีภูมิต้านทาน หากได้รับสารสะสมนานเข้าอาจกระตุ้นให้เกิดโรคมะเร็ง

เพื่อความปลอดภัยเมื่อต้องใช้ตะเกียบ

วิธีการที่ช่วยให้เราเลี่ยงจากพิษภัยของสารเคมีในตะเกียบ เมื่อต้องใช้ตะเกียบกินของร้อนๆ สามารถป้องกันได้ด้วยการนําตะเกียบไปแช่ในน้ำร้อนก่อนประมาณ 3-4 นาที แล้วเทน้ำทิ้งไป จึงค่อยนําตะเกียบมาใช้

แต่ในความเป็นจริงการแช่ตะเกียบตามร้านอาหาร หรือร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางค่อนข้างยุ่งยาก และคนขายไม่อยากทําให้

ทางที่ดีคือ เราอาจนําตะเกียบส่วนตัวไปใช้เอง หรือทําความสะอาดตะเกียบให้เรียบร้อยก่อนนํามาใช้ จะได้ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ



ที่มา sanook.com




 

Create Date : 26 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2552 10:05:09 น.
Counter : 397 Pageviews.  

เตือนใช้เจลทินต์ทาในปาก เสี่ยงแพ้อาจถึงขั้นมะเร็ง

เลขาธิการ อย. เตือน วัยรุ่นใช้เจลทินต์ทาในปากและแก้มให้ดูสวยใส เซ็กซี่ ต้องเลือกที่มีมาตรฐานเชื่อถือได้ เพราะอาจมีสีอันตรายห้ามใช้ ทำให้เกิดอาการแพ้ ปากบวม เสี่ยงเป็นมะเร็งได้

ด้านแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง เผยสีลิปสติกกลุ่ม "ส้ม-ชมพู-แดง" ผู้ใช้แพ้มากที่สุด แต่ละปีจะมีคนแพ้ลิปสติก ปากเจ่อ เฉลี่ยปีละประมาณ 100 ราย

นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เครื่องสำอางที่กำลังฮิตในหมู่วัยรุ่นไทยขณะนี้คือ เจลสีที่วัยรุ่นเรียกว่าทินต์ (tint) เพื่อให้ปากมีสีอมชมพูระเรื่อ หรือออกโทนส้มอ่อน ดูแล้วจะให้ความรู้สึกว่าเป็นคนมีสุขภาพดี มีเลือดฝาดดี มีความสวยเป็นธรรมชาติ และทาลิปกลอสทับเพิ่มความมันวาว หรือเพิ่มความเซ็กซี่ จึงมีผู้ผลิตออกมาจำหน่ายหลากหลายยี่ห้อ วางขายตั้งแต่ห้างร้านราคาแพงลงไปถึงตามตลาดนัดราคาถูก

การใช้ทินต์แตกต่างจากลิปสติกทั่วไป ซึ่งมักจะทาที่ริมฝีปาก แต่การใช้ทินต์นั้นน่าเป็นห่วงมาก เพราะมีโอกาสที่วัยรุ่นจะกลืนกินสีที่เป็นส่วนผสมในเจลทินต์เข้าไปในร่างกายง่ายกว่า

เนื่องจากจะใช้ทินท์ป้ายเข้าไปในริมฝีปากด้านในทั้งบนและล่าง ซึ่งเป็นเยื่อบุที่บอบบาง หากเป็นสีที่ไม่ใช่สีที่ใช้ผสมอาหาร เป็นสีต้องห้ามอันตราย หรือสีไม่ได้มาตรฐาน สารที่อยู่ในสีก็จะซึมเข้าไปตามเยื่อบุปาก และถูกกลืนกินเข้าไปในร่างกายได้ง่าย ทำให้มีความเสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง ซึ่งจากผลทดสอบทางห้องปฏิบัติการพบว่า สามารถก่อมะเร็งในสัตว์ทดลองได้ ดังนั้น การเลือกใช้จึงต้องพิถีพิถันในเรื่องคุณภาพเป็นพิเศษ

นพ.พิพัฒน์ กล่าวอีกว่า กองเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย อย. ได้ทำการตรวจสอบเครื่องสำอางประเภทลิปสติกในรอบ 3 ปีมานี้ โดยเน้นตัวอย่างในแหล่งชุมชนที่มีการจำหน่ายสินค้าราคาถูก และในจังหวัดที่ติดเขตแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน จำนวน 693 ตัวอย่าง พบสีห้ามใช้ 164 ตัวอย่าง โดยลิปสติกที่ฉลากไม่ครบถ้วนหรือเป็นภาษาต่างประเทศ พบสีห้ามใช้ถึงร้อยละ 39 ซึ่งมีความผิดตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ.2535 ดังนั้น วัยรุ่นที่คิดจะใช้เครื่องสำอาง จึงควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ มีความปลอดภัย โดยดูจากบรรจุภัณฑ์ที่สะอาด ปิดผนึกแน่นหนา ที่สำคัญต้องมีฉลากระบุส่วนผสมสำคัญ แหล่งผลิต ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า ข้อแนะนำการใช้อย่างชัดเจน เครื่องสำอางที่แบ่งบรรจุไม่มีฉลากไม่ควรซื้อมาใช้อย่างเด็ดขาด

ด้าน นพ.จิโรจ สินธวานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กล่าวว่า ลิปสติกเป็นเครื่องสำอางที่ใช้แต่งริมฝีปาก เพื่อให้ความชุ่มชื้น ทำให้ริมฝีปากสวยงาม และปกปิดความบกพร่องของริมฝีปาก หากลิปสติกมีส่วนผสมของสารต้องห้าม เช่น สารนิเกิล โลหะหรือสารตะกั่ว ซึ่งจะอยู่ในสีที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรม ก็จะก่อให้เกิดอาการระคายเคืองอย่างรุนแรง เกิดพิษรุนแรง และพิษดูดซึมเข้าระบบทางเดินอาหาร ทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ตาพร่ามัว หรือทำให้ริมฝีปากปวดแสบปวดร้อน คัน เห่อแดง บวม หรือลอกเป็นขุย อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นลิปสติกที่ได้มาตรฐานทั่วไป แต่การใช้ลิปสติกทาบนริมฝีปากซึ่งเป็นเนื้อเยื่ออ่อน วันละหลายครั้ง และสัมผัสริมฝีปากเป็นเวลานานๆ ก็อาจทำให้เกิดการแพ้ได้ง่ายกว่าผิวหนังบริเวณอื่น โดยสาเหตุของการแพ้นั้นมาจากน้ำหอมที่เป็นส่วนผสมในลิปสติก หรืออาจมีสารบางชนิดกระตุ้นให้เกิดการแพ้

นอกจากนี้ สีในลิปสติกบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากับแสงแดด ทำให้เกิดผื่นผิวหนังอักเสบ ส่วนลิปสติกที่มีไขมันและน้ำมันน้อยอาจทำให้ริมฝีปากแห้งแตก ทำให้แพ้ง่าย เป็นต้น โดยระยะในการแพ้จะอยู่ในช่วง 7-10 วัน ที่ผ่านมาพบว่าสีลิปสติกที่ทำให้ผู้ใช้แพ้มากที่สุด ได้แก่ กลุ่มที่ให้สีสด คือ สีส้ม ชมพู และสีแดง แต่การแพ้นั้นไม่ได้เกิดทุกคน แต่ละปีจะมีคนแพ้ลิปสติก ปากเจ่อ พบแพทย์ที่สถาบันโรคผิวหนังเฉลี่ยปีละประมาณ 100 ราย

ปกติวัยรุ่นมักจะมีริมฝีปากเป็นสีที่เป็นธรรมชาติสวยอยู่แล้ว เพราะเป็นวัยที่มีสุขภาพดี การดูแลความสะอาดริมฝีปาก และทาลิปมันหรือลิปกลอสเพื่อให้ความชุ่มชื้นจึงเพียงพอแล้ว และหากมีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะยิ่งช่วยให้ระบบการสูบฉีดเลือดในร่างกายดี ทำให้ปากและแก้มเป็นสีชมพูตามธรรมชาติยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ควรเลือกกินอาหารที่มีสารอาหารและวิตามินครบถ้วน ดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้ปากชุ่มชื้น หากต้องการจะใช้เครื่องสำอาง ขอให้เลือกเครื่องสำอางที่มีคุณภาพเชื่อถือได้ มีการรับรองมาตรฐานถูกต้อง และควรสังเกตอาการแพ้ด้วย เพราะมีโอกาสเกิดขึ้นได้ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนังกล่าว.


ที่มา ไทยโพส




 

Create Date : 15 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2552 9:50:11 น.
Counter : 349 Pageviews.  

เตือนภัย "ไมโครเวฟ" ใช้ผิดวิธีโดยไม่ระมัดระวัง อาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรง

ปัจจุบัน ไมโครเวฟเป็นเครื่องไฟฟ้าที่ช่วยอำนวยความสะดวกและแทบทุกครัวเรือนมีอยู่ติดบ้าน แต่ถ้าไม่ระมัดระวังอาจก่อให้เกิดอันตรายขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย จึงออกประกาศเตือนข้อแนะนำการใช้ไมโครเวฟอย่างถูกวิธี

นายอนุชา โมกขะเวส อธิบดีกรมป้อง กันและบรรเทาสาธารณภัย กล่าวว่า "เตาไมโครเวฟ" เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการปรุงและอุ่นอาหาร แต่หากใช้อย่างไม่ถูกวิธีอาจได้รับอันตรายจากคลื่นไมโครเวฟ หรือถูกไฟฟ้าดูด ไฟฟ้าชอร์ต ระเบิด หรือเพลิงไหม้ได้ จึงขอแนะนำวิธีใช้เตาไมโครเวฟอย่างถูกต้องและปลอดภัย เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ดังนี้

1. นำอาหารที่จะปรุงหรืออุ่นใส่เตาไมโครเวฟ และปิดประตูให้สนิท ตั้งอุณหภูมิและเวลาให้เหมาะสมกับลักษณะของอาหาร แล้วปล่อยให้เครื่องทำงานไปจนครบกำหนดเวลาที่เตาจะปิดเครื่องเองโดยอัตโนมัติ อย่าเปิดประตูก่อนที่เครื่องจะตัดการทำงาน

2. ไม่ยืนใกล้ๆ หรือแนบหน้าดูอาหารในเตาไมโครเวฟ เพราะอาจได้รับอันตรายจากคลื่นไมโครเวฟที่รั่วไหลออกมา รวมถึงไม่นำอาหารที่อุ่นในเตาไมโคร เวฟบรรจุไว้ในภาชนะที่ติดไฟง่าย เช่น จานกระดาษ กระดาษฟอยล์ ภาชนะโลหะมีขอบเคลือบเป็นโลหะมันวาว แก้วคริสตัล และห้ามนำวัตถุเคมี กระดาษ ดอกไม้แห้ง ผ้าหรือวัสดุติดไฟง่าย สมุนไพรแห้ง ไข่ดิบทั้งฟอง อาหารที่บรรจุในภาชนะสุญญากาศมาอบหรืออุ่นในเตาไมโครเวฟ เพราะอาจเกิดการระเบิดจนติดประกายไฟและเกิดเพลิงไหม้ได้

3. ขณะอุ่นอาหารในเตาไมโครเวฟ ควรเจาะรูอาหารที่บรรจุในภาชนะที่ปิดมิดชิด เพื่อให้ไอน้ำในอาหารระเหยได้ง่าย จะช่วยป้องกันการพองตัวและการระเบิดของอาหาร สำหรับวิธีการต้มน้ำ ห้ามต้มน้ำในภาชนะผิวเรียบ เซรามิกหรือแก้วด้วยเตาไมโครเวฟ เพราะน้ำที่ต้มอาจระเบิดได้ เนื่องจากน้ำที่ต้มด้วยเตาไมโครเวฟมีอุณหภูมิสูงกว่าจุดเดือดของน้ำปกติโดยไม่มีอาการเดือดแสดงให้เห็นแต่อย่างใด เมื่อยกน้ำที่ต้มเดือดออกจากเตาไมโครเวฟ ให้ปล่อยทิ้งไว้สักประมาณ 30 วินาที - 1 นาที จึงค่อยเปิดฝาภาชนะ เติมชา กาแฟ หรือใช้ช้อนคนน้ำ เพราะหากน้ำถูกรบกวนในทันทีที่ยกน้ำออกจากเตาไมโครเวฟจะทำให้น้ำเดือดอย่างฉับพลัน จนเกิดเป็นระเบิดน้ำเดือดขนาดย่อมพุ่งกระเด็นใส่ร่างกาย ทำให้ได้รับบาดเจ็บถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นบางส่วน เกิดแผลพุพองตามใบหน้าและร่างกาย

หลังใช้เตาไมโครเวฟเสร็จเรียบร้อยแล้ว ควรสวมถุงมือทุกครั้งที่นำภาชนะออกจากเตาไมโครเวฟ เพื่อป้องกันอันตรายจากความร้อนของภาชนะ ห้ามนำเตาไมโครเวฟที่ชำรุด หรือมีไฟฟ้ารั่วมาใช้งาน รวมถึงติดตั้งสายดินกับเตาไมโครเวฟ เพื่อป้องกันไฟฟ้าดูดในขณะนำอาหารเข้าและออกจากเตาไมโครเวฟ

ที่มา ข่าวสด




 

Create Date : 15 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2552 9:28:24 น.
Counter : 639 Pageviews.  

เรื่องใกล้ตัวทำหูคนยุคใหม่ป่วย

ศาสตราจารย์เกียรติคุณแพทย์หญิงสุจิตรา ประสานสุข ที่ปรึกษาอาวุโสศูนย์โสตประสาทการได้ยินกรุงเทพฯ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เล่าถึงสาเหตุที่ทำให้คนสมัยนี้เป็นโรคเกี่ยวกับหูกันมากขึ้น คุณหมอมีคำอธิบายค่ะ

1.การดำน้ำ

การดำน้ำทำให้ออกซิเจนและเลือดไปเลี้ยงหูชั้นในน้อยลง ซึ่งในหูชั้นในจะมีอวัยวะเกี่ยวกับการทรงตัวอยู่ เมื่อเลือดหรือออกซิเจนไปเลี้ยงไม่พอ อวัยวะเหล่านั้นก็ทำงานได้น้อยลงหรือไม่ทำงานเลย ก่อให้เกิดอาการ เวียนหัว บ้านหมุน

สองคือ ร่างกายไม่สามารถปรับความดันในหูได้ เพราะการดำน้ำทำให้ความดันในหูเปลี่ยนแปลง เมื่อความดันภายในช่องหูต่างจากความดันภายนอก จึงรู้สึกหูอื้อและปวดหู

สุดท้ายคือ ขี้หูอมน้ำ ซึ่งปัจจัยนี้เกิดกับคนที่ว่ายน้ำด้วย เพราะขี้หูคนเรามีส่วนประกอบส่วนใหญ่ที่ไม่ละลายน้ำ และส่วนน้อยที่ละลายน้ำได้ปะปนกัน เมื่อโดนน้ำจึงทำให้ขี้หูพองตัวในรูหู ทำให้ได้ยินเสียงไม่ชัดและอาจมีอาการคันด้วย ซึ่งตรงกับอาการที่ฉันเป็นตอนนี้ คนที่ว่ายน้ำก็อาจมีอาการนี้ด้วยเช่นกัน

วิธีป้องกันเบื้องต้น

ผู้ที่ดำน้ำได้จะต้องไม่มีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้มาก่อน โดยเฉพาะโรคภูมิแพ้อากาศและหอบหืด เพราะระบบท่อระบายอากาศในหูชั้นกลางของผู้ที่มีอาการดังกล่าวทำงานไม่ดี หากไปดำน้ำ เยื่อบุผนังท่อระบายอากาศในหูชั้นกลางอาจบวม ส่งผลให้ระบบการปรับความดันในหูไม่ดี

ผู้ที่เพิ่งเดินทางลงจากเครื่องบินไม่ควรดำน้ำในทันที เพราะหูยังปรับความดันไม่ได้ ควรรอประมาณ 1-2 วัน จึงจะดำน้ำได้

ใส่ที่อุดหูสำหรับว่ายน้ำเพื่อป้องกันน้ำเข้าหู และใช้คอตตอนบัทซับน้ำบริเวณใบหูรอบนอกเท่านั้น หากขึ้นจากน้ำแล้วมีอาการหูอื้อ หรือหูดับ (สูญเสียการได้ยินเสียงแบบฉับพลัน) ต้องรีบพบแพทย์ทันที ส่วนการรักษาอาการของฉันนั้นไม่ยาก เพียงแค่ดูดเอาขี้หูออกเท่านั้น

2. หูฟังเครื่องเล่นเสียงพกพา

คุณหมอบอกว่า เดี๋ยวนี้มีคนหูเสื่อมจากการฟังเสียงผ่านหูฟังกันมากขึ้น โดยเฉพาะวัยรุ่นทั้งที่เด็กกลุ่มนี้อาจไม่เคยเข้าผับ แต่ก็ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับการได้ยินกันมาก ซึ่งมีสาเหตุได้หลายอย่างดังนี้

เซลล์ประสาทหูและเซลล์ขนในหูถูกทำลาย เพราะการใส่หูฟังเข้าไปในรูหูซึ่งใกล้กับหูมาก ก่อให้เกิดความดันของคลื่นเสียง ซึ่งจะเข้าไปทำปฏิกิริยากับแก้วหูโดยตรง และทำลายเซลล์ประสาทหูและเซลล์ขนในหู จึงทำให้สูญเสียการได้ยินบางส่วนหรือถึงขั้นหูดับ

ประสาทรับเสียงเสื่อม เกิดจากความผิดปกติของกระแสไฟฟ้าในหู ส่งผลให้เกิดเสียงรบกวนในหู เช่น เสียงแมงหวี่ร้อง เสียงวิทยุจูนผิดคลื่นตลอดเวลา หรืออาจเป็นเสียงอื่น ๆ ได้อีกมากมาย

เชื้อโรคในหูฟัง นอกจากหูฟังจะเป็นแหล่งกำเนิดเสียงดังที่เป็นอันตรายแล้ว ยังเป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อโรคอื่นที่ทำให้เกิดโรคในหูมากมาย อาทิ หนองในหู หรือเกิดการอักเสบในช่องหูได้


วิธีป้องกันเบื้องต้น


ควรเปิดเครื่องเล่นเสียงให้มีระดับความดังแค่ครึ่งเดียว ของระดับเสียงที่เครื่องมีอยู่

ฟังเพลงในเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น เพื่อให้หูได้หยุดพักการใช้งานบ้าง

ไม่ควรใช้หูฟังร่วมกับคนอื่น เพราะอาจติดเชื้อโรคได้ และควรเปลี่ยนฟองน้ำหูฟัง หรือทำความสะอาดเป็นประจำ

3.โทรศัพท์มือถือ

คุณหมอบอกว่าโทรศัพท์มือถือเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ระบบหู และการได้ยินของคนยุคใหม่เสื่อมมากขึ้น โดยมีสาเหตุจาก

เชื้อโรคในหูลุกลามจากความร้อน เพราะปกติในหูคนเราจะมีเชื้อโรคอยู่บ้าง แต่ก็มีขี้หูและผิวหนังที่ช่วยป้องกันไว้ แต่เมื่อโดนความร้อนจากการใช้โทรศัพท์มือถือ ประกอบกับการใช้มือเขี่ย หรือเกา จนทำให้ผิวหนังถลอก เท่ากับขาดปราการป้องกันเชื้อโรค จึงทำให้เชื้อโรคเติบโตได้ดีและเกิดอาการอักเสบ เช่น

มีสิวในหู หรือมีอาการอักเสบเป็นฝี หูบวมแดง คัน และมีน้ำเหลืองไหล

คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทำลายประสาทหู คลื่นที่ออกจากมือถือคือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เมื่อใช้โทรศัพท์นาน ๆ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะส่งผลต่อระบบการทำงานของคลื่นไฟฟ้า และอิเล็คโตรไลท์ในหู นอกจากนี้ยังทำให้โมเลกุลในหูเกิดความสั่นสะเทือนจนทำให้หูร้อน หากมีพฤติกรรมเช่นนี้ประจำ จะทำให้เส้นประสาทในหูถูกทำลายได้ จนได้ยินเสียงต่าง ๆ น้อยลง

วิธีป้องกันเบื้องต้น

ใช้อุปกรณ์เสริมในการใช้โทรศัพท์ เช่น หูฟัง (Small Talk) หรือ บลูทูธ (Bluetooth)เพื่อหลีกเลี่ยงคลื่นเสียงและความร้อนโดยตรง

เช็ดทำความสะอาดโทรศัพท์ด้วยแอลกฮอล์ และใช้โทรศัพท์มือถือเท่าที่จำเป็น

4. การพักผ่อนไม่เพียงพอ

คุณหมอเล่าให้ฟังว่า การพักผ่อนมีความสำคัญต่อหูในส่วนที่เกี่ยวกับการทรงตัว การพักผ่อนนั้นมีความสำคัญต่อระบบการทรงตัวเพราะ

การพักผ่อนน้อยส่งผลให้การไหลเวียนของกระแสเลือดไม่ดี โดยเฉพาะหูชั้นในนั้นต้องการเลือดมาเลี้ยงมาก หากขาดเลือดจะทำให้น้ำในหูชั้นในเสียสมดุล ซึ่งน้ำในหูนี่เองที่เป็นตัวหล่อเลี้ยงเซลล์ประสาท ที่ควบคุมระบบการทรงตัว เมื่อน้ำในหูทั้งสองข้างไม่เท่ากัน ข้างหนึ่งทำงานมาก อีกข้างหนึ่งทำงานน้อย จะเกิดความผิดปกติของระบบการทรงตัวในที่สุด

นอกจากนี้อาการน้ำในหูไม่เท่ากันที่เกิดจากการพักผ่อนน้อย ยังส่งผลให้เกิดอาการเวียนหัว บ้านหมุนเฉียบพลัน คลื่นไส้ อาเจียน โดยจะมีอาการนานเป็นชั่วโมง แต่ไม่เกิน 24 ชั่วโมง แต่การเวียนหัวบ้านหมุนอาจไม่ได้เกิดจากกรณีน้ำในหูไม่เท่ากันเสมอไป ซึ่งต้องสังเกตให้ดีเพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง

วิธีสังเกตว่าการเวียนหัวเกิดจากความผิดปกติของระบบส่วนใดในหู สังเกตได้จาก ถ้าอาการเวียนหัวเกิดทุกครั้งเมื่อเคลื่อนไหวศีรษะ ก็มีสาเหตุมาจากน้ำในหูไม่เท่ากัน แต่หากเวียนหัวเฉพาะเมื่ออยู่ในท่าใดท่าหนึ่ง หรือเอียงหัวไปข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้น ถือว่าเป็นความผิดปกติของก้อนหินปูนในหูชั้นใน หรือเรียกว่าโรคหินปูนในหูหลุด ซึ่งเป็นโรคเกี่ยวกับหูที่พบได้บ่อยเช่นเดียวกัน

วิธีป้องกันเบื้องต้น

การป้องกันเบื้องต้นที่ดีที่สุดคือการพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด เพื่อให้ระบบไหลเวียนของเลือดทำงานได้ดี

ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และไม่ควรกินอาหารไขมันสูง เพื่อป้องกันโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของหูชั้นในได้

5. ยาบางชนิด

อีกปัจจัยหนึ่งที่คุณหมอบอกว่าคนทั่วไปมักมองข้ามนั่นก็คือ การกินยาบางชนิด เพราะสารเคมีในยาส่งผลต่อเส้นประสาทหู แต่ก็เป็นยาเพียงบางชนิดเท่านั้น และส่วนใหญ่จะเป็นยาที่แพทย์สั่ง ประเภทยาที่มีผลกระทบต่อหูให้ฟังดังนี้

ยาปฏิชีวนะ เช่น ยาฆ่าเชื้อโรคหรือยาต้านเชื้อแบคทีเรียกลุ่มที่เรียกว่า อะมิโนไกลโคไซด์ เช่น เจนตามัยซินเจนตามิซิน (gentamicin) กานามัยซิน (kanamycin) หรือ อะมิกาซิน (amikacin) ยากลุ่มนี้จะมีผลทำให้เส้นประสาทหูเสื่อม และทำให้การได้ยินเสียงลดลง

ยารักษาโรคบางชนิด เช่น ยารักษาโรควัณโรค ยารักษาเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ยารักษาโรคมาลาเรียเหล่านี้ส่งผลให้ประสาทหูเสื่อมเช่นเดียวกัน

วิธีป้องกันเบื้องต้น

ผู้ป่วยที่ต้องฉีดยาหรือกินยาชนิดดังกล่าวเป็นประจำ ต้องคอยสังเกตตัวเองว่า มีอาการได้ยินเสียงน้อยลงหรือไม่ เพื่อรักษาได้ทันท่วงที

หากมีอาการเกี่ยวกับหูไม่ควรซื้อยาแก้อักเสบ หรือยาฆ่าเชื้อกินเอง เพราะอาจทำอันตรายต่อประสาทหูจนหูดับเลยก็ได้

6. มลภาวะทางอากาศ

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ปัจจัยที่สุดแสนใกล้ตัวอย่างมลภาวะทางอากาศจะทำให้โรคหูน้ำหนวก โรคที่หาได้ยากในปัจจุบันกลับมาเล่นงานคนในยุคนี้อีกครั้ง

สิ่งแปลกปลอมในอากาศ เช่น ฝุ่นละออง และควันรถ คือตัวการทำให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคภูมิแพ้หรือเป็นหวัดบ่อย หากปล่อยให้โรคลุกลามจนเกิดการอักเสบหลังโพรงจมูกและคอ เชื้อโรคก็จะเดินทางจากหลังโพรงจมูกมาที่หู และเกิดเป็นโรคหูน้ำหนวกในที่สุด

วิธีป้องกันเบื้องต้น

รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง เพื่อป้องกันอาการหวัด

ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้หรือหวัดเรื้อรังต้องคอยสังเกตตัวเอง หากเป็นหวัด แล้วมีของเหลวลักษณะเหมือนเลือดผสมหนองไหลจากรูหู และมีอาการปวดหูร่วมด้วยให้รีบไปหาคุณหมอ เพราะแก้วหูอาจอักเสบจนถึงขั้นทะลุแล้วก็ได้


ที่มา ชีวจิต




 

Create Date : 11 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 15 พฤศจิกายน 2552 11:07:14 น.
Counter : 418 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  

icy_cute
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]







CO.CC:Free Domain
Friends' blogs
[Add icy_cute's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.