Group Blog
 
All blogs
 

ไขความเชื่อเรื่อง สิว

สิว เป็นปัญหาสำคัญที่บั่นทอนความมั่นใจของผู้คนทั้งหลายโดยเฉพาะสาวๆ เพราะนอกจากจะทำให้ผิวหน้าไม่เนียนเรียบแล้ว ยังทำให้เกิดรอยแผลเป็นหลังจากที่สิวยุบตัวอีกด้วย และจากการวิจัยล่าสุดของสถาบันวิจัยของเดอร์มาโลจิกาพบว่าไม่เพียงแต่เด็กวัยรุ่นเท่านั้นที่ประสบปัญหาสิว แต่ 55 % ของผู้ใหญ่ที่อยู่ในช่วงอายุ 20 - 40 ปี มีโอกาสประสบกับปัญหาสิวคุกคามได้เช่นกัน
แม้ว่าปัจจุบันจะมีเคล็ดลับกำจัดสิว ให้ผิวเรียบเนียนใสอยู่มากมาย แต่ทราบหรือไม่ว่าบางเคล็ดลับหรือความเชื่อเกี่ยวกับสิวที่ได้รับการบอกเล่าต่อกันมานั้นก็ใช่ว่าจะถูกต้องเสมอไป ดังนั้น เราลองมาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับความเชื่อเหล่านั้นว่าถูกต้องหรือไม่กันดีกว่า!

จริงหรือไม่...เรื่องสิวๆ

จริงหรือไม่ที่สิวหัวดำเกิดจากฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่ในรูขุมขน?

ไม่จริง เพราะความจริงแล้ว สิวหัวดำหรือสิวเสี้ยนหัวเปิดนั้น เป็นเพียงสิวหัวขาวที่ส่วนหัวสิวโผล่ขึ้นมาเหนือผิวหนัง จึงเป็นการเปิดทางให้ออกซิเจนผ่านเข้าสู่รูขุมขน และเป็นสาเหตุให้น้ำมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้วเกิดกระบวนการทางเคมีกับอากาศ (Oxidation) ทำให้หัวสิวเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีดำ เช่นเดียวกันกับการที่เราปอกผลไม้ตั้งทิ้งไว้แล้วเนื้อผลไม้กลายเป็นสีดำ ดังนั้น สีดำที่เห็นจึงเป็นเพียงปฏิกิริยาตามธรรมชาติ ไม่ได้เกิดจากฝุ่นละอองหรือสิ่งสกปรกสะสมอยู่ในรูขุมขุน

ขณะที่ สิวหัวขาว หรือสิวเสี้ยนหัวปิดนั้น เกิดจากการอุดตันของรูขุมขน มีลักษณะคล้ายกับสิวหัวดำทุกประการ ต่างกันเพียงแค่ส่วนหัวที่มีขนาดเล็กจนไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทำให้อากาศไม่สามารถสัมผัสกับรูขุมขนได้ ดังนั้น น้ำมันและเซลล์ที่ตายแล้วจึงไม่เกิดปฏิกิริยากับออกซิเจน หัวสิวจึงยังเป็นสีขาวอยู่

จริงหรือไม่ที่การรับประทานอาหารรสหวานจัด หรืออาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำตาลและน้ำมันเป็นการกระตุ้นการเกิดสิว?

ความเชื่อที่ว่าถ้ารับประทานอาหารหวานที่มีส่วนผสมของน้ำตาลและน้ำมันในปริมาณสูง อาทิ ช็อคโกแลต เค้ก จะทำให้เกิดสิวนั้นเป็นการตีความที่ผิดไป เนื่องจากอาหารประเภทนี้ไม่ได้เป็นตัวการโดยตรงที่ก่อให้เกิดสิวบนใบหน้า แต่เป็นเพียงตัวกระตุ้นต่อมน้ำมันให้ผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ทำให้แบคทีเรียบนชั้นผิวเจริญเติบโตดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามสิวสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความมันบนผิวหน้า อิทธิพลของฮอร์โมน ปัญหาสุขภาพ โภชนาการ อาการระคายเคืองจากสิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ ดังนั้น เพื่อให้แน่ใจถึงสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดสิว จึงควรรับคำปรึกษาจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณโดยเฉพาะ

จริงหรือไม่ที่ผลิตภัณฑ์กันแดดจะเป็นตัวเร่งการผลิตน้ำมันในผิว และทำให้แบคทีเรียบนผิวเจริญเติบโต ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิว?

ไม่จริง เพราะความจริงแล้ว ผลิตภัณฑ์กันแดดชนิดต่างๆ ในปัจจุบันได้รับการพัฒนาเป็นอย่างมากซึ่งมีคุณสมบัติในการปกป้องผิวจากแสงแดดพร้อมทั้งบำรุงผิว และสามารถควบคุมการผลิตน้ำมันในชั้นผิวพร้อมยับยั้งการเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ในขณะที่หากหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดแล้วจะทำให้ผิวหมองคล้ำ เกิดจุดด่างดำได้เนื่องจากมีการผลิตของเม็ดสีเมลานินเพิ่มมากกว่าปกติ จึงควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเพื่อหาผลิตภัณฑ์กันแดดที่เหมาะสมกับสภาพผิว

จริงหรือไม่ที่น้ำยาปรับผ้านุ่มมีส่วนที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองกับผิวและทำให้เกิดสิวบนใบหน้า
จริง เนื่องจากน้ำยาปรับผ้านุ่มมีส่วนประกอบของน้ำหอม จึงอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวและทำให้เกิดการอุดตันในรูขุมขน เกิดเป็นสิวขึ้นได้ ดังนั้น หากคุณเป็นคนผิวแพ้ง่าย หรือมีอาการแพ้น้ำหอม คุณควรตรวจสอบที่ฉลากส่วนผสมต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้นั้น

เมื่อคุณรู้ปัญหาจริงๆ ของการเกิดสิวแล้ว เราลองมาดูเคล็ดลับง่ายๆ ที่เชื่อได้เลยว่า ผิวของคุณจะสะอาดใสกว่าใครๆ

1.สวมใส่เสื้อผ้าที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติ เพื่อลดอาการแพ้ระคายเคือง

2.ลองสังเกตว่าสิวที่หลังนั้นเกิดจากการสะพายกระเป๋าด้านหลังหรือไม่ ถ้าใช่ให้เปลี่ยนมาหิ้วกระเป๋าด้วยมือแทน

3.หลังออกกำลังกายหรือมีเหงื่อออก ควรรีบอาบน้ำในทันที หากไม่สามารถอาบน้ำได้ควรพกพาผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่มีส่วนผสมของ Salicylic Acid จะช่วยขจัดน้ำมันส่วนเกินและกำจัดเซลล์ผิวที่ตายและสิ่งอุดตันในรูขุมขน

4.หากกำลังประสบปัญหาสิวอักเสบอุดตันอยู่ อย่าใช้มือไปสัมผัส ลูบคลำ บีบหรือแกะสิวเพราะจะยิ่งทำให้เกิดเป็นสิวอักเสบลุกลามมากขึ้นและทำให้รูขุมขนขยายกว้างขึ้น ใบหน้าก็แลดูหยาบกร้าน ไม่เนียนเรียบและอาจเกิดแผลเป็นอีกด้วย

5.สำหรับบริเวณที่เป็นสิว ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่คิดค้นขึ้นเพื่อผิวที่เป็นสิวง่ายโดยเฉพาะ ซึ่งสามารถสังเกตได้จากส่วนผสมสำคัญ ได้แก่ Balm Mint, Eucalyptus, Tea Tree ที่ช่วยยับยั้งการสะสมของแบคทีเรียบนผิวและเป็นสารป้องกันจุลินทรีย์ตามธรรมชาติ นอกจากนี้ ยังควรมีส่วนผสมที่ช่วยบรรเทาการอักเสบที่ผิว อันได้แก่ Menthol และ Camphorสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บางชนิดระหว่างวัน เพื่อควบคุมและขจัดความมัน ลดการอักเสบ ป้องกันสิวลุกลาม และฟื้นฟูเซลล์ผิวให้มีความแข็งแรง โดยผลิตภัณฑ์เหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็น ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ผลิตภัณฑ์แต้มสิว ควรมีส่วนประกอบของ Sulfur และ Zinc Oxide

6.ในตอนกลางคืน สามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์แต้มสิวที่มีส่วนผสมของ Tea Tree และ Niacinamide เพื่อต่อต้านการเกิดของเชื้อแบคทีเรีย บรรเทาอาการอักเสบระคายเคืองและช่วยให้สิวแห้งและยุบตัวอย่างรวดเร็ว ผลิตภัณฑ์สำหรับกลางคืนที่ดีนั้นควรมีส่วนผสมของ Salicylic Acid ด้วยเพื่อควบคุมการผลิตน้ำมันในเวลากลางคืน พร้อมแก้ปัญหาจุดด่างดำที่เกิดจากสิว

เอื้อเฟื้อข้อมูลโดย: เดอร์มาโลจิกา




 

Create Date : 24 มิถุนายน 2552    
Last Update : 27 มิถุนายน 2552 12:10:24 น.
Counter : 297 Pageviews.  

ยืดอายุด้วยโยเกิร์ต

โยเกิร์ตทำมาจากนมหมักที่เติมเชื้อจุลินทรีย์ชนิดดี ซึ่งจัดอยู่ในจำพวก ไพรไบโอติก ที่จะเปลี่ยนแลคโตสเป็นกรดแลคติก ทำให้นมเปลี่ยนสภาพเป็นกึ่งเหลวกึ่งข้นและมีรสเปรี้ยวคล้ายนมบูด การกินโยเกิร์ตจะช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ชนิดดีให้ระบบลำไส้ ที่ช่วยทั้งยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ชนิดไม่ดีและเพิ่มภูมิต้านทานให้ระบบย่อย และเพราะจุลินทรีย์ชนิดดีสามารถย่อยน้ำตาลในนมได้ คนที่แพ้นมเพราะขาดเอนไซม์แลคโตสจึงหมดปัญหาท้องเสียหรือปวดท้องเมื่อกินโยเกิร์ต เพราะน้ำตาลแลคโตสในนมถูกเชื้อแลคโตบาสิลัสจะเปลี่ยนเป็นกรดแลคติกที่ย่อยง่าย ซึ่งงานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า จุลินทรีย์ชนิดดีจะป้องกันการติดเชื้อ คนที่ท้องเสียจึงสามารถกินโยเกิร์ตเพื่อช่วยลดอาการถ่ายท้องได้

11 สารอาหารในโยเกิร์ต

เชื่อหรือไม่ว่าการกินโยเกิร์ตนั้นให้โปรตีนและแคลเซียมในปริมาณสูงกว่าการกินนม เพราะกรดแลคติกในโยเกิร์ตจะย่อยแคลเซียมในนม ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น ทั้งยังเป็นแหล่งรวมของวิตามินและแร่ธาตุอื่นๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการเพื่อเสริมสร้างสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง

ในโยเกิร์ตชนิดไขมันต่ำ 1 ถ้วยมีสารอาหารมากถึง 11 ชนิด ได้แก่ไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 2 โปรตีน วิตามินบี 12 ทริปโทฟาน โปแตสเซียม โมลิปเดนัม สังกะสี และวิตามินบี5 จึงไม่น่าแปลกใจที่โยเกิร์ตเป็นหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ชาวบัลแกเรียซึ่งกินโยเกิร์ตเป็นประจำอายุยืน เพราะ...


-โยเกิร์ตมีแคลเซียมสูง จึงช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ความดันโลหิตสูง มะเร็งในลำไส้ใหญ่ ช่วยในการลดน้ำหนักและเพิ่มการเผาผลาญไขมัน

-มีเชื้อแลคโตบาสิลัส ที่ช่วยลดการอักเสบของลำไส้และไขข้อ และเชื้อจุลินทรีย์ที่ดีในโยเกิร์ตยังช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ ‘เฮลิโคแบคเตอร์ เอชไพโลไร’ ที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ

-มีกรดไขมันคอนจูเกตเต็ดไลโนเลอิค ช่วยป้องกันโรคหัวใจ

-กินโยเกิร์ตะวันละ 2-5 ถ้วย สามารถช่วยลดระดับ ‘แกซไฮโดรเจรซัลไฟด์’ ที่ทำให้ลมหายใจมีกลิ่น พร้อมลดความเสี่ยงของโรคเหงือก

-โยเกิร์ตมีแบคทีเรียมีชีวิต ช่วยให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินบีและวิตามินเคในลำไส้ ซึ่งจากงานวิจัยพบว่าสามารถช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ

-กินโยเกิร์ตวันละ 8 ออนซ์เป็นเวลา 6 เดือน สำหรับผู้หญิงที่ติดเชื้อยีสต์ในช่องคลอดบ่อยๆ การติดเชื้อจะลดลงถึง 3 เท่า


แล้วกินอย่างไรให้อายุยืน?

โยเกิร์ตรสชาติดั้งเดิมของชาวบัลแกเรียไม่ใส่น้ำตาลและมีรสเปรี้ยว แต่ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่มีขายตามท้องตลาดจะมีรสหวานเนื่องจากผสมน้ำตาลหรือน้ำเชื่อมลงไปด้วย ดังนั้นการกินโยเกิร์ตรสธรรมชาติจึงให้ผลดีกับร่างกายที่สุด แต่ถ้านำมาผสมกับผลไม้สด หรือปั่นรวมกับผลไม้และนมก็จะได้อาหารที่มีพลังงานเพียงพอถึงเที่ยงเลยทีเดียวค่ะ ส่วนใครที่ชอบทางสลัดหรือแซนด์วิช ใช้โยเกิร์ตแทนน้ำสลัดแบบมายองเนสก็อร่อยไม่แพ้กัน




 

Create Date : 24 มิถุนายน 2552    
Last Update : 26 มิถุนายน 2552 15:06:40 น.
Counter : 449 Pageviews.  

ภูมิแพ้อาหารกับวิถีธรรมชาติ . . .ออร์แกนิก

ทุกวันนี้พบเด็กที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้หนักเอาการค่ะ โดยเฉพาะโรคภูมิแพ้อาหารพบได้บ่อยมากที่สุด แต่จะมีแพ้มาก-แพ้น้อย ในแต่ละรายก็มีอาการแตกต่างกันไป แต่คนที่กลุ้มใจคงหนีไม่พ้นพ่อแม่อย่างเราๆ ที่ต้องสรรหาสารพัดวิธีมากำราบเจ้าภูมิแพ้ ไม่ให้มีฤทธิ์มีเดชทำร้ายลูกสุดเลิฟได้

เข้าอกเข้าใจ “โรคภูมิแพ้อาหาร”

โรคภูมิแพ้อาหาร อาจเป็นโรคใหม่ที่คุณพ่อคุณแม่หลายๆ คนอาจไม่คุ้นเคยนัก และยังมองหาความรู้ในโรคนี้ได้น้อย อาการที่สังเกตได้จึงวินิจฉัยได้ค่อนข้างยาก เพราะอาการของโรคนี้แสดงได้หลากหลายมากค่ะ

อาทิ เกิดผดผื่นคัน อาการผิดปกติกับระบบทางเดินหายใจ อาเจียน ถ่ายเป็นเลือดบางรายอาจมีอาการถึงขั้นช็อคและเสียชีวิตได้ แต่อาการหลังนี้ยังพบน้อยมาก ส่วนใหญ่เด็กในบ้านเรามักจะแพ้ นมวัว ไข่ กลูเต็นจากแป้งสาลี และอาหารทะเล ตามลำดับ ซึ่งแตกต่างกับประเทศในแถบตะวันตก โดยเฉพาะอเมริกาและอังกฤษ ที่พบการแพ้ ถั่วลิสง เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้ปัจจุบันมีการคิดค้นวัคซีนป้องกันภูมิแพ้โปรตีนในถั่ว แต่ยังอยู่ในขั้นของการทดลอง

ภูมิแพ้อาหาร…โตแล้วหายได้เองไหม?

ด้วยธรรมชาติของโรคนี้ ร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้และส่วนใหญ่จะมีอาการดีขึ้นในช่วงอายุ 3-5 ปีไปแล้ว แต่จะมีจำนวนผู้ป่วยเพียง 10-20% เท่านั้น อาจเป็นภูมิแพ้อาหารไม่หายไปจนโต หรือกินอาหารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้เพียงเล็กน้อย แต่ในกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้อาหารในวัยเด็ก เมื่อโตขึ้นและหายจากอาการแพ้อาหารแล้ว อาจจะเสี่ยงในการเป็นโรคภูมิแพ้ชนิดอื่นได้อีกด้วยค่ะ แต่ที่สำคัญ เราไม่ควรปล่อยปละละเลยลูกที่เป็นโรคภูมิแพ้ แล้วเอาแต่หวังว่า โรคมันจะหายไปเองได้ง่ายๆ ค่ะ

รู้ได้อย่างไร ว่าลูกแพ้อาหารอะไรบ้าง?

ควรพาเจ้าตัวเล็กพบคุณหมอผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้โดยตรงคุณหมอจะทำการซักประวัติอย่างละเอียด พร้อมคำถามต่างๆ มากมายเกี่ยวกับอาการที่ลูกเป็น จากนั้นก็อาจให้คุณแม่ลองงดอาหารที่สงสัยว่าลูกจะแพ้ และสังเกตว่า อาการดีขึ้นหรือไม่ โดยก่อนเริ่มงดอาหารนั้น ให้เริ่มบันทึกชนิดของอาหาร เวลาที่กิน และอาการแพ้ที่เกิดขึ้นด้วย
ซึ่งวิธีการทดสอบภูมิแพ้มี 2 วิธีด้วยกันคือ ทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง หรือการตรวจเลือด ซึ่งอาจไม่ค่อยได้ประโยชน์มากนัก สำหรับสารก่อภูมิแพ้ที่เป็นอาหารค่ะ

อยากชนะภูมิแพ้…ต้องลงทุน

ไม่มีของอะไรที่ได้มาฟรีๆ โดยไม่ต้องลงทุนค่ะ ต้องลงมือทำกันตั้งแต่วันนี้ โดยพยายามหาหนทางป้องกันภูมิแพ้ทางอาหารของลูกให้ดีที่สุด ก่อนถึงวัยที่ร่างกายของเจ้าตัวเล็กจะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันต่อสู้กับโรคนี้ได้

• ดื่มนมแม่ให้นานที่สุด โดยทั่วไปอยู่ในช่วง 6-12 เดือนแรก ก็สามารถช่วยป้องกันภาวะภูมิแพ้อาหารได้ค่ะ เพราะโปรตีนนมแม่ย่อยและดูดซึมได้ง่าย และมีสารกระตุ้นการเติบโตของเซลล์ เช่น เซลล์บุผนังลำไส้ เมื่อเซลล์นี้ได้รับการกระตุ้นให้เจริญเติบโตได้ดี ก็สามารถช่วยป้องกันอาการแพ้โปรตีนบางชนิดจากอาหารอื่นได้

• หลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้ โดยให้อาหารอื่นที่มีสารอาหารใกล้เคียงกันทดแทน เช่นในเด็กที่แพ้นมวัวสามารถให้เด็กดื่มนมถั่วเหลือง หรือนมแพะแทนก็ได้ นอกจากนี้ ควรให้อาหารที่อาจจะแพ้ง่ายได้ช้าลง เช่น ให้ทานไข่หลังอายุ 10 เดือนขึ้นไป หรือให้ทานอาหารทะเลในช่วงหลังวัย 2 ปี เป็นต้น แต่หากจะให้มั่นใจ ควรปรึกษาคุณหมอเพื่อให้ปลอดภัยที่สุด

จากผลการวิจัยจำนวน 41 ชิ้นโดย The Soil Association ประเทศอังกฤษ ในปี 2544 พบว่าพืชที่ปลูกโดยวงจรธรรมชาติแบบออร์แกนิกจะมีวิตามินซี แมกนีเซียม และฟอสฟอรัสสูงกว่าพืชที่ปลูกโดยใช้กระบวนการที่มีสารเคมี ส่วนปศุสัตว์แบบออร์แกนิก ก็จะเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการเลี้ยงสัตว์จะมีอิสระเสรี วิ่งได้ตามธรรมชาติ และหญ้าหรืออาหารที่ใช้เลี้ยงก็จะไม่มียาฆ่าแมลงและไม่มีการให้อาหารสำเร็จรูปค่ะ

โภชนาการบำบัด…ด้วยออร์แกนิก

สำหรับแนวทางการแพทย์แผนปัจจุบันแล้ว ยังไม่มียาตัวใดที่สามารถรักษาความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันได้ค่ะ จึงมีผู้คนหลายๆ คนเริ่มทดลองแนวทางใหม่ๆ ในการรักษาผสมผสานเข้าด้วยกัน นั่นก็คือ โภชนาการบำบัด…ด้วยผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติหรือที่เรียกว่า ออร์แกนิก

ซึ่งหากคุณแม่มีการดูแลร่างกายตั้งแต่ก่อนและขณะตั้งครรภ์ด้วยวิธีการที่ได้รับการรับรองจากการแพทย์ เพื่อกำจัดสารพิษที่ตกค้างในร่างกาย ด้วยการรับประทานอาหารออร์แกนิก ความเสี่ยงต่อโรคทั้งหลาย เช่น ออทิสติก หอมหืด ภูมิด้านทานบกพร่อง มะเร็งที่จะเกิดขึ้นกับลูกน้อยก็จะลดน้อยลงและตัวคุณแม่ก็จะแข็งแรงด้วย

แต่หากจะเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ก็ยังไม่สายเกินไป แม้ว่าทั้งอาหารและผลิตภัณฑ์ของออร์แกนิกจะมีราคาสูง แต่หากการตัดสินใจอยู่บนพื้นฐานของการสร้างสุขภาพที่ดี และการคืนสิ่งแวดล้อมที่สมบูรณ์ให้กับธรรมชาติ ออร์แกนิกจึงน่าจะเป็นคำตอบที่ลงตัว และคุ้มค่าสำหรับครอบครัวได้เป็นอย่างดีค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
แม่และเด็ก ฉบับเดือนมิถุนายน 2552




 

Create Date : 23 มิถุนายน 2552    
Last Update : 25 มิถุนายน 2552 9:22:59 น.
Counter : 270 Pageviews.  

ฝึกหายใจให้หายง่วง

ตกบ่ายทีไร เป็นต้องสมองตื้อตัน ความคิดไม่แล่น เนื่องจากความง่วงเหงาหาวนอนเป็นประจำหรือเปล่า จะแก้อาการด้วยกาแฟสักแก้ว ก็คงเป็นการหลอกตัวเองแบบไม่มีประโยชน์ (เพราะกาแฟมีโทษน่ะสิ)

ในหนังสือ “พลังบำบัด ร่างกายคุณรักษาตนเองได้” ของนายแพทย์แอนดรู ไวล์ เขามีวิธีบริหารลมหายใจซึ่งจะช่วยกระตุ้นร่างกาย ปลุกตัวเองให้กระฉับกระเฉงขึ้นได้ด้วย น่าสนใจไหม ลองทำตามดังนี้

นั่งในท่าสบายๆ หลังตรง หลับตา เอาปลายลิ้นแตะที่ฟันบนด้านในแล้วเลียขึ้นไปทางเพดาน พอพ้นฟัน พักปลายลิ้นที่ตำแหน่งนั้น เรียกว่าตำแหน่ง “โยคะ” พักลิ้นไว้จุดนี้ตลอดการฝึก

หายใจเข้าออกถี่ๆ ทางจมูก หุบปากตามสบาย การหายใจเข้าและออกควรเป็นระยะเท่ากันและถี่กระชั้น จนคุณรู้สึกว่ากล้ามเนื้อที่ฐานต้นคอเหนือกระดูกไหปลาร้าและที่กระบังลมเกิดการเคลื่อนไหวตาม หน้าอกต้องกระเพื่อมเร็วและเป็นจังหวะคล้ายๆ กำลังสูบลมด้วยที่สูบลม ภาษาสันสกฤตจะเรียกหารบริหารบทนี้ว่า “การหายใจแบบสูบลม” ซึ่งควรมีเสียงทั้งหายใจเข้าและหายใจออก หายใจให้ได้สัก 3 รอบต่อ 1 วินาที ถ้าพอทำไหว

ครั้งแรกที่คุณลองหายใจแบบนี้ ให้ทำสัก 15 วินาทีก็พอ ตามด้วยการหายใจปกติ แต่ละครั้งที่คุณจะบริหารก็ให้เพิ่มเวลาขึ้นเป็นครั้งละ 5 วินาที จนกระทั่งทำได้ถึง 1 นาทีเต็ม

วิธีนี้เป็นการออกกำลังกายให้แก่การหายใจจริงๆ คุณจึงควรรู้สึกล้าตามกล้ามเนื้อจุดต่างๆ ที่ใช้งาน ไม่ต้องวิตก การบริหารบ่อยๆ จำทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น และเมื่อคุณกลับสู่การหายใจปกติ จะรู้สึกว่ามีพลังงานเคลื่อนไหวถ่ายเทไปตลอดทั้งร่างอย่างเบาบาง แต่หนักแน่น

วิธีบริหารลมหายใจนี้จะช่วยกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางให้ทำงานมากขึ้น ลองใช้วิธีนี้แก้ง่วงแทนกาแฟ คุณหมอแอนดรูก็ใช้วิธีนี้เสมอยามขับรถ เขาพบว่ายิ่งทำมากเท่าใด ยิ่งสร้างพลังให้แก่คุณเองมากขึ้นเท่านั้น

ที่มา ชีวจิต




 

Create Date : 23 มิถุนายน 2552    
Last Update : 24 มิถุนายน 2552 15:48:16 น.
Counter : 517 Pageviews.  

5 สูตรสวยด้วยเกลือ

1. ลดรอยช้ำรอบดวงตา

ผสมเกลือ 1 ช้อนชาในน้ำร้อนครึ่งถ้วย จากนั้นใช้ผ้าหรือสำลีชุบน้ำเกลือมาปิดตาไว้สัก 5-10 นาที รอยช้ำรอบดวงตาจะค่อยๆจางลง

2. หน้ามันน้อยลง

ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำร้อนพอหมาดมาปิดหน้าไว้สัก 3-5 นาที เพื่อช่วยเปิดรูขุมขนก่อน ต่อจากนั้นใส่น้ำลงในขวดสเปรย์ เติมเกลือลงไป 1 ช้อนชา เขย่า ให้เกลือละลายแล้วฉีดเกลือใส่หน้าให้ทั่ว แล้วใช้ผ้าขนหนูเช็ดหน้าให้แห้ง

3. เพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิว

ผสมเกลือ 1/2 ถ้วยลงในอ่างอาบน้ำ แช่ตัวประมาณ 15-20 นาที จากนั้นเช็ดตัวให้แห้งแล้วทาครีมบำรุงผิวซ้ำ เกลือจะช่วยให้ผิวชุ่มชื่นยิ่งขึ้น

4. ขัดผิวให้สวยใส

โดยใช้เกลือผงถูตัวแล้วใช้ฟองน้ำหรือผ้าขนหนูขัดตัวให้ทั่วช่วยให้เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วหลุดออกมา ขณะเดียวกันก็กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในร่างกายด้วย

5. ผ่อนคลายอาการเมื่อยล้าที่เท้า

ผสมเกลือประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะลงในน้ำอุ่น นั่งแช่เท้าประมาณ 30 นาที วิธีนี้เหมาะกับคนที่เดินนาน ๆ รวมทั้งสาว ๆ ที่ต้องใส่ส้นสูงตลอดวัน


ที่มา sanook.com




 

Create Date : 23 มิถุนายน 2552    
Last Update : 23 มิถุนายน 2552 13:49:40 น.
Counter : 351 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  

icy_cute
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]







CO.CC:Free Domain
Friends' blogs
[Add icy_cute's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.