Group Blog
 
All blogs
 

คิดอย่างไรไม่ให้เครียด

1. คิดยืดหยุ่นให้มากขึ้น อย่าจริงจัง เข้มงวดจับผิด หรือตัดสินถูกผิดตัวเอง หรือผู้อื่นตลอดเวลา รู้จักผ่อนหนัก ผ่อนเบา ผ่อนสั้น ผ่อนยาว ลดทิฐิมานะและที่สำคัญควรรู้จักการให้อภัยก็จะทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้น และมีความเครียดน้อยลง

2. คิดอย่างมีเหตุผล ไม่ด่วนเชื่ออะไรง่าย ๆ ไม่ด่วนสรุปอะไรง่าย ๆ ให้พยายามใช้เหตุผลตรวจสอบข้อเท็จจริง ความเป็นไปได้ ไตร่ตรองให้รอบคอบ เพราะนอกจากจะไม่ทำให้ตกเป็นเหยื่อให้ใครหลอกเอาง่าย ๆ แล้ว ยังสามารถตัดความกังวลใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปได้อีก

3. คิดหลาย ๆ แง่มุม มองหลาย ๆ ด้าน ทั้งด้านดีและไม่ดี จำไว้เสมอว่า ทุกอย่างต้องมีข้อดีและข้อเสีย จึงไม่ควรมองด้านใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียวให้ใจเป็นทุกข์ และที่สำคัญ ควรหัดคิดหัดมองในมุมของคนอื่นด้วย อย่างที่เรียกว่าเอาใจเขามาใส่ใจเรา ก็จะช่วยให้เรามองอะไรได้กว้างไกลกว่าเดิม

4. คิดแต่เรื่องดี ๆ เพราะหากว่าคิดแต่เรื่องร้าย ๆ เรื่องความล้มเหลวผิดหวังหรือเรื่องที่เป็นทุกข์ ก็จะทำให้เครียดมากขึ้น ควรคิดถึงเรื่องดี ๆ ให้มาก ๆ นอกจากไม่ทำให้เครียดแล้วยังทำให้สบายใจมากขึ้น

5. คิดถึงคนอื่นบ้าง อย่าหมกมุ่นแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น เปิดใจให้กว้างรับรู้ความรู้สึกและความเป็นไปของคนอื่นและคนใกล้ชิด ใส่ใจที่จะช่วยเหลือแก้ไขปัญหาของผู้อื่นในสังคม บางครั้งจะพบว่า ปัญหาหรือความเครียดที่กำลังเผชิญอยู่นั้นเป็นเรื่องเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับปัญหาของผู้อื่น ซึ่งความรู้สึกแบบนี้จะทำให้เครียดน้อยลง จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น ยิ่งถ้าสามารถช่วยให้ผู้อื่นแก้ไขปัญหาได้ ก็จะทำให้สุขใจมากขึ้นเป็นทวีคูณ




 

Create Date : 26 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 12 มิถุนายน 2552 21:08:37 น.
Counter : 317 Pageviews.  

หุ่นเพรียวสวย ตามรูปร่าง

ปัจจุบันปัญหาความอ้วน ไม่ได้เพียงแค่เป็นปัญหาต่อสาวๆ ที่อยากใส่ชุดสวยหรอกนะคะ แต่มันถือเป็นภัยคุกคามระดับโลก เป็นอันตรายต่อชีวิต ก่อให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา เช่น เข่าเสื่อม, ไขมันในเลือดสูง, เส้นเลือดในสมองตีบหรือแตก, เบาหวาน จนถึงโรคมะเร็ง ดังนั้น เราจึงมักจะได้ยินได้อ่านถึงหนทางการลดความอ้วนมากมาย

วันนี้เราก็มีอีกหนึ่งวิธีใหม่มาบอก จากการเปิดตัวหนังสือของ อ.รุ่งเรือง คลองบางลอ ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมน้ำหนักและดูแลรูปร่าง เจ้าของพ็อกเกตบุ๊ค "กินอย่างที่ชอบก็ผอมได้" โดยระบุว่ารูปร่างต่างกัน การรับประทานอาหารก็ต้องต่างกัน ถ้าอยากให้สวยและผอม

1.รูปร่างผอม (Thin) มีไขมันสะสมน้อย แต่อาจแฝงด้วยภาวะคอเลสเตอรอลสูง หรือไขมันสะสมเมื่ออายุเพิ่มขึ้นได้ ควรทานให้ครบ 5 หมู่ และแบ่งมื้ออาหารเป็น 4 - 5 มื้อ เพื่อเพิ่มการดูดซึมสารอาหารเพียงพอต่อวัน เน้นอาหารที่ย่อยง่ายและพลังงานสูง แต่ไขมันปานกลาง เช่น ข้าวกล้องผสมข้าวขาว เนื้อปลา

2.ผอมและมีกล้ามเนื้อ (Thin and Muscular) ระบบเผาผลาญสูง แต่ดูดซึมน้อย ไม่เหลือเป็นไขมันสะสม ควรเน้นโปรตีนจากเนื้อปลาหรือเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ธัญพืชต่างๆ และกระตุ้นการดูดซึมสารอาหาร ด้วยจมูกข้าว ผลไม้รสเปรี้ยว อย่างส้ม แอปเปิ้ลเขียว เป็นต้น

3.มีกล้ามเนื้อมาก (Very Muscular) ร่างกายมีมัดกล้ามเนื้อมาก มีไขมันเหลือสะสมน้อยมาก ควรทานอาหารที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เช่น โปรตีนจากเนื้อปลา เนื้อไก่ไม่ติดหนัง สันในหมูและเนื้อวัว ไข่ ควรมีผักผลไม้ทุกมื้อ ช่วยในการดูดซึมสารอาหาร และนมไขมันต่ำไฮแคลเซียม เสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อ

4.มาตรฐาน (Standard) การรักษารูปร่างให้คงที่ ต้องรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ มีความหลากหลาย ไม่ทานซ้ำๆ เพื่อลดการสะสมของสารตกค้าง เลือกทานข้าวที่ผ่านการขัดสีน้อย เช่น ข้าวกล้องหรือขนมปังโฮลวีท นอนหลับอย่างเพียงพออย่างน้อยวันละ 7 - 8 ชั่วโมง เพราะการนอนน้อยมีผลให้ฮอร์โมนเลปตินลดต่ำลง ซึ่งมีส่วนในการควบคุมความอยากอาหาร และน้ำหนักตัว ผลคือทำให้รู้สึกหิวมากขึ้น

5.มาตรฐานและมีกล้ามเนื้อ (Standard Muscular) มีมวลกล้ามเนื้อสูง เผาผลาญคาร์โบไฮเดรตได้หมด ไม่เก็บสะสมเป็นไขมัน ควรทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ธัญพืช ข้าวซ้อมมือ หรืออาหารที่เสริมสร้างการทำงานของกล้ามเนื้อ เช่น ปลา ไก่ไม่ติดหนัง ควรทานหมูสันในหรือเนื้อสัปดาห์ละ 1 - 2 ครั้ง หรือมังสวิรัติสัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้ง

6.ออกกำลังกายน้อย (Under Exercise) ระบบเผาผลาญต่ำ ถึงจะทานอาหารน้อย แต่ก็ยังมีการสะสมของไขมันตามส่วนต่างๆ โดยเฉพาะหน้าท้อง สะโพก และต้นขา ควรทานอาหารไขมันต่ำ แต่มีโปรตีนสูงในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เช่น ธัญพืช ถั่วเมล็ดแห้ง เต้าหู้ ไก่ไม่ติดหนัง ปลา ไข่ และนมไขมันต่ำเป็นประจำทุกเช้า คนลักษณะนี้มีโอกาสอ้วนได้ง่าย จึงควรหลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง

7.อ้วนซ่อนรูป (Hidden Obese) ระดับการเผาผลาญต่ำกว่าปกติ เกิดเซลลูไลท์หรืออ้วนง่าย ควรรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท โปรตีนจากเต้าหู้ หรือเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ ระหว่างวันให้ทานถั่วเป็นอาหารว่าง ไม่เกิน 20 เม็ด/วัน (ยกเว้นเม็ดมะม่วงหิมพานต์ไม่ควรทาน) เพื่อกระตุ้นร่างกายให้มีการเผาผลาญมากขึ้น เลี่ยงอาหารรสเค็มและหวานจัด ที่ทำให้เกิดการบวมน้ำ

8.อ้วน (Obese) ระดับการเผาผลาญสูงในช่วงเช้า และค่อยๆ ลดต่ำลงในช่วงเย็น ควรทานอาหารไขมันต่ำ เช่น เนื้อไก่ไม่ติดหนัง เนื้อปลา เต้าหู้ น้ำพริกผักลวก ก๋วยเตี๋ยวน้ำ แกงจืด แกงส้ม ต้มยำ ยำต่างๆ ส่วนผลไม้เน้นที่มีน้ำเยอะไม่หวานมาก และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยการทานอาหารเช้าทุกวัน และลดปริมาณอาหารแต่ละมื้อลง อาจดื่มน้ำก่อนและเคี้ยวให้ช้าลง

9.อ้วนร่างใหญ่ (Solidly Built) อ้วนมาตั้งแต่เด็ก โตขึ้นจึงมีโครงร่างใหญ่ ในขณะที่การเผาผลาญต่ำ ควรทานอาหารที่ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ ประเภทธัญพืช ถั่ว ผักที่มีสีเข้ม เช่น บล็อกโคลี กะหล่ำปลีม่วง บีทรูท คะน้า ผักโขม แครอท หรือพืชตระกูลเบอรี่ เช่น ราสพ์เบอรี่ สตรอเบอรี่ อาหารเส้นใยสูง เช่น ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท เส้นบุก โปรตีนจากเนื้อสัตว์ไขมันต่ำและย่อยง่าย ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ทานอาหารทีละน้อยๆ แต่บ่อยครั้งขึ้น


ที่มา ไทยโพสต์




 

Create Date : 26 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 28 พฤษภาคม 2552 23:54:57 น.
Counter : 330 Pageviews.  

รักแร้ . . . ดูแลได้

เคล็ดลับ เกลี้ยงเกลา ไร้ขน

การกำจัดขนรักแร้ในปัจจุบันมีให้เลือกหลายวิธีตามความชอบ ความสะดวก และงบประมาณ แต่ละวิธีมีข้อดีและข้อเสียให้ชั่งใจก่อนทำ ดังต่อไปนี้

โกน

ข้อดี : ง่าย สะดวก กำจัดขนรวดเร็ว

ข้อเสีย : เนื่องจากรากขนยังอยู่ ขนจึงงอกเร็ว แข็งและเป็นตอ นอกจากนี้การโกนจะเกิดขูดบริเวณผิวหนังทำให้อักเสบและติดเชื้อขึ้น

ถอน

ข้อดี : กำจัดขนได้แบบถอนรากออกมาด้วย ทำให้ขนที่งอกใหม่ใช้เวลานานกว่าจะขึ้นอีกครั้ง

ข้อเสีย : ใช้ระยะเวลานานกว่าจะถอนออกหมดและทำให้เกิดตุ่ม ลักษณะเหมือนหนังไก่ เนื่องจากขนคุดได้

แวกซ์

ข้อดี : เหมาะกับคนที่มีขนยาว และหนา วิธีนี้รวดเร็วกว่าการถอน ขนที่ขึ้นใหม่จะนุ่มและงอกช้าประมาณ 6 สัปดาห์

ข้อเสีย : ค่อนข้างเจ็บ ทำให้เกิดตุ่มหรือการแสบแดงได้ และทำให้รูขุมขนใหญ่ขึ้น

เลเซอร์

ข้อดี : เป็นการทำลายรากขน ทำให้ขนไม่งอกขึ้นมาใหม่อีก

ข้อเสีย : ต้องทำซ้ำประมาณ 4-6 ครั้ง และเสียค่าใช้จ่ายทั้งหมด 15,000 บาทขึ้นไป

จี้ด้วยไฟฟ้า

ข้อดี : กำจัดขนได้ถาวรประมาณ 15-20เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนขนที่จี้ไฟฟ้าในแต่ละครั้ง

ข้อเสีย : อาจเกิดแผล รอยไหม้ หรือการระคายเคือง ต้องใช้เวลานาน และเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 3,000-5,000 บาทต่อครั้ง

หลังกำจัดขนอาจใช้ผ้าชุบน้ำแข็งโปะเพื่อกระชับรูขุมขน และควรหลีกเลี่ยงการใช้ สารเคมี เช่น โลชั่น น้ำยาดับกลิ่นเหงื่อ ฯลฯ เพราะอาจทำให้เกิดการอุดตัน และอักเสบขึ้น

สดชื่น ไร้กลิ่น

บริเวณรักแร้มีต่อมเหงื่ออยู่ 2 ชนิด คือ Eccrine glands และ Apocrine glands ต่อมชนิดแรกพบได้ทั่วร่างกาย ผลิตเหงื่อชนิดใสและมักไม่มีกลิ่น ยกเว้นเวลาที่กินอาหารมีกลิ่น เช่น กระเทียม แอลกอฮอล์ ส่วนต่อมเหงื่ออีกชนิดพบในบริเวณข้อพับ ขาหนีบ จะผลิตเหงื่อที่มีความเหนียวกว่าและมีกลิ่น นอกจากนี้ยังพบสาเหตุกลิ่นรักแร้จากพันธุกรรมและการทำงานที่ผิดปกติของรูขุมขนและต่อมเหงื่อ

ปัญหากลิ่นตัวที่เกิดจากสาเหตุทั้งหมดนี้แก้ไขได้ดังนี้

ทำความสะอาดด้วยสบู่เพื่อชำระล้างเหงื่อ

กำจัดขนเพื่อลดการหมักหมมของแบคทีเรีย

ใช้ยาระงับกลิ่นกาย ที่มีให้เลือกทั้งแบบสเปรย์ โรลออน และสติ๊ก ซึ่งจะแตกต่างกันเพียงรูปลักษณ์ภายนอก แต่คุณสมบัติไม่ต่างกัน แต่ต้องระวังผลิตภัณฑ์ที่เป็นแบบน้ำมัน (oil) เพราะอาจทำให้รูขุมขนเกิดการอุดตันได้ และผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อ (Antiperspirant) ซึ่งมีการวิจัยพบว่า สารลดการขับเหงื่อจะไปปิดกั้นต่อมเหงื่อ จนก่อให้เกิดมะเร็งได้หากใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน

ใช้สารส้ม เนื่องจากมีคุณสมบัติเป็นด่างจึงช่วยลดความเป็นกรดในเหงื่อลงได้ ช่วยลดปัญหาเรื่องกลิ่นตัวอย่างได้ผล ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์จากสารส้มออกมาหลายรูปแบบ และได้รับความนิยมอย่างมากในต่างประเทศ เช่น แป้ง โรลออน สเปรย์

การทำงานที่ผิดปกติของรูขุมขน และต่อมเหงื่อ ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพื่อใช้ยาปฏิชีวนะประเภทครีม

หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลิ่น เช่น กระเทียม แอลกอฮอล์

วงแขนขาวเนียน

ปัญหารักแร้ดำเกิดได้จากหลายสาเหตุ คือ จากการอักเสบเรื้อรังที่มีสาเหตุจากการเสียดสี บริเวณใต้วงแขน ปริมาณเม็ดสีหรือเมลานินมากเกินไป การใช้ผลิตภัณฑ์ใต้วงแขนที่มีแอลกอฮอลล์ ผสมอยู่เป็นประจำ เมื่อแอลกอฮอล์ระเหยจะดึงน้ำจากผิวไปด้วย ทำให้ผิวแห้งและเกิดรอยดำขึ้นได้ วิธีการปรับสีผิวใต้วงแขนให้ขาวขึ้นนั้นทำได้หลายวิธี

ใช้ยาหรือเวชสำอางลดการทำงานของเม็ดสี เช่น ยาในกลุ่มไวท์เทนนิ่ง ได้แก่ Kojic Acid, Licorice, Retinal ที่ไม่ส่วนผสมของสารปรอท โดยหาซื้อได้ตามรายขายยาทั่วไป

เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทาวงแขนขาวที่ผสมกรดผลไม้ (AHA) มีความเข้มข้น 5-8 เปอร์เซ็นต์ เพื่อผลัดเซลล์ผิวชั้นนอก ทำให้ผิวดูขาวกระจ่างใสยิ่งขึ้น

เปลี่ยนผลิตภัณฑ์ใต้วงแขนทุก 6 เดือน เพื่อไม่ให้ร่างกายได้รับสารเคมีตัวเดิมนานเกินไปจนเกิดอาการแพ้หรือระคายเคือง


ที่มา อสมท.




 

Create Date : 25 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 28 พฤษภาคม 2552 15:10:01 น.
Counter : 326 Pageviews.  

ขจัดกลิ่นเหม็น ภายในบ้าน

กลิ่นบุหรี่ในห้อง

เปิดหน้าต่างให้โล่ง ใช้สำลีชุบแอมโมเนีย หรือน้ำส้มสายชูวางทิ้งไว้ตามจุดต่างๆ ภายในห้อง หรือจะจุดเทียนไขทิ้งไว้ในห้องเพื่อดับกลิ่น

กลิ่นในห้องน้ำ

จุดเทียนไขไว้ในจานเชิง จากนั้นดับให้สนิท ยกไปวางไว้ในห้องน้ำ ปิดประตูทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที ก่อนจะเปิดประตูเพื่อระบายอากาศ กลิ่นไม่พึงประสงค์จะหมดไป

กลิ่นสีทาบ้าน

ผ่าครึ่งหอมหัวใหญ่ตามยาว แล้วนำไปวางตามจุดต่างๆ ในบ้าน หอมหัวใหญ่มีคุณสมบัติในการดูดซับกลิ่น จะดูดกลิ่นฉุนของสีทาบ้านให้เบาบางลงได้

กลิ่นอาหารในครัว

ห้องครัวที่ทำอาหารเป็นประจำมักจะมีกลิ่นฉุน สามารถลดกลิ่นได้ โดยใช้ผงกาแฟโปรยลงบนเตา พอให้เกิดควัน จากนั้นปิดประตูห้องครัวไว้ราว 5 นาที แล้วจึงเปิดประตูตามปกติ กลิ่นจะจางลง ถ้าไม่มีกาแฟ ให้ใช้เกลือป่นหรือผงถ่านละเอียด โรยตามบริเวณที่มีกลิ่นก็ได้


ที่มา อสมท.




 

Create Date : 25 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 25 พฤษภาคม 2552 16:40:37 น.
Counter : 361 Pageviews.  

กินอาหารงานเลี้ยงอย่างไร ไม่ให้ลงพุง

อ้วนลงพุงเกิดจากหลายสาเหตุ แต่ที่แน่ๆ คือกินอาหารล้นเกินและมีแคลอรีสูงเป็นประจำ ซึ่งมักจะเกิดกับกลุ่มนักบริหาร โดยเฉพาะผู้ที่จำเป็นต้องออกงานเลี้ยงบ่อย

สำหรับผู้ที่มีชีวิตคลุกคลีอยู่กับงานเลี้ยง ชนิดที่เรียกว่ากินเป็นปกติวิสัย ไม่ว่าจะเป็นงานกาลาดินเนอร์ บุฟเฟ่ต์ งานแต่ง หรืองานฉลองในโอกาสต่างๆ คนกลุ่มนี้ย่อมเสี่ยงลงพุงกว่าคนกลุ่มอื่นอย่างแน่นอน

ในคอลัมน์ "Attention Please! Food & Nutrition" นิตยสาร "FoodStylist" อ.สง่า ดามาพงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ ระดับ 9 ชช.กระทรวงสาธารณสุข ให้ข้อคิดว่า อาหารในงานเลี้ยงไม่ใช่อาหารปกติที่เรากิน นอกจากปริมาณและความหลากหลายละลานตาแล้ว อาหารหลายชนิดล้วนแคลอรีสูงยิ่ง ทั้งคาว ทั้งหวาน ครบเครื่อง

ที่สำคัญการกินระหว่างสรวลเสเฮฮาไปด้วยมักจะไม่รู้สึกอิ่ม ที่ร้ายกว่านั้น คือการกินบุฟเฟ่ต์รายหัว ที่มุ่งแต่จะกินให้คุ้มค่าเงินนั้น หลายคนหารู้ไม่ว่ากำลังทำร้ายและรังแกกระเพาะอาหารของเราเอง

อาหารงานเลี้ยงไม่ได้เลวร้าย เพียงแต่ต้องกินให้เป็น ถ้าไม่อยากลงพุง อ.สง่า ให้คำแนะนำคร่าวๆ แบ่งเป็น 3 ช่วง ดังนี้

ช่วงที่ 1 ก่อนไปงานเลี้ยงต้องนึกอยู่เสมอว่าอาหารงานเลี้ยงเป็นอาหารที่ทำให้อ้วน ดังนั้นก่อนไปงานเลี้ยงอย่าปล่อยให้หิวจัด ควรกินผลไม้หรืออาหารว่างแคลอรีต่ำ รองท้องไปก่อนแล้วดื่มน้ำเปล่าตาม

ช่วงที่ 2 ช่วงกินอาหารงานเลี้ยงอันดับแรกต้องตั้งสติ เมื่อเห็นอาหารที่ยั่วยวนชวนกินในงานเลี้ยงต้องหยุดพิจารณาว่าอาหารอะไรกินแล้วทำให้อ้วน และอาหารอะไรที่กินแล้วทำให้สุขภาพดีไม่มีพุง แล้วตัดสินใจตักอาหารสุขภาพนั้นๆ ตักให้พอดีได้สัดส่วน

กะคร่าวๆ คือ ตักผัก 2 ส่วน ข้าวหรือแป้ง 1 ส่วน และอาหารกลุ่มโปรตีนอีก 1 ส่วน เป็นสูตร 2:1:1 ได้เลย

ระวังอาหารมันจัดหรือเค็มจัด รวมทั้งอาหารหวานจัดด้วย ขณะกินอาหารก็ขอให้มีสติ กินพอดี อิ่มคืออิ่ม จงหยุดแล้วหาผลไม้ และอาหารหวานมันน้อยกิน แล้วดื่มน้ำเปล่าตาม หากคุณจะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็ดื่มได้ในปริมาณพอเหมาะ

ช่วงที่ 3 เป็นช่วงหลังกินงานเลี้ยงกลับถึงบ้าน ถ้ายังไม่ดึกมากนักและมีโอกาส ให้เดินรอบบ้านสัก 20-30 นาที จะช่วยเผาผลาญพลังงานได้ถึงร้อยละ 30

กินอาหารเลี้ยงบ่อยเท่าใด ยิ่งต้องหาโอกาสออกกำลังให้บ่อยที่สุดเท่านั้น จะได้ไม่ต้องยืนแขม่วพุงเวลาออกงาน


ที่มา ข่าวสด




 

Create Date : 25 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 25 พฤษภาคม 2552 9:32:42 น.
Counter : 335 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  

icy_cute
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]







CO.CC:Free Domain
Friends' blogs
[Add icy_cute's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.