Location :
Tokyo Thailand
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [? ]
อยากนำเสนอความรู้ในแนวทางใหม่ เพื่อเป็นประโยชน์แก่ทุกคน Business Development Enterprise Currency Marketing Psychological Marketing
[จิตวิทยาการขาย] Pacing Technique (ยาวมากๆ)
หัวข้อนี้ยาวหน่อยนะครับ คนเขียนก็เหนื่อย (^^) การใช้ Pacing Technique นั้น สามารถทำให้ลูกค้าที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรกรู้สึกว่า [เหมือนคนรู้จักในสมัยก่อน] Pacing Technique แบ่งได้เป็น 3 ประเภท 1.B: Body Language เช่น ท่าทาง การแต่งกาย การแสดงสีหน้า การเดิน การยืน การนั่ง etc 2.W: Word เช่น โทนเสียง จังหวะการพูด ภาษา การใช้คำศัพท์ น้ำเสียง etc. 3.M: Mood เช่น ร่าเริง เศร้า ดีใจ ไฮเปอร์ อารมณ์ ความคิด ทัศนคติ ความเชื่อ etc.1. B: Body Language Body Language เป็นการสร้างจังหวะด้วยร่างกาย เพื่อทำลายกำแพงด้านจิตวิทยาของฝ่ายตรงข้าม การแสดงท่าทางที่คล้ายกับฝ่ายตรงข้ามเป็นการ input ลงไปในจิตใต้สำนึกโดยตรงว่า [เป็นพวกเดียวกันนะ] เมื่อภาพลักษณ์ภายนอกมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันแล้ว จิตใต้สำนึกที่พยายามจะหาจุดที่ต่างจากตนเอง ก็ไม่สามารถหาจุดที่ต่างเจอเพราะฝ่ายตรงข้ามเหมือนกับตนเอง จากที่เคยเขียนในบล๊อกก่อนๆ สิ่งที่เหมือนกับตนเอง = ไว้ใจได้ กำแพงด้านจิตวิทยาของลูกค้าก็ถูกทำลายออก หลักการของ B Pacing (Body Language Pacing) นั้นคือการสังเกตฝ่ายตรงข้าม ลักษณะท่าทาง การแต่งกาย วิธีการพูด โดยพยายามจับจังหวะและเข้ากับจังหวะของฝ่ายตรงข้าม เซลล์แมนโดยทั่วไปจะคิดว่า การแต่งการเนี๊ยบ พูดจากฉะฉานตามแบบฉบับของเซลล์แมนที่ดีเป็นสิ่งที่ถูกต้อง จริงๆแล้ว การเข้ากับฝ่ายตรงข้ามเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า ตัวอย่างของเซลล์แมนที่ไม่ได้ใช้ B Pacing ลูกค้าสูงอายุ เซลล์แมนย้อมผมสีทอง ลูกค้านั่งตัวตรง เซลล์แมนนั่งแบบง่ายๆ หลังงอ ลูกค้าที่กระฉับกระเฉง เซลล์แมนที่เอื่อยๆเฉื่อยๆ (น่ารำคาญ) ลูกค้าที่เชื่องช้า เซลล์แมนที่ทำอะไรรวดเร็ว (ลูกค้าตามไม่ทัน) เป็นต้น ถ้าอยากจะรู้ว่า B Pacing ได้ผลหรือไม่ หลังจากที่ทำ B Pacing ไปสักพัก ให้ลองหยิบน้ำบนโต๊ะดื่มหรือเลื่อนเก้าอี้ออก แล้วสังเกตดูว่าลูกค้าทำตามพฤติกรรมของคุณหรือไม่ ถ้าทำตามแสดงว่าลูกค้าได้รับอิทธิพลจากคุณ เรียกปรากฎการณ์นี้ว่า Reading เป็นการชี้นำด้วยท่าทาง แสดงว่า B Pacing ได้ทำงานแล้ว จะสังเกตได้ว่าในบางครั้ง คุยกับเพื่อนอยู่ พอเพื่อนหยิบแก้วน้ำดื่ม เราก็จะอยากดื่มด้วย 2. W: Word W Pacing (Word Pacing) คือการเลียนแบบจังหวะการพูด โทนเสียง น้ำเสียงของฝ่ายตรงข้าม การใช้ W Pacing เป็นการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับฝ่ายตรงข้าม เช่น เวลาคุณไปดูคอนเสิร์ทของนักร้องเกาหลี ในช่วงแรกที่นักร้องออกมา จะกล่าวคำสวัสดีเป็นภาษาไทย ใช่ไหมครับ หรือนักร้องคนไทยเวลาไปออกคอนเสิร์ทตามต่างจังหวัด ก็จะกล่าวคำทักทายเป็นภาษาท้องถิ่นนั้นๆ เพื่อสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับคนที่มาชมคอนเสิร์ทนั่นเอง การพูดด้วยภาษาท้องถิ่น เป็นการทำลายกำแพงด้านจิตวิทยาของฝ่ายตรงข้าม ตัวอย่างของเซลล์แมนที่ไม่ได้ใช้ W Pacing ลูกค้าพูดเร็ว เซลล์แมนพูดช้าเนิบๆ (น่ารำคาญ) ลูกค้าพูดเสียงดัง เซลล์แมนพูดเสียงค่อย (ไม่มั่นใจ) ลูกค้าพูดเรียบร้อย เซลล์แมนพูดห้าวๆ (ไม่มีมารยาท) เป็นต้น ในชีวิตประจำวัน ทุกคนได้ใช้ W Pacing โดยไม่รู้ตัว เช่น เวลาคุยกับเด็กๆ คุณจะทำเสียงแบบเด็กๆ หนูอ้อย เรียนชั้นอะไรคับ หรือแม้แต่คุยกับเพื่อน เฮ้ย ไปเที่ยวไหนวะ เป็นต้น 3.M: Mood M Pacing (Mood Pacing) คือการเลียนแบบอารมณ์ ความเชื่อ ความคิดของฝ่ายตรงข้าม ถ้าสามารถใช้ M Pacing ได้ละก็ จะสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจได้เป็นอย่างดีทีเดียว แต่ว่าการทำ M Pacing นั้นไม่ใช่สิ่งที่ง่าย เพราะว่า Mood นั้นฝ่ายตรงข้ามไม่ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจน เช่น Body หรือ Word ตัวอย่าง คุณกำลังรีบ เพื่อที่จะไปให้ทันนัดสัมภาษณ์ คุณ : เออ พี่ช่วยไปอโศกภายใน 30 นาทีให้ทีนะครับ แท็กซี่ : เอ๋ 30 นาที เวลานี้รถติดมาก แต่ผมจะลองดูละกัน น้ำเสียง คำพูดของแท็กซี่แสดงออกว่าอารมณ์รีบของคุณได้สื่อไปเรียบร้อยแล้ว คุณคงรู้สึกโล่งใจ แต่ถ้าแท็กซี่ตอบมาว่า แท็กซี่ : 30 นาที เป็นไปไม่ได้ครับ คุณคงรู้สึกแย่เป็นอย่างมาก เพราะว่าแท็กซี่คันนี้ไม่รับรู้ถึงอารมณ์ของฝ่ายตรงข้ามเลย เนื่องจากมนุษย์เรานั้น มักมีอารมณ์ความรู้สึกในแต่ละช่วงเวลาที่แตกต่างกัน การจับอารมณ์ฝ่ายตรงข้ามอย่างรวดเร็วเป็นสิ่งที่สำคัญ เซลล์แมนที่เน้น [สินค้าแพงแต่คุณภาพดี] กับ ลูกค้าที่ยืนกราน [ราคาถูกคุณภาพยังไงก็ได้] ถามว่าใครเป็นฝ่ายถูก แน่นอนครับ ลูกค้า อยู่แล้ว เพราะถ้าลูกค้าไม่ซื้อทุกอย่างก็จบ สิ่งที่คุณต้องทำคือฟังสิ่งที่ลูกค้าต้องการก่อน จากนั้นจึงทำการ Pacing เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าเราคิดเช่นเดียวกับเค้า เพื่อให้ลูกค้าเกิดความไว้วางใจ จากนั้นจึงค่อยๆเสนอสิ่งที่เราคิด ลูกค้าจะยอมรับฟังสิ่งที่เราเสนอ มากกว่าที่เราหักดิบตั้งแต่แรก สรุปคือ เซลล์แมนต้องให้ความสำคัญกับลำดับในการสนทนาทางธุรกิจ4.Pacing กับหัวข้อบทสนทนา การเลือกหัวข้อบทสนทนาที่ดีจะช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น 1) หัวข้อบทสนทนาที่ทั้งสองฝ่ายไม่มีประสบการณ์ ต่างฝ่ายต่างไม่มีความรู้สึกร่วม เช่น นโยบายการค้าต่างประเทศเป็นอย่างไรบ้าง เป็นต้น หัวข้อบทสนทนาเช่นนี้ ไม่สามารถสร้างความแน่นแฟ้นให้เกิดขึ้นได้ 2) หัวข้อบทสนทนาที่เซลล์แมนมีประสบการณ์ แต่ลูกค้าไม่มีประสบการณ์ หัวข้อบทสนทนาเช่นนี้ รังแต่จะทำให้ลูกค้าเบื่อ เพราะว่าเป็นหัวข้อที่เซลล์แมนสนุกอยู่ฝ่ายเดียว ฝ่ายตรงข้ามอาจจะไม่ได้สนใจก็ได้ 3) หัวข้อบทสนทนาที่เซลล์แมนไม่มีประสบการณ์ แต่ลูกค้ามีประสบการณ์ ถึงแม้เซลล์แมนอาจจะรู้สึกเบื่อที่ฟังบทสนนาที่ตนเองไม่มีความรู้ แต่ว่าลูกค้าคือคนสำคัญ การที่ได้ฟังลูกค้าเล่า บางทีเราอาจจะเข้าใจลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น เซลล์แมนที่ดีควรจะใส่ใจในจุดนี้ด้วย 4) หัวข้อบทสนทนาที่ทั้งสองฝ่ายมีประสบการณ์ เป็นหัวข้อบทสนทนาที่ดีที่สุด และช่วยให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น
Create Date : 08 พฤษภาคม 2551
Last Update : 8 พฤษภาคม 2551 10:59:28 น.
4 comments
Counter : 1181 Pageviews.
โดย: pob IP: 66.240.237.173 วันที่: 8 พฤษภาคม 2551 เวลา:16:36:50 น.
โดย: เอก IP: 58.9.44.136 วันที่: 29 พฤษภาคม 2551 เวลา:15:36:55 น.
โดย: เบญ IP: 118.172.21.170 วันที่: 18 สิงหาคม 2552 เวลา:15:37:50 น.
โดย: เต้ IP: 117.47.241.59 วันที่: 9 สิงหาคม 2553 เวลา:2:04:32 น.
ผมกำลังสนใจงานขาย