"ยินดีต้อนรับสู่ บล็อกของคนใฝ่รู้ สำหรับผู้ใส่ใจใฝ่รู้ค่ะ" มีหลายหัวข้อเรื่องให้คุณอ่าน .. ขอบคุณที่มาเยี่ยมบล็อกค่ะ .. ขอจงมีแต่ความสุขกายสบายใจตลอดไปนะคะ
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2558
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
11 มีนาคม 2558
 
All Blogs
 
ยิว:ศาสนา สงคราม การเมืองและการดำรงเผ่าพันธุ์ของชาวยิวจากวรรณกรรมชุด ปวศ.ของ มรว.คึกฤทธิ์ 3

อภินันท์ สิริรัตนจิตต์
คณะศิลปศาสตร์และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่

 ความเดิมต่อจากตอนที่ 2 หลังจากยิวตกอยู่ภายใต้การปกครองของโรมัน โดยปอมปีย์ ได้ยึดเอาราชอาณาจักรยูดาห์มาเป็นเมืองขึ้นของโรมแล้ว ก็ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างยิวกับโรมันเหมือนปลากับน้ำ กล่าวคือ มีชาวโรมันที่ไหน มียิวที่นั่น เพราะพวกโรมันขยายการปกครองไปถึงไหน ยิวก็อาศัยอำนาจการปกครองของโรมันไปค้าขายทำมาหากินโดยเสรี

ยิวในยุคมืดของยุโรป

        พวกยิวไปถึงในอิตาลีราวศตวรรษที่ 2 ก่อนพระเยซูประสูติ ในศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสต์ศาสนานั้น ยิวไปถึงฝรั่งเศส และอีกร้อยปีต่อไป ยิวก็เข้าไปในสเปน และในคริสต์ศตวรรษที่ 3 ยิวก็ขึ้นเหนือไปเมืองโคโลญของเยอรมนี ซึ่งในสมัยนั้นเป็นช่วงต้นสมัยคริสต์ศักราช ในยุโรปเต็มไปด้วยคนป่าชาติต่างๆ เหมือนกับแอฟริกา มีแต่โรมันกับยิวเท่านั้นที่เป็นคนเจริญแล้ว

        คนป่าเผ่าต่างๆ ในยุโรปช่วงนั้น ได้ทำการรุกรานโรมัน แต่ถึงกระนั้นก็พ่ายแพ้แก่โรมันไป เพราะความทันสมัยของอาวุธยุทโธปกรณ์และกำลังพลด้านทหาร เป็นอยู่อย่างนี้จนถึงศตวรรษที่ 10 ศาสนาคริสต์ได้ตั้งลงในประเทศต่างๆ ทางยุโรปทิศใต้และตะวันตกก่อน จึงเผยแพร่ไปทิศเหนือและตะวันออกของยุโรป โดยประเทศโปแลนด์ โบฮีเมีย บัลแกเรียและรัสเซีย ตามด้วยเยอรมนีภาคเหนือ เดนมาร์ก นอร์เวย์ สวีเดนและไอซ์แลนด์ แต่ยังคงเหลือฟินแลนด์และลิทัวเนีย สองประเทศที่ยังไม่ได้รับอิทธิพลของคริสต์ศาสนา

        ในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 10 นี้แทนที่จะเป็นยุครุ่งเรืองในยุโรป ซึ่งเป็นช่วงแห่งการเผยแพร่ศาสนา แต่กลับเป็นยุคมืดเพราะสถานศึกษาที่สร้างขึ้นในสมัยกรีกและโรมันก่อนหน้านั้นถูกทำลายหมดสิ้น เพราะเป็นสถานศึกษานอกศาสนา (ศาสนาคริสต์) ซึ่งในยุคมืดแห่งยุโรปนี้ พวกยิวที่ติดตามโรมันไปทุกแห่งในยุโรปก็ยังคงหลงเหลืออยู่อย่างน่าอัศจรรย์ แม้ว่าจะถูกสังหารด้วยคนป่าเพราะชาวยิวได้ติดตามพวกโรมันไป

        เมื่อคนป่าเริ่มก่อร่างสร้างเมืองได้ ก็ชักชวนชาวยิวไปอยู่ในเมืองด้วยเพื่อกระทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยพระเจ้าธิโอโดริคมหาราช ได้เชิญพวกยิวไปอาศัยเมืองใหญ่ของอิตาลี เช่น เมืองโรม เนเปิลส์ เวนิสและมิลาน ซึ่งพวกยิวได้กลายเป็นพ่อค้า นายธนาคาร ผู้พิพากษาและนักกฎหมาย เช่นเดียวกับประเทศฝรั่งเศสและเยอรมนี ก็ทำอย่างนี้เช่นกัน

        เมื่อความเจริญของยุโรปในด้านเศรษฐกิจดีขึ้น การเผยแพร่ศาสนาคริสต์ก็เริ่มรุนแรงตามขึ้น โดยในขั้นแรกนั้น คริสต์ศาสนาพยายามเกลี้ยกล่อมให้ยิวเข้ามานับถือศาสนาคริสต์ แต่ยิวหัวแข็งไม่ยอมนับถือ นอกจากนี้ พวกยิวบางกลุ่มในสเปนยังถูกขู่เข็ญด้วยคมหอกคมดาบ ศาสนาคริสต์จึงจับฆ่าเสียเหมือนชนชาติอื่นๆ เพราะการฆ่าพวกยิวนั้น เท่ากับยอมรับว่าพวกยิวไม่นับถือพระเยซูเด็ดขาด

        สภาพการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในช่วงนั้น จึงสร้างสังคมคือระบอบฟิวดัลไปด้วย โดยคำอธิบายของระบอบฟิวดัลนั้น ผู้เขียนได้สืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม พบว่า ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 9-10 ของยุโรปได้เกิดระบบฟิวดัล (Feudalism) หรือระบบศักดินาสวามิภักดิ์ ซึ่งเป็นระบบที่ครอบคลุมทั้งทางด้านการเมือง การปกครอง สังคม และ เศรษฐกิจของยุโรปยุคกลาง ในเวลาต่อมา

คำว่า Feudalism มาจากคำว่า ฟีฟ (Fief) หมายถึง ที่ดินที่เป็นพันธสัญญาระหว่างเจ้านายที่เป็นเจ้าของที่ดิน ซึ่งเจ้าของที่ดินจะเป็นพวกขุนนาง เรียกว่า ลอร์ด (Lord) กับผู้ใช้ประโยชน์ในที่ดิน คือ ข้า หรือเรียกว่า วัสซัล (Vassal) ความสัมพันธ์ในระบบฟิวดัลคือความสัมพันธ์ระหว่างผู้อุปถัมภ์กับผู้ได้รับการอุปถัมภ์

การเกิดระบบฟิวดัลนั้น เริ่มจากกษัติรย์ที่เจ้านายชั้นสูงของระบบและเป็นเจ้าของที่ดินทั้งราชอาณาจักรจะพระราชทานที่ดินให้กับขุนนางระดับสูงในท้องถิ่นเพื่อให้ขุนนางระดับสูงจงรักภักดีและเป็นการตอบแทนความดีความชอบจากการทำสงคราม ทั้งกษัตริย์และขุนนางจะมีพันธะต่อกัน กล่าวคือขุนนางมีหน้าที่ส่งทหารมาช่วยเหลือเมื่อมีสงคราม ส่งภาษีตามเวลาที่กำหนด

ส่วนกษัตริย์มีหน้าที่ให้ความคุ้มครองและความยุติธรรมแก่ขุนนาง ทั้งนี้ขุนนางระดับสูงก็จะนำที่ดินนั้นมาแบ่งให้กับขุนนาง ระดับรองลงไป ขุนนางระดับสูงจึงเป็นข้าหรือวัลซัลของกษัตริย์ แต่เป็นเจ้านายหรือลอร์ดของขุนนางระดับรองลงไปอีกเพื่อให้ขุนนางระดับรองภักดีและสนับสนุนด้านกำลัง

ส่วนประชาชนที่เป็นข้าติดที่ดินจะได้รับการคุ้มครองจากขุนนางระดับสูง จากนั้นขุนนางจะนำที่ดินนั้นมาหาผลประโยชน์และปกครองดูแลผู้คนดูแลคนที่จะทำมาหากินบนที่ดินในเขตแมเนอร์ (Manor) ของตน ประชาชนที่อาศัยและทำงานในที่ดินนั้นเรียกว่า เซิร์ฟ (Serf) หรือข้าติดที่ดิน

ดังนั้น ระบบนี้จึงเป็นการแบ่งที่ดินลงเป็นการแบ่งที่ดินลงเป็นทอด ขุนนางล่างสุดคืออัศวิน ในแต่ละแมเนอร์จะมีศูนย์กลางของแมเนอร์คือปราสาท ซึ่งเป็นที่อยู่ของขุนนางและครอบครัว บริเวณที่ดินโดยรวมเป็นที่ทำกินของชาวนาและเซิร์ฟ ซึ่งรวมกันเป็นหมู่บ้าน มีทั้งโรงตีเหล็ก ช่างซ่อมแซมสิ่งของ

มีโบสถ์สำหรับประกอบพิธีทางศาสนา รอบๆ หมู่บ้านจะเป็นพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งชาวนาและเซิร์ฟจะต้องแบ่งผลผลิตให้เจ้าของที่ดินเป็นค่าตอบแทน ความสัมพันธ์หรือข้อตกลงของลอร์ดกับวัสซัลมีตามพิธีกรรมที่เรียกว่า “การแสดงความจงรักภักดี”(Homage) หรือสวามิภักดิ์ (อ้างอิงจาก Suphannigablog)

        โดยสรุปในยุโรปยุคกลางนั้น ฝรั่งในประเทศต่างๆ ได้ออกกฎหมายจำกัดสิทธิยิวบางประการ เช่น การออกกฎหมายไม่ให้ยิวเป็นกษัตริย์ ห้ามยิวค้าขายที่ดินให้แก่ชนชาติอื่น เป็นต้น ซึ่งกฎหมายเหล่านี้ได้บังคับใช้กับยิวในบางประเทศของฝรั่ง หรือแม้แต่บางประเทศถึงขนาดไล่ยิวออกไปนอกเขตของตนก็มี

        ในช่วงต้นในสมัยยุโรปตอนกลาง เป็นช่วงการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ จะโดยการบังคับด้วยอาวุธให้ฝรั่งในประเทศต่างๆ ในยุโรปเข้านับถือศาสนาคริสต์ เมื่อส่วนใหญ่มีความเลื่อมใสในศาสนาแล้ว ก็ทำให้ฝรั่งนั้นหันไปมองประเทศปาเลสไตน์ ซึ่งเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาคริสต์ แต่เมื่อมองลงไปดูแล้ว ก็เกิดความไม่สบายใจ

ด้วยความที่ปาเลสไตน์ในช่วงนั้น ไม่ได้อยู่ในอำนาจการปกครองของผู้นับถือคริสต์ศาสนา แต่ตกอยู่ใต้อำนาจการปกครองของชนชาติอาหรับที่นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งมีทั้งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างกรุงเยรูซาเล็ม อันเป็นสถานที่พระเยซูถูกทรมานและตรึงไม้กางเขน หรือเมืองนาซาเรธ อันเป็นบ้านเกิดของพระเยซู

สถานที่เหล่านั้นล้วนแต่มีความสำคัญต่อศาสนาคริสต์ แต่ตกอยู่ใต้อำนาจของอิสลามทั้งสิ้น จึงก่อให้เกิดความไม่สะดวกต่อคริสต์ศาสนิกชนที่ต้องการเดินทางไปแสวงบุญในที่เหล่านั้น กอปรกับการหมดภาระในการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในยุโรป จึงทำให้เกิดความคิดที่จะยกทัพไปตีดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของตนคืนมา

ซึ่งพระในคริสต์ศาสนาได้ประกาศป่าวร้องให้นักรบและศาสนิกชนทั่วไป รวมกำลังกันไปตีเอาคืนดินแดนนั้นมาจากคนนอกศาสนา จนกระทั่งถึงคริสต์ศักราชที่ 1100 สงครามครูเสดจึงเกิดขึ้น ฝรั่งในยุโรปได้ยกทัพข้ามไปยังปาเลสไตน์ เพื่อชิงเอาประเทศคืนจากอิสลาม แต่ชาวอิสลามสู้อย่างสุดฝีมือ ฝรั่งเอาชนะไม่ได้ สงครามครูเสด จึงรบพุ่งติดพันกันมานานถึงสองศตวรรษ

        ตลอดเวลา 200 ปีที่สงครามครูเสดดำเนินอยู่ กองทัพฝรั่งจากยุโรป ยกไปตีปาเลสไตน์เป็นระลอก มีแพ้ชนะบ้าง ไม่เด็ดขาดกัน พอถึงครั้งที่ 6 และครั้งที่ 7 กำลังใจของกองทัพฝรั่งเห็นว่า ทำสงครามนานแล้ว ไม่เป็นผลใดๆ จึงเลิกทัพกลับไป จึงทำให้สงครามครูเสด ยุติลงท่ามกลางความโล่งใจของคริสต์ อิสลามและยิวร่วมกัน

        ผลพวงจากสงครามครูเสด ทำให้ฝรั่งที่มาทำการรบในปาเลสไตน์ มองเห็นความเจริญรุ่งเรืองของอาหรับ ซึ่งมีความวิเศษกว่ายุโรป ทำให้ฝรั่งคิดกลับไปฟื้นฟูศิลปวิทยาการต่างๆ ของตนในเมืองเล็กๆ ที่มีอยู่หลายแห่ง แทนการทำนาทำไร่ จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างคาดไม่ถึง

โดยภาวะนี้ฝรั่งเรียกว่า Renaissance คือการฟื้นคืนชีพแห่งปัญญาทางด้านวัฒนธรรมและศิลปวิทยาการต่างๆ ส่วนหนึ่งได้อาศัยปัญญาของยิว ซึ่งได้รับความหรูหราทางด้านวรรณคดีและวิทยาการต่างๆ และอีกอย่างหนึ่ง คือการแตกนิกายของคริสต์ศาสนาในยุโรป

        การเกิดปัญญา ซึ่งเป็นความรู้ใหม่ในศิลปวิทยาการต่าง ๆ ในยุโรป รวมถึงวิทยาศาสตร์ จึงทำให้เกิดการแตกนิกายใหม่ของคริสต์ โดยเฉพาะพวกอัลบิเกนเซียน ซึ่งกล้าจะตั้งคำถามซักถามถึงกำหนดศรัทธาต่างๆ ของศาสนาหลายกระทง จนทำให้ผู้ปกครองบ้านเมืองต่างๆ ในยุโรป เห็นว่า พวกอัลบิเกนเซียน เป็นอันตรายต่อคริสต์ศาสนา จึงจับไปเผาเสียเป็นจำนวนมาก ซึ่งผลกระทบอันนี้ ส่งผลต่อชาวยิวถึงถูกปรักปรำ ว่าเป็นพวกนอกรีตไปด้วย

        การปราบพวกมิจฉาทิฐินอกรีตนี้ ในสเปนมีการขออนุญาตพระสันตะปาปาให้ขับยิวออกไปนอกประเทศให้หมด เพราะเห็นว่ายิวนั้น เป็นภัยต่อศาสนาคริสต์ ซึ่งกระบวนการขับไล่ยิวออกไปนอกสเปนนั้น ส่งผลให้ดอน อะบราเวเนล เป็นผู้นำพาพวกยิวออกไปจากสเปน

โดยยิวราว 150,000 คนในสเปน ได้ออกไปสู่อียิปต์ราว 50,000 คน ยอมละทิ้งศาสนาเดิมแล้วอยู่ในสเปนราว 50,000 คน ส่วนที่เหลือได้อพยพไปอยู่ในแอฟริกาเหนือ ฝรั่งเศส ฮอลันดา อิตาลีตอนเหนือ ส่วนต่างๆ ของยุโรป และในเอเชียราวอีก 5,000 คน

        เมื่อการสอบสวนยิวในสเปน ที่กล่าวว่า ยิวเป็นพวกนอกรีตและไม่ยอมเข้าศาสนาคริสต์ ก็ได้ระบาดจากสเปนไปโปรตุเกส ก็ทำให้พวกยิวในโปรตุเกสถูกไล่ออกนอกประเทศอย่างที่สเปนทำเช่นกัน จนทำให้ยิวต้องอพยพไปตั้งรกรากในอิตาลีตอนเหนือ แอฟริกาเหนือ รวมทั้งในมหาอาณาจักรออตโตมันด้วย ซึ่งในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 16 นั้น ยังมีการฆ่ายิวและฝรั่งที่ไม่นับถือศาสนาคริสต์อีกนับพันราย

        การที่ฝรั่งหันหน้ามารังแกยิวกันเป็นการใหญ่ ถ้าดูผิวเผินอาจเป็นเรื่องศาสนา แต่ในความเป็นจริงนั้น หากลองมองส่องดูเหตุผลเชิงลึก จะเห็นได้ว่า สาเหตุมาจากทางด้านสังคม เศรษฐกิจ เป็นสำคัญ เพราะหลังจากสิ้นสงครามครูเสด ฐานะของฝรั่งในยุโรปดีขึ้น และเมื่อฝรั่งแลเห็นยิวทำการค้า อุตสาหกรรมเกิดประโยชน์มากขึ้น ฝรั่งก็เริ่มเรียนวิธีการค้าขายกับวิชาอุตสาหกรรมต่างๆ จากยิว และพอได้วิชาความรู้แล้ว ก็คิดจะขับไล่ยิวออกไปนอกสังคมของตนเอง

        จนกระทั่งถึงศตวรรษที่ 13-15 พอฝรั่งตั้งตัวได้ และหลุดพ้นจากระบอบฟิวดัล ก็ได้เริ่มทำการขับไล่ยิวออกจากสังคมและระบบเศรษฐกิจของตน โดยการไล่ออกจากตำแหน่ง ออกข้อห้ามยิวค้าขายนอกสถานที่ รวมทั้งเหตุการณ์สำคัญที่ได้มีสังฆาณัติให้พวกยิว ติดเครื่องหมายสีเหลืองไว้บนเสื้อของตน เพื่อแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่า เป็นคนยิว จากการประชุมทางศาสนาครั้งใหญ่ในสมัยของพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 3 ราวคริสตศักราช 1215

        หลังจากนั้น ฝรั่งก็หน้าหน้ามาเป็นศัตรูกับยิวมากขึ้นทุกที มีการกดขี่ข่มเหงรังแกพวกยิวมากขึ้น ฝรั่งในหลายประเทศได้เอาคัมภีร์ของยิวไปเผาทิ้ง รวมทั้งการปล่อยข่าวลือว่า ยิวนำเด็กไปฆ่า เพื่อเอาเลือดไปใช้ในพิธีกรรม ซึ่งการสร้างกระแสและสถานการณ์เช่นนี้ ได้สร้างความชิงชังต่อชาวยิวให้เกิดขึ้น ทั้งที่ความจริงนั้น ฝรั่งในยุโรปต้องการไล่ยิวออกไปนอกประเทศ เพราะเห็นว่าหมดประโยชน์แล้ว

        การออกกฎหมายรังแกยิว ยิ่งนานเข้า ยิ่งเหมือนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ เพราะผู้ออกกฎหมาย ลืมวัตถุประสงค์ดั้งเดิมของการรักษาชาวยิวไว้ในประเทศ จนมีความมุ่งหมายที่ว่า ใครมีปัญญาออกกฎหมายรังแกยิวได้ ก็ให้ใช้วิธีนั้น จนเลยเถิดไปถึงการจำกัดพื้นที่ของยิวให้อยู่ในบริเวณจำกัด ซึ่งเรียกว่า เก็ตโต และได้ห้ามยิวมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน

ต้องให้ยิวแต่งตัวต่างจากฝรั่ง ออกกฎหมายบังคับให้ยิวต้องหลีกทางให้ฝรั่งเมื่อเดินสวนทางกัน และห้ามไม่ให้ยิวสร้างโรงสวด ดังนั้นในยุคกลางของยุโรป จึงกลายเป็นยุคมืดของยิวไปด้วย แต่ถึงกระนั้น ด้วยความยึดมั่นในศาสนาและความรู้ตัวว่า เป็นยิว

จึงทำให้ยิวเสมือนกับมีแสงสว่างในตัวเอง โดยยิวส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เดือดร้อนมากนัก จากการกระทำเหยียบย่ำของฝรั่ง เพราะอย่างไรเสีย เมื่อฝรั่งมีปัญหาด้านเศรษฐกิจที่จะต้องแก้ไข ก็ต้องไปขอช่วยยิวมาแก้ปัญหาให้ และถึงแม้ว่าฝรั่งจะดูถูกเหยียดหยามยิวรุนแรงอย่างไร แต่ยิวก็ยังมีที่นั่งเป็นที่ปรึกษาในการประชุมสำคัญของฝรั่งทางการปกครองไม่ขาด

ใครเป็นผู้ตั้งระบบนายทุน

        ในยุคกลางของยุโรป เมื่อยิวที่กระจายอยู่ในทุกพื้นที่ของยุโรป ถูกกระทำการกดขี่ข่มเหงทั้งด้านภายนอกและภายใน โดยเฉพาะการทำลายความมั่นคงทางจิตใจของยิว โดยการเผาพระคัมภีร์ของยิว คือคัมภีร์ตาลมุด ซึ่งเป็นคำอธิบายบทบัญญัติของโมเซ รวมทั้งการท้าให้ยิว มาโต้วาทะกับนักปราชญ์คริสต์ศาสนา ในเรื่องศาสนา

เพื่อจะโน้มน้าวให้ยิวเปลี่ยนศาสนา หรือกระทั่งการเกณฑ์ยิวเข้าโบสถ์ฝรั่ง เพื่อฟังเทศน์ของพระราชาคณะชั้นสูง หรือการปล่อยข่าวลือทางศาสนาว่า ยิวขโมยขนมปัง ซึ่งเป็นเนื้อพระเยซูเอาไปทรมาน โดยใช้ของมีคมทิ่มแทงจนเลือดตกยางออก ในราว ค.ศ. 1500 ก็เป็นเหตุให้ฝรั่งเข้ารังแก ควบคุมทำลายชีวิตและทรัพย์สินของยิว

        การสร้างความรู้สึก “เกลียดชังยิว” นั้น ฝังอยู่ในใจฝรั่งตั้งแต่สมัยกลางของยุโรป และเหตุแห่งความเกลียดชังนั้น มีมาจากสาเหตุทางศาสนาและทางเศรษฐกิจ จนถ่ายทอดมาสู่รุ่นลูกหลานของฝรั่ง ทั้งๆ ที่ฝรั่งรู้ว่า การสร้างบ้านแปงเมืองของฝรั่งนั้น ได้เกิดจากมันสมองของยิวซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

        เมื่อมีคำถามว่า ระบอบนายทุนเริ่มต้นขึ้นเมื่อไร จากใคร ประวัติศาสตร์โลกในแต่ละยุคสมัยที่ผ่านมา ยิวได้แสดงความสามารถหลากหลายอันเป็นพิเศษออกมา โดยเฉพาะในยุค Pagan หรือยุคเทวดานั้น ยิวได้แสดงความสามารถทางศาสนา คือได้สร้างศาสนายูดายและคริสต์ขึ้นมา

และในยุคที่มีความร้อนแรงของกรีกและโรมัน ยิวก็ได้แสดงความสามารถทางด้านศีลธรรมและมนุษยธรรมออกมา รวมถึงในยุคที่อิสลาม เรืองอำนาจ ยิวก็ได้แสดงความสามารถทางปรัชญา และในยุคปัจจุบันนี้ ยิวก็ได้แสดงความสามารถทางวิทยาศาสตร์ภาคทฤษฎี คือทฤษฎีของไอน์สไตน์ และในยุคสมัยกลางแห่งยุโรปนั้น

ยิวก็ได้แสดงความสามารถทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีนักปราชญ์บางคนที่ไม่ใช่ยิว กล่าวว่า ยิวเป็นผู้ค้นพบและริเริ่มระบอบนายทุน ซึ่งระบอบนายทุนของยิวนี้ ตั้งอยู่บนหลักการโดยเสรี เพราะหลักการของศาสนายิว จำกัดว่า การค้าขายโดยทำกำไรเกินควร ถือเป็นบาป

        หลังจากยิวซึ่งแฝงอยู่ในประเทศต่างๆ ในยุโรป ยังประสบภาวะทางสงครามร่วมกับประเทศต่างๆ ในฐานะพลเมืองของประเทศนั้น โดยเฉพาะในฝรั่งเศส และรัสเซีย ซึ่งมีการปฏิวัติ การโค่นล้มอำนาจ และการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในรัสเซียที่กลายเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ ซึ่งมียิวเป็นผู้ให้การสนับสนุนในด้านต่างๆ จนล่วงมาถึงราวคริสต์ศตวรรษที่ 19-20 ซึ่งเป็นยุคที่ยุโรปมีความเจริญด้านอารยธรรมต่างๆ

ฮิตเลอร์กับชาวยิว

        ในบรรดาชาติยุโรปทั้งสิ้น เมื่อยิวเข้าไปอยู่ในประเทศใดของยุโรป ก็รับเอาวัฒนธรรมของชนชาตินั้นมาสู่วิถีชีวิต และยิวก็มีความรู้สึกว่า ตนเป็นพลเมืองของประเทศนั้นด้วย ทั้งยิวในอังกฤษ ยิวในฝรั่งเศส และยิวในเยอรมนี

        เมื่อเกิดสงครามโลกขึ้น ยิวในอังกฤษและฝรั่งเศสได้เข้าเป็นทหารของแต่ละประเทศ ซึ่งเป็นพันธมิตรกัน ทำสงครามกับเยอรมนีและออสเตรีย โดยยิวในทั้งสองฝั่ง ต่างเข้าเป็นทหารในประเทศตนและสู้รับกัน

        ความจริงในศตวรรษที่ 19 นี้ เป็นยุคแห่งความรุ่งเรืองทางปัญญา มีปราชญ์เกิดขึ้นมากมาย เช่น เฮเกล, โชเพนเฮาวร์, จอห์น สจ๊วต มิลล์ ดาวินส์ และสเปนเซอร์ อีกงานศิลปะชั้นเลิศจาก โกยา เทอร์เนอร์ โกแก็ง แวนโก๊ะ หรือสุนทรียะทางดนตรีจากเบโธเฟ่น ชูแบร์ โชแปง วากเนอร์ แวดี้ และบราหมส์

รวมทั้งวรรณคดีจากปลายปากกาของเกอเต้ กีทส์ บัลซัค เบอร์นาร์ด ชอร์และยีตส์ และในศตวรรษนี้ นักปราชญ์เชื้อสายยิวที่มีคุณูปการต่อมนุษยชาติ ที่ไม่อาจลืมชื่อไปได้ เช่น คาร์ล มาร์กซ์ เอดมุลด์ ฟรอยด์ แบร์กซอง และไอน์สไตน์ รวมทั้งปัญญาชนชั้นนำที่ทำให้โลกเปลี่ยนไป เชื้อสายยิว เบนยามิล ดิสเรลี่ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีของเกาะอังกฤษ ซึ่งได้สร้างสิ่งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์โลก คือ มหาอาณาจักรบริติช (British Empire)

        เพราะความที่ยิวกลายเป็นฝรั่ง จนคนลืมไป และยิวก็เหมือนจะลืมตัวเองไปว่า เป็นยิว ด้วยความจงรักภักดีต่อบ้านเมืองที่อาศัยอยู่ จึงทำให้ความเป็นยิวเจือจางลง ทั้งยิวในยุโรปและอเมริกา นึกว่าตนเป็นฝรั่ง เป็นส่วนหนึ่งของสังคมฝรั่ง มีสิทธิในการทำมาหากิน เช่นเดียวกับคนทั่วไป จนเสมือนไม่มีอะไรให้ยิวต้องเป็นห่วง

        แต่เมื่อวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1933 พรรคนาซีได้รับการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงเหนือพรรคการเมืองอื่นๆ อย่างท่วมท้น อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งเยอรมนี ซึ่งในวันนั้น คนชาวเยอรมันออกจากบ้านแสดงความยินดีต่อพรรคนาซี ซึ่งสวนเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาล และเดินอยู่บนถนนอุนเตอร์ เด็นลินเด็น ในกรุงเบอร์ลิน ซึ่งไม่มีใครรู้ว่า อีกสิบปีต่อมา ได้เกิดเหตุการณ์นองเลือดทั่วยุโรป

        ประวัติโดยย่อของฮิตเลอร์นั้น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เล่าไว้ว่า ฮิตเลอร์นั้นเป็นลูกของ Alois Schickgruber โดยปู่ของฮิตเลอร์นั้นไม่ทราบว่า เป็นใคร แต่ย่าของฮิตเลอร์นั้น มีอาชีพเป็นหญิงรับใช้เร่ร่อน โดยพ่อของฮิตเลอร์นั้น มีเมีย 3 คน และเมียคนที่ 3 นั้น เป็นแม่ของฮิตเลอร์ ซึ่งอ่อนกว่าฮิตเลอร์ราว 23 ปี

ในปี 1889 ฮิตเลอร์ถือกำเนิด และมีชีวิตยากลำบาก เมื่อเข้าโรงเรียนก็ไม่ได้ไปไกล เมื่อเป็นทหารก็มียศแค่สิบตรี เคยเข้าเรียนวิจิตรศิลป์ แต่ไม่สำเร็จ จึงยึดอาชีพเป็นช่างทาสีบ้าน สิ่งที่น่าขบคิด คือ ฮิตเลอร์ มีสิ่งใดทำให้ตนได้รับความเลื่อมใสและความภักดีจากผู้อื่น

ด้วยความที่ฮิตเลอร์มีความสามารถในทางตรงกันข้ามกับผู้นำคนอื่นๆ คือ มีแต่ความชั่วร้าย ความโหดร้ายทารุณ ซึ่งเป็นสัญชาตญาณดั้งเดิม ส่วนหน้าตาของฮิตเลอร์นั้น มีผมปรกหน้าผากของนโปเลียน และมีหนวดเหมือนชาร์ลี แชปลิน

        ความเกี่ยวข้องระหว่างยิวกับเยอรมนี ในฐานะของพลเมืองประเทศนี้ ทำให้ยิวกลายเป็นประชากรที่สำคัญของเยอรมนี แต่ถึงกระนั้น ความรู้สึกที่ฝรั่งถูกปลูกฝังให้รู้สึกเกลียดชังยิวยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะความรู้สึกที่พวกนาซี มีต่อยิว

        ความเกลียดชังยิว โดยพวกนาซีนั้น เป็นความรู้สึกเกลียดชังยิวแบบทั้งเผ่า ซึ่งความเกลียดชังนี้ เป็นความรู้สึกแบบแอนตี้เซมิติก ซึ่งเป็นปัญหาทางจิตวิทยาอย่างหนึ่ง รักษายาก สาเหตุสำคัญของโรคนี้ คือ ความกลัวคนที่เกลียดยิวแบบความรู้สึกนี้ จะใช้วิธีการทางเดียวในการหาทางออก คือ การทำลายล้างพวกยิวให้หมดไป เหตุผลที่ฮิตเลอร์ รู้สึกไม่ชอบยิว

เพราะครั้งพ่ายสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้เยอรมนีตกอยู่ในสภาพแร้นแค้น ทั้งยุโรปตะวันออกรวมอยู่ด้วย ซึ่งดินแดนแถบนั้น พวกยิวได้ไปตั้งรกรากอยู่ในขณะที่เยอรมนีรบกับรัสเซียอย่างรุนแรงติดต่อกันเป็นเวลา 4 ปี โดยในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อกองทัพรัสเซียถอยออกไปจากดินแดนนั้น ก็ได้ฆ่าพวกยิว เป็นจำนวนมาก

 เพราะคิดว่าเป็นพวกเยอรมนี และต่อมา เมื่อกองทัพเยอรมนีได้ถอยทัพออกจากพื้นที่นั้น ก็ได้ฆ่ายิวอีกเป็นจำนวนมาก เพราะคิดว่า ยิวเป็นหูเป็นตาแก่รัสเซีย

        หลังจากพ่ายสงครามโลกครั้งที่ 1 เยอรมนีได้ตั้งสาธารณรัฐขึ้นแทนระบอบการปกครองแบบราชาธิปไตย จนกระทั่งใน ปี ค.ศ. 1923 นายพลเยอรมันคนหนึ่ง ชื่อ เอริค ฟอน ลูเดนดอรฟ และช่างทาสีบ้าน ไม่มีงานทำคนหนึ่ง ชื่ออดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้สมคบกันทำการรัฐประหารเพื่อโค่นล้มรัฐบาลบาวาเรีย

 แต่การทำรัฐประหารครั้งนั้นไม่สำเร็จ ทำให้ทั้งนายพลคนดังกล่าวและฮิตเลอร์ ถูกจับขังเป็นเวลา 5 ปี แต่พอเข้าคุกได้ไม่ถึงปี ก็ถูกปล่อยตัวออกมาเป็นอิสระ และชีวิตทางการเมืองของฮิตเลอร์ก็ได้เริ่มต้นขึ้น

        ฮิตเลอร์ได้รับการช่วยเหลือจากพวกชาตินิยมหัวรุนแรง และเจ้าของอุตสาหกรรมใหญ่ๆ รวมทั้งทหารที่เข้าใจผิดว่า ฮิตเลอร์จะตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของตน และคิดว่า ฮิตเลอร์จะไม่มีทางได้อำนาจอะไรจากการเมืองเลย ดังนั้นคนเหล่านี้จึงสนับสนุนฮิตเลอร์ด้วยความหลงผิด

        ด้วยความที่บกพร่องและความชั่วร้ายของเยอรมนีที่มีคอมมิวนิสต์ ยิวและสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ซึ่งพันธมิตรบังคับให้เยอรมนีลงนาม เป็นต้นเหตุให้มีการออกกฎหมายบังคับลัทธิคอมมิวนิสต์ การทำลายล้างยิวให้หมดไป รวมทั้งการไม่ปฏิบัติตามสนธิสัญญาแวร์ซายส์ เพื่อทำให้เยอรมนีเป็นมหาอำนาจและมีความเจริญต่อไป

กอปรกับพวกทหารที่ไม่พอใจระบบการปกครองแบบเก่า จึงทำให้พรรคนาซีของฮิตเลอร์มีคะแนนเสียงมากขึ้น จนในปี 1929 ฮิตเลอร์ ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี และสั่งล้มพรรคการเมืองที่เหลือ โดยกุมอำนาจการบริหารไว้ด้วยพรรคนาซีเพียงพรรคเดียว

        พอฮิตเลอร์เข้าครองอำนาจ รัฐเยอรมนีก็ถูกจัดใหม่ พร้อมที่จะกระทำความโหดร้ายทารุณเป็นขั้นต่อๆ กัน โดยที่เกี่ยวข้องกับพวกยิวนั้น ในปี 1935 รัฐสภาเยอรมนี โดยพรรคนาซีของฮิตเลอร์ออกกฎหมายตัดสิทธิทางการเมืองของคน “เชื้อสายยิว” ต่อมาด้วย ตัดอาชีพยิว ห้ามไม่ให้ประกอบธุรกิจต่างๆ ขู่กรรโชกทรัพย์ ทำให้ยิวต้องจ่ายเงินให้พวกนาซี พร้อมทั้งกับการยึดกิจการของยิวให้ไปอยู่ในกระเป๋าของพวกนาซี แล้วจับยิวนับร้อยส่งไปอยู่ค่ายกักกัน

        เมื่อพรรคนาซีเกลียดชังยิว ก็ส่งยิวไปอยู่ในค่ายกักกัน โดยในตอนแรกนั้น ในค่ายกักกันมีแต่ฝรั่ง ซึ่งเป็นฝ่ายปฏิปักษ์กับพรรคของนาซี เช่นพวกเสรีนิยม หรือพวกคอมมิวนิสต์ พวกยิวถูกส่งไปค่ายกักกันในภายหลังเนื่องจากการอ้างถึงการแอนตี้เซมิติกต่อยิวในเยอรมนีที่ดำเนินมาอยู่เป็นระยะแล้ว

        พรรคนาซีได้ปล้นร้านค้าของยิว ทุบตีชาวยิวที่ขัดขืนและไม่ยอมติดต่อธุรกิจกับยิว รวมทั้งออกกฎหมายบังคับยิวซึ่งเป็นข้อห้ามต่างๆ จนกระทั่งในปี 1939 ฮิตเลอร์ได้สั่งให้จับยิวถึงสองหมื่นคน แล้วส่งตัวไปค่ายกักกัน และตั้งแต่ปี 1933 ถึง 1939 นั้น พรรคนาซีได้ยอมให้พวกยิวอพยพออกนอกประเทศได้

ถ้าหากว่า ยอมเสียค่าไถ่ตัวแก่รัฐบาลเยอรมนี เพราะในระยะนั้นอนุญาตให้ยิวอยู่ราว 3 แสนคน ใน 5 แสนคน ซึ่งได้อพยพออกจากเยอรมนีไป ส่วนอีก 2 แสนคน จับไว้เป็นตัวประกัน

        การกักขังยิวไว้ในค่ายกักกันหรือเก็ตโตนั้น ก็ทำให้ยังมียิวอยู่เป็นจำนวนมาก ฮิตเลอร์จึงคิดวิธีการ “การแก้ปัญหาขั้นสุดท้าย” โดยการส่งยิวเข้าห้องแล้วเปิดแก๊สให้ยิวตายพร้อมๆ กัน ทีละพันคน ฝรั่งที่เห็นว่า เยอรมนี โดยฮิตเลอร์ มีมาตรฐานต่ำกว่ามนุษย์ คือรัสเซีย โปแลนด์ โรมาเนีย ฮังการี ยูโกสลาเวีย ก็โดยแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่ฮิตเลอร์เรียกว่า “การแก้ปัญหาขั้นสุดท้าย” เช่นกัน

        ความจริง เมื่อยิวถูกฮิตเลอร์กระทำอย่างรุนแรงและหนักหน่วงก็ตอบโต้อยู่เช่นกัน แต่การต่อสู้ของยิวนั้น เป็นการต่อสู้ด้วยสัญชาตญาณ เพราะยิ่งยิวต่อสู้กับนาซีเท่าใด พวกนาซีจะไม่ทำร้ายยิวด้วยปืน แต่จะจับเอาเด็กไร้เดียงสามาทำการทรมานต่อหน้าพ่อแม่ หรือจับเด็กผู้หญิงมาให้พวกนาซีลงแขก และถูกเสียบด้วยปลายปืน

        การต่อสู้ของยิวต่อนาซี ได้ลุกลามไปหลายประเทศ โดยเฉพาะในโปแลนด์ ชาวยิวในค่ายกักกันลุกขึ้นต่อสู้กับนาซี ใน ค.ศ. 1943 ซึ่งมียิวเหลือเพียง 4 หมื่นคนเท่านั้น จากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้พวกนาซีเป็นเดือดเป็นแค้น จึงจัดกองทหารให้มาปราบปรามยิวที่กรุงวอร์ซอร์โดยด่วน โดยมีนายพลยีรเกนส์ สตรูป เป็นผู้บัญชาการ เมื่อน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ แม้ยิวจะต่อสู้กับนาซีได้นานระยะหนึ่ง แต่ก็พ่ายแพ้ไป

        หลังจากพวกนาซีออกคำสั่งห้ามไม่ให้ยิวอยู่รวมกันในค่ายกักกัน การฆ่ายิวเป็นจำนวนมากก็ดำเนินการต่อไปโดยเร่งด่วน ขบวนรถไฟบรรทุกยิวไปสู่ห้องแก๊ส ยังคงดำเนินอยู่ทุกวัน ทั้งกลางวันและกลางคืน และได้สิ้นสุดลงเมื่อทหารพันธมิตรได้รุกเข้าไปในเขตแดนเยอรมนี เพื่อเปิดเผยในสิ่งที่มนุษย์โลกไม่เชื่อว่า สิ่งที่จะเป็นไปได้เช่นนี้ ได้เกิดขึ้นแล้ว

 และโศกนาฏกรรมของชาวยิวจากการกระทำของนาซี โดยผู้นำฮิตเลอร์ เป็นความโหดร้ายที่มนุษยชาติได้จารึกไว้ในประวัติศาสตร์ โดยถ่ายทอดถึงเหตุการณ์นี้ผ่านการเล่าสืบต่อกันมาถึงปัจจุบัน

        หลังจากที่พันธมิตรได้สิ้นสุดสงครามกับเยอรมนี ในสงครามโลกครั้งที่สอง และฮิตเลอร์ได้ฆ่าตัวตายไปในเดือนเมษายน ค.ศ. 1945 ทำให้ชะตากรรมของยิวที่ถูกรุกรานมาเป็นเวลาหลายพันปี จะต้องถึงเวลาในการมีแผ่นดินเป็นของตนเองเสียที แต่ถึงกระนั้น ชะตากรรมของชาวยิวยังคงต้องตกระกำลำบากต่อไป เมื่อต้องฟื้นฟูแผ่นดินที่แห้งแล้ง และต่อสู้สงครามกับคนอาหรับ และอังกฤษ รวมทั้งรัสเซีย ที่มีความเกี่ยวพันกัน

        สงครามที่เกิดขึ้นระหว่างชาวยิวกับอาหรับ ดำเนินต่อมาจนกลายเป็นสงครามต่อเนื่อง โดยมีสหประชาติเป็นตัวกลางคอยไกล่เกลี่ย ซึ่งในขณะรบกันสงครามติดพันนั้น รัฐบุรุษของยิวก็ได้ใช้เวลาสร้างชาติและเอกราชของยิวขึ้น โดยในปี ค.ศ. 1949 สภาร่างรัฐธรรมนูญของยิวก็ได้เกิดขึ้น โดย ดร.เคม ไวซ์แมนน์ ได้เป็นประธานาธิบดีคนแรก

และมีนายเดวิด เบ็น กูเรียน เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยที่ฟักตัวมาเป็นเวลานาน และในปี ค.ศ. 1947 เบ็น กูเรียน เป็นกำลังสำคัญที่สุดในการโน้มน้าวให้ประเทศในสหประชาชาติ ลงมติให้อิสราเอล เป็นประเทศเอกราช

        แต่ถึงแม้ว่า อิสราเอล จะเป็นประเทศเอกราชแล้ว ชาวยิวก็ยังต้องประสบกับชะตากรรมทางสงครามต่างๆ ที่ดำเนินอยู่ ซึ่งเป็นข่าวความขัดแย้งระหว่างอาหรับกับชาวยิวที่มีสหประชาชาติ โดยอเมริกาเป็นพี่ใหญ่ คอยจับตาดูอยู่ว่า จะเข้าไปทำอะไรได้บ้างจนถึงทุกวันนี้

        ผู้เขียนรู้สึกว่า ยิ่งเล่าเรื่องชาวยิวจากวรรณกรรมชุดประวัติศาสตร์ เรื่อง ยิว โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ยิ่งทำให้ตนเองต้องหาข้อมูลต่อไปอีกหลายชุด เพื่อตอบคำถามที่คาใจให้ได้ ว่า แล้วสถานการณ์ชาวยิวในปัจจุบัน ที่ดำรงอยู่ทางชาติพันธุ์ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ไปมีบทบาทหน้าที่ และแสดงความสามารถของความเป็นยิวที่เก่งกาจ ในบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆ ของอเมริกาและยุโรปเหมือนกับชาวยิวในอดีตที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องนี้อย่างไร

        เก็บตกเรื่องการปฏิวัติในยุโรปและที่อื่นๆ จาก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช

        ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช แสดงทัศนะเกี่ยวกับการปฏิวัติไว้ว่า การปฏิวัติที่แท้จริงนั้น มีลักษณะไม่เหมือนกับสิ่งที่ผู้คนนึกคิด กล่าวคือ มิได้เกิดมาจากประชาชนที่ถูกกดขี่หรือไม่ได้เกิดขึ้นเฉยๆ กะทันหัน แต่การปฏิวัตินั้น เกิดจากปัญญาความคิดของชนชั้นกลางหรือชนชั้นสูง ซึ่งมีระยะเวลาในการฟักตัวที่ยาวนาน บางทีก็ใช้เวลาตั้งเป็นร้อยปี แล้วทำให้ความคิดเหล่านั้นปรากฏเป็นรูปร่าง

        การฟักตัวของการปฏิวัตินั้น พอจะเห็นได้ 3 ขั้น คือ ขั้นปัญญา ขั้นการเมือง และขั้นบริหาร

        ในขั้นแรกนั้น คือขั้นปัญญา มีปัญญาชนเป็นผู้ตั้งข้อสงสัยในระบอบการปกครองและสถาบันต่างๆ ซึ่งแสดงให้เห็นความบกพร่องและความไม่เป็นธรรมของระบอบและสถาบันนั้นๆ แล้ววางแผนว่า ควรแก้ไขอย่างไร หรือจะสร้างสังคมใหม่อย่างไร โดยปัญญาชนที่อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติฝรั่งเศส คือ วอลแตร์ รุสโซ มองเตสคิเออ และคอร์ดอร์เซต์

ส่วนปัญญาชนที่อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติเพื่อเอกราชของอเมริกา คือล็อค ฮอบบส์ เบคอน และเบอร์ค ส่วนปัญญาชนที่ก่อการปฏิวัติในรัสเซีย คือ มาร์ก และเองเกลส์ จะเห็นได้ว่า ปัญญาชนเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในชนชั้นชาวนา ชาวไร่ แต่เป็นลูกหลานของคนชั้นกลางและชั้นสูง

        ในขั้นที่สอง คือ ขั้นการเมือง โดยความคิดของปัญญาชนต่างๆ นั้น จะแผ่ไปในความคิดของคนอื่นอย่างช้าๆ ทำให้นักการเมืองเกิดขึ้น และเมื่อปัญญาชนนั้น มีความคิดเห็นอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จะแสดงความคิดเห็นออกมา แล้ววางเป็นของกลาง โดยนักการเมือง จะเป็นผู้หยิบเอาความคิดเห็นเหล่านั้นไปเผยแพร่แล้วขยายให้ประชาชนได้รู้และเข้าใจอีกต่อหนึ่ง

ถ้าหากว่า ระบอบการปกครองนั้น เป็นปฏิปักษ์ต่อความคิดเห็น นักการเมืองจะรวบรวมประชาชนให้เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบนั้น แล้วเสนอความคิดเห็นใหม่ จนโค่นล้มระบอบการปกครองเดิมลง ซึ่งในฝรั่งเศสนั้น ในขั้นการเมืองนี้ มีนักการเมืองคนสำคัญ ได้แก่ โรเบสปิแอร์ ดางตอง และมาราต์ ในอเมริกา มี อาดามส์ เจฟเฟอร์สัน แฮมิลตัน มาดิสันและแฟลงค์ลิน ส่วนในรัสเซีย ได้แก่สตาลิน เลนินและตรอตสกี้ ซึ่งคนเหล่านี้เป็นชนชั้นกลางหรือผู้เกิดในสกุลดีทั้งหมด

        และในขั้นสุดท้ายของการปฏิวัติ คือขั้นบริหาร โดยนักบริหารหรือข้าราชการ จะต้องเข้ามารับช่วงเอาการปฏิวัตินั้นไปจากนักการเมือง เพื่อทำให้ความเห็นต่างๆ แห่งการปฏิวัตินั้นเป็นหลักการที่มั่นคงในการปกครองแผ่นดินและสถาบันต่างๆ ตัวอย่างเช่นในฝรั่งเศส มีนโปเลียน เป็นผู้บริหาร นำหลักการปฏิวัติมาใช้เป็นหลักการปกครอง จนเป็นที่รู้จักกันอย่างมั่นคง

        ส่วนในประเทศไทยนั้น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช แสดงทัศนะไว้ว่า การปฏิวัติในเมืองไทย ไม่รู้จักเป็นผลสำเร็จสักที เพราะข้าราชการไม่ยอมรับช่วงต่อจากนักการเมือง เมื่อนักการเมืองได้ยึดอำนาจมาจากเจ้านาย ขุนนาง เพื่อให้ประชาชนได้ปกครองตนเอง แต่ข้าราชการเมืองไทย ไม่ยอมเข้ารับช่วงต่อจากนักการเมือง เพื่อดำเนินการต่างๆ ให้ราษฎรได้ปกครองตนเอง คอยแต่จะรับคำสั่งคำบังคับบัญชาจากนักการเมือง

โดยทำให้นักการเมืองกลายเป็นเจ้านาย ขุนนางไปในที่สุด จึงทำให้การปฏิวัติไม่ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์เสียที เพราะมีนักการเมือง ผลัดกันเข้ามาเป็นขุนนาง มาเป็นเจ้านาย ปกครองราษฎร

ผลสุดท้าย ก็ไม่มีใครนอนตาหลับสักคนเดียว นักการเมืองก็นอนตาไม่หลับ เพราะกลัวคนอื่นมาแย่งอำนาจ ข้าราชการก็นอนไม่หลับ เพราะกลัวถูกนักการเมืองไล่ออก ส่วนราษฎรก็นอนไม่หลับ เพราะไม่รู้ว่า นักการเมืองและข้าราชการ จะทำให้โชคชะตาของตนเองเปลี่ยนไปในทางใดอีก (คึกฤทธิ์ ปราโมช, 2510:หน้า 286-288)

        ก่อนจะอำลา เรื่องราวของชาวยิว จากวรรณกรรมชุดประวัติศาสตร์ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นี้ ผู้เขียนคิดเห็นว่า ประวัติศาสตร์ในมิติต่างๆ ในโลก ทั้งด้านศาสนา เศรษฐกิจ การเมืองและสังคม รวมทั้งด้านอื่น มีบทเรียนมากมาย ทั้งด้านบวกและด้านลบ ให้ได้ศึกษาเรียนรู้อย่างไม่สิ้นสุด และสามารถใช้เป็นกรณีศึกษาชั้นดีของชีวิต เพียงแค่หาเวลาอ่านและทำความเข้าใจในสิ่งที่อ่าน

ถ้าจะกล่าวว่า ประวัติศาสตร์ที่ดีที่สุดนั้นอยู่ที่เรานั้น จะร่วมขีดเขียนประวัติศาสตร์ของตนเอง ประวัติศาสตร์ของชนชาติ หรือประวัติศาสตร์ของประเทศชาติ ให้เป็นประวัติศาสตร์ที่ควรจารึก เพื่อนำสู่การเป็นบทเรียนที่ควรแก่ศึกษาเรียนรู้อย่างมีความหมาย

และสิ่งเหล่านี้ จะกลายเป็นมรดกแห่งความทรงจำที่จะถูกเล่าขานอย่างน่าตราตรึงใจ เฉกเช่น ชนชาติยิวที่เข้มแข็ง เฉลียวฉลาด มีความรักชาติ และศรัทธาในศาสนาอย่างลึกซึ้ง จนสามารถดำรงชาติพันธุ์แห่งคนยิว ที่ผ่านความยากลำบากมาร่วมสองสหัสวรรษแล้ว ...ดังนั้น ในการนี้ จึงขอยุติเรื่อง “ยิว” ไว้แต่เพียงเท่านี้ ...เอวัง ก็มี ด้วยประการฉะนี้ครับ 

 

ขอบคุณ ผู้จัดการออนไลน์

คุณอภินันท์ สิริรัตนจิตต์

สิริสวัสดิ์วุธวารค่ะ




Create Date : 11 มีนาคม 2558
Last Update : 11 มีนาคม 2558 7:53:41 น. 0 comments
Counter : 821 Pageviews.

sirivinit
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 224 คน [?]





/



2558

2556

2555

น้ำใจจากคุณ krittut 2554

2553


สิริสวัสดิ์วรวาร
เปรมปรีดิ์มานรื่นรมณีย์นะคะ ยินดีต้อนรับ
สู่บล็อกของคนใฝ่รู้ สำหรับผู้ใส่ใจใฝ่รู้ค่ะ

เชิญอ่านตามสบายนะคะ
มีดีๆให้คุณได้ทราบหลากหลายค่ะ

๑ - ๑/๑ ฉันรักในหลวง
๒.๓.๑๐.๑๕.๓๐.๒๔.๕๙.๖๓.๙๐.ธรรมะ
๔ - ๔/๑ รวมพลคนดัง
๕. ศาสนาพุทธสุดประเสริฐ
๖. ความรู้ทั่วไปในศาสนาพุทธ
๗. ๑๖. ประวัติศาสตร์
๘ - ๙/๑ ไม้ดอก ไม้ใบ
๑๑ - ๑๑/๑ เกม
๑๒.๓๗.๔๐-๔๓.๕๓.๗๕.๘๖.ศิลปะเทศ
๑๔ - ๑๔/๑. ๒๐๘. ข่าวคนดังเทศ
๑๘. ๑๙. ๒๒. ราชวงศ์ไทย
๒๐.๑๑๖-๑๑๖/๒ ๑๙๐-๑๙๐/๘ ละคร ทีวี
๒๑. ๓๑. ๒๐๘. ราชวงศ์เทศ
๒๔. นักเขียนไทย
๒๔/๑. กลอนชั้นบรมครู
๒๙/๑-๒๙/๔โปสการ์ดจากเพื่อนบล็อก
๓๓. สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
๓๙.๑๘๑-๑๘๑/๗ สุธาโภชน์รสเลิศล้ำ
๔๑.๔๒.๕๐.๕๘.๖๐.๖๑.๘๖.มหาวิหาร
๕๗. ปราสาท พระราชวัง คฤหาสน์เทศ
๖๒. วัด
๖๕ - ๖๕/๑ การ์ตูน
๖๕/๒. นิทานเซน
๖๗. ความตายมาพรากให้จากไป
๖๙ - ๖๙/๒ สารพัดสัตว์
๗๔. สุนัข
๗๖. อุทยานสวรรค์
๗๗. ซูเปอร์แมน - แบทแมน
๗๘ - ๘๓. แสตมป์สะสม
๘๕-๘๕/๑ หนังสือสะสม
๘๗ - ๘๗/๒ ๒๑๕ ข่าวกีฬา
๘๙. ๘๙/๑ จีนแผ่นดินใหญ่
๙๐/๑ .ทิเบต
๙๑. จันทร์สูริย์ดารา
๙๒. สมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า
๙๓ - ๙๓/๒ ภาพยนตร์
๙๔ - ๙๔/๓ ยานยนต์
๙๕ - ๙๕/๑ ดูดวง
๙๖ - ๙๖/๑ . ๒๑๑ วิทยาศาสตร์
๙๗ - ๙๗/๑.๒๐๙ แวดวงวรรณกรรม
๙๘. ภาพพุทธประวัติ
๙๙. ๑๒๗ - ๑๒๗/๑ ดนตรี
๑๐๑. ป้าย R สะสม
๑๐๒. บัตรภาพตราไปรฯสะสม
๑๐๓. DIY
๑๐๗/๑ เล่าเรื่องเมืองญี่ปุ่น
๑๐๘ - ๑๐๘/๑ หนังสือ
๑๑๓ - ๑๑๓/๑ บ้านสวย
๑๑๕. พระเครื่อง
๑๒๐. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๒๓. เจ้าฟ้าเพชรรัตน์ฯ
๑๒๕. เหรียญที่ระลึก
๑๒๕/๑ เหรียญสะสมต่างประเทศ
๑๒๕/๒ เหรียญที่ระลึกจังหวัด
๑๒๕/๓ ธนบัตรที่ระลึก
๑๒๕/๔ บัตรโทรศัพท์
๑๒๕/๕ กล่องไม้ขีด และอื่นๆ
๑๓๑.เรื่องสั้นชั้นครู"เจียวต้าย"
๑๖๔.บล็อกพิเศษ วันเดียวอั๊พ 100
เอนทรี่ ให้คุณป้า"ร่มไม้เย็น"ชม
๑๙๐/๓ เรื่องย่อละคร
๑๙๓. คดีเขาพระวิหาร
๒๑๒. ศิลปะ
๒๑๗. วิถีแห่งอำนาจ บูเช็กเทียน
๒๑๗/๑.วิถีแห่งอำนาจ เจงกิสข่าน
๒๑๗/๒.วิถีแห่งอำนาจ จูหยวนจาง
๒๑๗/๓.วิถีแห่งอำนาจ ซูสีไทเฮา
๒๑๗/๔.วิถีแห่งอำนาจ หงซิ่วฉวน
๒๑๗/๕.วิถีแห่งอำนาจ แฮรี่ พอตเตอร์

ข่าวทั่วไปล่าสุด บล็อกล่างสุดค่ะ

เปิดบล็อก 1 มกราคม 2552



free counters
08.27 - 250811

207 flags collected 300316



Friends' blogs
[Add sirivinit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.