|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
การครอบงำการเมืองไทยของฝ่ายอนุรักษ์นิยมผ่านวาทกรรม คุณธรรมจริยธรรม
วีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน (คปต.)
การออกแบบการเมืองไทยภายหลังรัฐประหารหลงยุคโดยพลังอนุรักษ์นิยม ในคืนวันที่ 19 กันยายน 2549 มีพื้นฐานจากความหวาดกลัวระบบการเมืองแบบเลือกตั้งและผู้นำการเมืองจากระบบเลือกตั้งที่สามารถแข่ง บารมี กับสถาบันสำคัญในสังคมไทยได้เป็นครั้งแรก ดังนั้นภารกิจเร่งด่วนของการกำหนดรูปโฉมการเมืองไทยก็คือการกำจัด เสี้ยนหนาม ที่อาจสั่นคลอนเสถียรภาพของ ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ให้บังเกิดขึ้นได้อีกต่อไป
. ดังจะเห็นได้ว่าภายหลังรัฐประหาร คณะรัฐประหารพยายามครอบงำการเมืองไทยโดยลดทอนความสำคัญของ รัฐสภา ซึ่งเป็นสถาบันที่สามารถผูกโยงที่มาทางอำนาจกับ ปวงชน ตามคติของระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ (อย่างน้อยในทางทฤษฎี) โดยกระทำผ่านการโจมตีระบอบการเมืองดังกล่าวว่าเป็นของตะวันตก กล่าวหานักการเมืองว่าคอร์รัปชัน ซื้อเสียง มีผลประโยชน์ทับซ้อน ขาดคุณธรรมจริยธรรม และพยายามกำหนดและควบคุมทิศทางการเมืองไทยโดยอาศัยระบบราชการเป็นเครื่องมือ โดยออกแบบระบบการเมืองที่ผู้นำไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้ง ไม่ว่านายกรัฐมนตรี วุฒิสภา องค์กรอิสระต่างๆที่มาจากการ สรรหา โดยกระทำผ่านการสร้างวาทกรรม คุณธรรมจริยธรรม หรือ คนดี โดยผ่านการการันตีจาก ผู้มีบารมี โดยไม่จำเป็นว่าประชาชนจะต้องตรวจสอบเพราะ คนดี เหล่านี้คู่ควรกับการปกครองบ้านเมืองแบบไทยๆ
.
จากปัญหาดังกล่าวบทความนี้จึงต้องการพิจารณาว่า คุณธรรม และ คนดี ที่ไม่สามารถตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์ได้นั้นแท้จริงแล้วมีผลประโยชน์ ทับซ้อน เฉกเช่นเดียวกับนักการเมืองในระบบรัฐสภาหรือไม่ วิถีทางได้มาซึ่งอำนาจของบุคคลเหล่านี้เป็นอันตรายต่อสังคมไทยเพียงใด
.
ในประเด็นการครอบงำการเมืองไทยโดยระบบราชการภายหลัง 19 กันยา นั้นมีผู้กล่าวถึงแล้วเป็นจำนวนมากจึงไม่ขอกล่าวซ้ำในที่นี้ แต่จะขอรวบยอดคุณลักษณะเด่นๆ ของการหวนกลับของระบบราชการในครั้งนี้ตามคำกล่าวของ อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์ ที่เรียกว่า รัฐบาล เปรม 6 เพราะบุคคลในคณะรัฐประหารและรัฐบาลล้วนมีความเกี่ยวพันกับพลเอกเปรมในทางใดทางหนึ่ง และหากพิจารณาจำเพาะลงไปอีกจะพบว่าผู้ที่มีบทบาทควบคุมการเมืองไทยในปัจจุบันมีอยู่ 3 กลุ่มได้แก่ องคมนตรี ศาล ทหาร และที่สำคัญสถาบันหรือกลุ่มการเมืองทั้งสามกลุ่มไม่สามารถหรือไม่พยายามยึดโยงตนเองกับปวงชนแต่อย่างใด ตรงกันข้ามสถาบันทั้งสามต่างอ้างอิงตนเองเข้ากับ พระราชอำนาจ อยู่เสมอ กล่าวคือ องคมนตรีนั้นมาจากการแต่งตั้งของกษัตริย์ ศาลก็อ้างอยู่เสมอว่ากระทำการภายใต้พระปรมาภิไธย ส่วนทหารนั้นก็ประกาศตนผ่านพลเอกเปรม (ซึ่งมีอีกสถานะหนึ่งคือองคมนตรี) ว่าเป็น ทหารพระราชา และที่พิเศษยิ่งกว่านั้นรัฐประหารครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่องคมนตรีและศาลเข้าแทรกแซงการเมืองอย่างเปิดเผย และภายหลังบทบาทของศาลยิ่งสูงเด่นขึ้นในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่งกรรมการสรรหาองค์กรอิสระทุกองค์กรซึ่งฝ่ายตุลาการมีเสียงถึงสามในห้าของกรรมการสรรหา และยังเป็นคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา ที่สำคัญคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภานั้นประกอบด้วยประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้พิพากษาในศาลฎีกาฯ จำนวน 1 คน และตุลาการในศาลปกครองสูงสุดฯ จำนวน 1 คน ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าประธานองค์กรอิสระล้วนมาจากการ สรรหา ของศาลเช่นเดียวกัน .
ยิ่งกว่านั้นศาลยังเป็นกรรมการในองค์กรแก้วิกฤติชาติ ซึ่งประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด และประธานองค์กรอิสระ ซึ่งความจริงที่ควรตระหนักก็คือว่าประธานองค์กรอิสระเหล่านี้ล้วนมาจากฝ่ายตุลาการทั้งหมด จากเนื้อหาสำคัญๆของร่ารัฐธรรมนูญเห็นได้ชัดว่าการเมืองอยู่ภายใต้การครอบงำของศาลอย่างไม่มีทางปฏิเสธได้
.
อาจมีผู้แย้งว่าศาลเป็นองค์กรที่เป็นกลาง ปราศจากซึ่งผลประโยชน์ ฯลฯ (ตรงตามสโลแกน คุณธรรมจริยธรรม) แต่ทั้งนี้การที่สังคมไทยมีความเชื่อเช่นนั้น เนื่องมาจากสังคมไม่สามารถตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์ศาลได้ ที่สำคัญที่สุด ศาลเป็นองค์กรเดียวที่ใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนแต่ไม่ถูกตรวจสอบจากองค์กรอื่น (ซึ่งเป็นคนละกรณีกับการตรวจสอบผู้พิพากษาเป็นรายบุคคลโดย ป.ป.ช. และวุฒิสภา) ดังนั้นกระบวนการพิจารณาคดีและการวินิจฉัยของศาลไม่ว่ากรณีใดจึงไม่อาจถูกตรวจสอบหรือคัดค้านได้ เพราะมีกฎหมาย หมิ่นศาล เป็นเกราะที่สำคัญทั้งที่ความจริงแล้วศาลเองก็ไม่ได้แตกต่างไปจากองค์กรอื่น ในเรื่องนี้ผู้เขียนขอยกเอาคำกล่าวของ ไพสิฐ พาณิชย์กุล มาเพื่อให้เห็นภาพภายในแวดวงตุลาการดังนี้ .
จริงๆ แล้ว ภาพของศาลเองก็ไม่ได้ต่างไปจากรัฐสภา มีกรณีผู้พิพากษาแย่งกันไปดูงานเมืองนอกก็มี มีกรณีที่อำนาจทุนแบบ Rent Seeker ชนะคดีฟ้องร้องเพราะตนมีผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายว่าความ มีล็อบบี้ก็มี เพียงแต่ศาลมีอำนาจตัดสินให้คนติดคุก เราก็เลยไม่ไปข้องแวะ ไม่ไปแฉ . โดยพื้นฐานดังกล่าวทำให้การเข้าแทรกแซงของศาลจึงไม่มีความชอบธรรม เพราะเป็นผู้ใช้อำนาจทั้งสามฝ่ายแทนปวงชน แต่ไม่ยอมให้ปวงชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตรวจสอบ เพราะแท้จริงการก้าวเข้ามาในปริมณฑลการเมืองย่อมอยู่ในสถานะของ นักการเมือง ที่สังคมสามารถตรวจสอบวิจารณ์ได้ แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันกลับเป็นว่าฝ่ายตุลาการเองได้ออกมาข่มขู่ผู้ที่กังขาและคิดจะตรวจสอบโดยการอ้างพระราชดำรัส . ในส่วนขององคมนตรีนั้นเมื่อมีผู้วิพากษ์วิจารณ์ก็จะมีบรรดา ลูกหาบ ออกมาปกป้องและห้ามปรามว่าเป็นการกระทำที่มิบังควร หมิ่นเหม่ต่อการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท และเลยเถิดไปถึงว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทั้งที่องคมนตรีไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายอาญามาตรา 112 แต่อย่างใด บางคนถึงกับกล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอยว่าไม่ควรวิจารณ์เปรมเพราะเป็นตัวแทนของ คุณธรรม โดยไม่อธิบายบริบทใดๆ รองรับ และตามข้อเท็จจริงปรากฏว่าองคมนตรีทั้งหลายต่างพากันเป็นกรรมการในองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนคนละหลายๆ แห่ง น่าคิดว่า ผลประโยชน์ ที่คนเหล่านี้ได้รับจะมหาศาลขนาดไหน . ส่วนกองทัพนั้นเล่ายิ่งไม่ต้องพูดถึง งบประมาณที่เป็นค่าใช้จ่ายในการรัฐประหารรวมถึงงบลับและงบประมาณของกองทัพรวมถึงเงินเดือนของ คมช. ก็ไม่เป็นที่เปิดเผยต่อสาธารณชน ยังไม่ต้องพูดถึงการที่บรรดานายทหาร ตบเท้า เข้าไปเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจทั้งก่อนและหลังการรัฐประหารแต่ห้ามไม่ให้สังคมตั้งคำถามในเรื่องดังกล่าว (และเป็นที่คาดหมายกันว่าทหารจะเข้าไปครอบงำวุฒิสภาเฉกเช่นในอดีต ถึงแม้จะต้องแบ่งสัดส่วนกับตุลาการก็ตาม) หนำซ้ำองค์กรที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาสางทุจริตอย่าง คตส. ก็ปฏิเสธที่จะเข้าไปตรวจสอบ ทั้งที่บุคคลเหล่านี้อวดอ้างว่าตนเองรังเกียจการทุจริตคอร์รัปชั่นและยึดมั่น คุณธรรมจริยธรรม เป็นสรณะ เมื่อตระหนักถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวรวมถึงเข้าใจว่าการเมืองเป็น เรื่องของการต่อสู้แย่งชิงผลประโยชน์และทรัพยากรของคนกลุ่มต่างๆ ในสังคม เราก็จะเข้าใจสถานะของสถาบันการเมืองทั้งสามว่าแท้จริงแล้วก็เป็นกลุ่มผลประโยชน์หนึ่ง ซึ่งย่อมตอบสนองผลประโยชน์ให้แก่สถาบันการเมืองของตนเองและผู้ที่ผลักดันให้ตนเองเข้ากุมอำนาจรัฐเช่นกัน และเมื่อตระหนักว่าสถาบันทั้งสามอ้างอิงหรือยึดโยงตนเองเข้ากับ พระราชอำนาจ นั่นหมายความว่าระบบราชการและกองทัพเป็นฐานอำนาจของฝ่ายอนุรักษ์นิยม ดังนั้นสามารถกล่าวได้ว่านี่เป็นกาเข้าควบคุมสถาบันการเมืองในระบบประชาธิปไตยรัฐสภาโดย พระราชอำนาจ อย่างเปิดเผย หรือกล่าวอีกอย่างได้ว่านี่เป็นชัยชนะของ ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เหนือประชาธิปไตยที่อำนาจสูงสุดเป็นของราษฎรตามหลักการพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยและเจตนารมณ์ของคณะราษฎร .
และเมื่อพระราชอำนาจเป็นสิ่งที่ตรวจสอบไม่ได้ในสังคมไทยดังนั้นองค์กรที่มีฐานมาจากพระราชอำนาจย่อมอาศัยเรื่องดังกล่าวบวกกับ คุณธรรมจริยธรรม เพื่อที่จะอยู่เหนือการตรวจสอบนั้นนับว่าอันตรายยิ่งกว่าระบบเลือกตั้ง ไม่ว่าในทางทฤษฎีหรือปฏิบัติ เพราะนอกจากขัดกับหลักที่ว่า อำนาจสูงสุดเป็นของปวงชน แล้วยังขัดกับหลักการพื้นฐานของหลักธรรมาภิบาลในเรื่องการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐโดยปวงชน .
นับจากนี้สิ่งที่น่าจับตาก็คือว่าการเมืองภายใต้นักการเมือง คุณธรรมจริยธรรม จะสามารถชำระความโสมมของนักการเมืองเลือกตั้งได้มากน้อยเพียงใด หรือท้ายที่สุดกาลเวลาจะเป็นผู้กระชากหน้ากาก นักประชาธิปไตยจอมปลอม ออกมาให้สังคมรับรู้ ในเรื่องนี้กาลเวลาเท่านั้นจะเป็นผู้ให้คำตอบ
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคลของผู้เขียนมิใช่ความคิดเห็นของสถาบันพระปกเกล้า
ที่มา สถาบันพระปกเกล้า //www.kpi.ac.th/mod_news/news_view.asp?id=MTYg&g=NSAg&rand=1187415458062
Create Date : 18 สิงหาคม 2550 |
Last Update : 18 สิงหาคม 2550 12:53:09 น. |
|
0 comments
|
Counter : 868 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|