Group Blog
All Blog
<<< "เพียรสร้างสติ" >>>









"เพียรสร้างสติ"

สตินี้ เป็นพ่อแม่ของธรรมอย่างอื่น

 สมาธิจะเกิดไม่ได้ถ้าไม่มีสติ

ปัญญาจะเกิดไม่ได้ถ้าไม่มีสมาธิ

ก็เป็นของที่สนับสนุนกัน

ความสงบก็จะเกิดไม่ได้ถ้าไม่มีปัญญา

ความสงบที่ถาวรนี้ต้องใช้ปัญญา

เป็นตัวทำลายความอยากความโลภต่างๆ

ให้หมดไปจากใจ ฉะนั้นขั้นแรก

ของความเพียรของเรา จึงต้องเพียรที่สติ

 เพียรสร้างสติขึ้นมา ดึงใจให้กลับมาหาตัวเรา

 ตอนนี้ใจเราไปทุกที่ทุกแห่ง

ไปกรุงเทพ ไปพัทยา ไปเชียงใหม่

ไปเมืองนอกเมืองนา ไปหมด

 ไปแล้วมันก็ลากร่างกายไปด้วย

 พอคิดถึงเมืองนอกเดี๋ยวก็ไปทำวีซ่า

ไปทำพาสปอร์ต ไปตีตั๋วจองเครื่องบิน

 แล้วก็ไปกัน พอไปอยู่ที่เมืองนอก

ก็คิดถึงเมืองไทยกลับมาอีก

ก็วิ่งไปวิ่งมาอยู่อย่างนี้ ถูกความคิดมันหลอก

 คิดว่าอยู่ที่เมืองนอกแล้วมีความสุข

 อ้าวไป พอไปเมืองนอกกัน พอไปอยู่เมืองนอก

 โอ้ย สู้บ้านเราไม่ได้ อยากจะกลับบ้านแล้ว

 บ้านเราสุขกว่า แต่อยู่ที่ไหนก็ไม่สุขหรอก

 เพราะว่ามันสุขปลอม สุขเดี๋ยวเดียว

สุขจริงนี่มันต้องสุขใจ สุขที่ความสงบ

 จะสงบได้ก็ต้องหยุดคิด

ต้องดึงใจให้กลับเข้ามาอยู่ที่ตัวเรา

อยู่ที่ร่างกาย อยู่ที่ปัจจุบันอยู่ตรงนี้

ตรงนี้แหละคือความสุข

ไม่มีที่ไหนจะสุขกว่าตรงนี้แล้ว

 ถ้าทำใจให้อยู่ตรงนี้ได้

ตรงนี้แหละคือที่สุขที่สุด

ถ้าไปที่อื่น ไปกี่ทีก็ไม่มีวันเจอความสุข

 ไปแล้วมันก็จะหลอกให้เราไปที่อื่นต่อ

นี่เราต้องดึงให้มันกลับมาให้อยู่ที่ตรงนี้ให้ได้

อยู่ในปัจจุบัน อยู่กับร่างกาย

อยู่กับการไม่ต้องทำอะไร อยู่เฉยๆ

ไม่ต้องอยากไม่ต้องโลภ นี่คือหน้าที่ของสติ

 สติเราจะดึงใจให้กลับเข้ามาที่ตัวเรา

ตอนนี้ใจมันไปรอบโลกเลย เพราะไม่มีสติ

 เพราะเผลอสติ ปล่อยให้คิดเพ้อฝันไป

คิดถึงคนนั้นคิดถึงคนนี้

เดี๋ยวถ้าคิดถึงของเดี๋ยวก็ต้องไป ช็อปปิ้งกัน

คิดถึงอาหารเดี๋ยวก็ต้องไปหาร้านอาหารกินกัน

 คิดถึงอะไรเดี๋ยวมันก็จะดึงเราไปหาสิ่งที่เราคิดถึง

ไปแล้วได้อะไรกลับมา ก็เหมือนเดิม

กลับมาก็ยังอยากเหมือนเดิม

ยังโลภเหมือนเดิม ยังหิวเหมือนเดิม

นี่ลักษณะของการไม่มีสติ

ไม่มีสติควบคุมใจหยุดใจไม่ให้คิด ให้รู้เฉยๆ

ใจเรามีสองส่วน ส่วนหนึ่งเรียกว่ารู้

อีกส่วนหนึ่งเรียกว่าคิด ให้หยุดความคิด

แล้วให้เหลือแต่ส่วนที่รู้ ให้รู้เฉยๆ ก็พอ

 รู้แต่ไม่ต้องไปคิดกับเรื่องที่เรารู้

 เช่น รู้เสียง เสียงชมเสียงด่าก็ให้รู้เฉยๆ

 อย่าไปตอบโต้กับเสียงที่เราได้ยิน

ได้ยินเสียงที่เขาด่าก็โกรธอย่างนี้ ต้องรู้เฉยๆ

 รู้ว่าเขาด่า รู้ว่าเป็นเสียงด่า

เสียงชมก็ไม่ต้องไปดีใจ

ไม่ต้องไปขอบอกขอบใจเขา

พอเขาว่าสวยหน่อยก็ ขอบคุณค่ะ (หัวเราะ)

ต้องเฉยๆ ใครจะพูดอะไรก็ปากของเขา

 ถ้าเราไปยินดียินร้ายกับปากของเขา

เราก็จะวุ่นวาย วันไหนเขาไม่ชมเรา

 เราก็จะเสียใจ วันไหนเขาตำหนิเรา

เขาว่าเราเราก็จะเสียใจ แล้วเราจะไม่สงบ

จะไม่มีความสุข แต่ถ้าเราเฉยๆ รู้เฉยๆ

ใจเราจะสงบใจเราจะสบาย

จะเฉยๆ ได้นี้ก็ต้องมีสติ ดึงใจกลับเข้ามา

 หยุดความคิด หยุดความอยาก หยุดการตอบโต้.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

............................

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๐








ขอบคุณที่มา fb.พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 13 กรกฎาคม 2560
Last Update : 13 กรกฎาคม 2560 5:05:29 น.
Counter : 647 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ