ประเทศไทยที่หายไป
ประเทศไทยที่หายไป
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์ 1 สิงหาคม 2548
ก่อนที่จะมีการ "ยึด" เมืองยะลา มีใบปลิวแจกจ่ายในหลายพื้นที่ของภาคใต้ เรียกร้องให้ชาวมลายูมุสลิมซึ่งไปทำงานกับรัฐ โดยเฉพาะที่เข้าไปในโครงการจ้างงานพิเศษ ให้ถอนตัวออกเสีย มิเช่นนั้นแล้วจะถือว่าเป็นปฏิปักษ์กับขบวนการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของรัฐปัตตานี
ส่วนคนที่ร่วมงานกับรัฐไทยถึงกับมีตำแหน่งที่เป็นทางการนั้น รู้กันอยู่แล้วว่าฝ่ายขบวนการถือเป็นปฏิปักษ์มานานแล้ว
กรณี "ยึด" เมืองยะลานั้น ที่จริงแสดงให้เห็นสมรรถนะที่สูงมากของขบวนการ ดังที่สำนักข่าวต่างประเทศชี้ให้เห็นแล้วว่า ต้องมีการวางแผน, การจัดการ และการควบคุมกันอย่างเป็นระบบทีเดียว คำให้การของผู้ที่ถูกจับกุมตัวได้กล่าวว่า มีผู้ร่วมปฏิบัติการประมาณ 60 คน และทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ให้ข่าวว่าเป็นขบวนการคนหนุ่ม(Pemuda) ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มคนหลากหลาย นับตั้งแต่นักศึกษาในมหาวิทยาลัย(ตามที่นายกฯอ้าง) ไปจนถึงคนในชนบท
60 คนที่สามารถนำเอาอาวุธและอุปกรณ์การก่อวินาศกรรมนานาชนิด เข้าสู่เขตเทศบาล กระจายไปตามจุดต่างๆ และปฏิบัติตามคำนัดหมายได้ตรงเวลา ทั้งยังสามารถสร้างอุปสรรคการติดตามของเจ้าหน้าที่ในการหลบหนี และส่วนใหญ่ก็หนีได้
เปรียบเทียบกับการปฏิบัติการที่กรือเซะ(ถ้ากรณีกรือเซะเกิดขึ้นตามรายงานของฝ่ายเจ้าหน้าที่จริง) จะเห็นว่าต่างกันไกล ไม่ว่าจะเป็นประเภทอาวุธที่ใช้, การวางแผน, หรือการจัดการอย่างมีระบบ
กรณี "ยึด" เมืองยะลา จึงเป็นปฏิบัติการที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พวกเขาสามารถทำให้รัฐไทยสูญหายไปจากพื้นที่ได้ และด้วยเหตุดังนั้น นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ จึงกล่าวว่า กรณีนี้เป็น "ฟางเส้นสุดท้าย" (ซึ่งแปลตามตัวอักษรคือหลังลาหักไปแล้ว)
ผมจึงคิดว่า การออก พ.ร.ก.บริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น อย่างน้อยก็ช่วยให้สังคมไทยไม่ย้อนกลับมาถามว่า ใครควรรับผิดชอบที่ทำให้รัฐไทยหายไปในพื้นที่ของประเทศไทยเองเช่นนี้ (ในสมัยที่เผด็จการทหารครองเมือง เมื่อ พ.ค.ท.ทำอะไรทำนองนี้ในเขตเมือง สิ่งที่รัฐบาลทหารตอบโต้ทันทีคือสั่งปิดข่าวครับ หมายความว่าแม้แต่เผด็จการทหารยังรู้เลยว่ากรณีเช่นนี้ทำลายความชอบธรรมของผู้ปกครองอย่างถึงรากถึงโคนเพียงไร)
รัฐจะอยู่หรือรัฐจะหายนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการรับรองของนานาชาติเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความเป็นจริงที่ผู้คนในพื้นที่นั้นๆ ได้ประสบในชีวิตของเขาด้วย ลักษณะสำคัญของรัฐอย่างหนึ่งคือ Omnipresent แปลว่า ปรากฏอยู่เสมอโดยไม่ขาดตอน ฉะนั้น จู่ๆ รัฐจะหายไปเฉยๆ แม้ชั่วโมงเดียวก็ไม่ได้ เพราะทำให้คนหมดความมั่นใจว่ารัฐยังมีอยู่ตอนไหน และจะไม่มีอยู่ตอนไหน
รัฐไทยในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้นั้น ไม่ใช่รัฐเล็กๆ อย่างในสมัย ร.3 แต่เป็นรัฐใหญ่ที่เข้าไปปรากฏตัวในชีวิตของผู้คนอยู่ตลอดเวลา ทั้งในเขตเมืองและชนบท ทั้งในเวลาตื่นและหลับ แต่จู่ๆ ผู้ปฏิบัติการ 60 คน หรือรวมแนวร่วมไปด้วยก็ไม่น่าเกิน 200 คน สามารถเขี่ยรัฐทิ้งไปได้อย่างง่ายๆ เช่นนั้น แสดงให้เห็นว่ารัฐไทยในพื้นที่ แม้จะใหญ่โตอย่างไร ข้างในก็ฟ่าม พร้อมจะเหี่ยวยุบไปได้ด้วยแรงสะกิดนิดเดียว
ฉะนั้น ผู้ปฏิบัติการ "ยึด" เมืองยะลา อาจไม่ใช่สาเหตุสำคัญที่ทำให้รัฐหายไป รัฐไทยเอง โดยเฉพาะรัฐไทยภายใต้รัฐบาลทักษิณนี่แหละที่มีส่วนสำคัญในการลบรัฐไทยให้หายไปจากพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้
ในประสบการณ์จริงของชีวิตผู้คน รัฐไม่ปรากฏตัวให้สัมผัสได้ด้วยอำนาจควบคุมสั่งการ(coercion) เพียงด้านเดียว และแท้ที่จริง รัฐใดที่แสดงตัวได้เพียงมิติอำนาจควบคุมสั่งการด้านเดียวแล้ว รัฐนั้นก็สูญเสียความเป็นรัฐไปจนแทบหมดแล้ว เพราะชีวิตในรัฐนั้นไม่ต่างอะไรจากการมีชีวิตอยู่ในซ่องโจร หรือค่ายกักกันเชลยศึก
กว่าหนึ่งปีที่ผ่านมา ชีวิตของผู้คนในพื้นที่สามจังหวัดตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ในซ่องโจรหรือค่ายกักกันเชลยศึก ฝ่ายขบวนการซึ่งอ้างว่าจะสถาปนารัฐอิสระขึ้น มีวิธีปฏิบัติการควบคุมบังคับบัญชาประชาชนในพื้นที่อยู่อย่างเดียว คือการใช้ความรุนแรงทำร้ายชีวิตและทรัพย์สินของเขา หากจะใช้วิธีอื่นเช่นปลุกระดมด้านอุดมการณ์ ก็ทำแต่เฉพาะกับบุคคลที่จะดึงเข้ามาร่วมในการปฏิบัติการ ส่วนประชาชนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นมุสลิมหรือนับถือศาสนาอื่น ได้รับแต่คำสั่งเด็ดขาดให้ทำหรือไม่ทำอะไร
หากฝ่าฝืนคำสั่ง ก็มีแต่บทลงโทษที่รุนแรง ฆ่า, เผา, ตัดคอ, ทำลายทรัพย์สิน
ปฏิบัติการทำลายความเป็นรัฐเช่นนี้แหละที่ขบวนการใช้สำหรับสถาปนารัฐ ดูเป็นหนทางที่ตีบตันอันไม่อาจนำไปสู่เป้าหมายที่ต้องการได้เลย
แต่โชคดีของขบวนการที่เลือกจังหวะเวลาปฏิบัติการภายใต้รัฐบาลทักษิณ เพราะแทนที่รัฐบาลจะตอบโต้ด้วยการทำให้มิติด้านอื่นๆ ของรัฐ ที่ไม่ใช่การควบคุมสั่งการด้วยกำลังอำนาจ ปรากฏแก่ประชาชนในสามจังหวัด รัฐบาลกลับเลือกวิธีการเดียวกับฝ่ายขบวนการ นั่นคือใช้วิธีการนอกกฎหมายในการทำให้ประชาชนในพื้นที่ระย่อต่ออำนาจอันไร้ขีดจำกัดของรัฐ
ร้ายยิ่งไปกว่านั้น การใช้อำนาจเด็ดขาดรุนแรงดังกล่าวยังกระทำไปโดยไร้เป้าหมายที่ชัดเจน ใครก็ตามที่ถูกระแวงสงสัยจากรัฐ ก็อาจประสบชะตากรรมที่ร้ายแรง เช่น ถูกยิงทิ้ง, อุ้มหายไปจากโลก, หรือถูกจับกุมคุมขังภายใต้กฎอัยการศึก แม้รัฐบาลประกาศนโยบายสมานฉันท์แล้ว ประชาชนในพื้นที่ยืนยันว่าวิธีการนอกกฎหมายเหล่านี้ก็ยังใช้กันอยู่ หรืออย่างน้อยก็มีเหตุให้ประชาชนระแวงว่ายังใช้กันอยู่ (เช่นกรณีการสังหารเงียบอุสตาซสามคนเมื่อไม่นานมานี้เป็นต้น)
ไม่มีฝ่ายใดที่ต้องการสถาปนารัฐที่แท้จริงขึ้นในชีวิตของคนในพื้นที่ เพราะไม่มีใครคาดเดาได้เลยว่า กระทำอะไรหรือไม่กระทำอะไรแล้วจะได้รับโทษ แค่เดินไปตัดยางในตอนเช้าตรู่ก็อาจโดนประหารชีวิต หรือแค่นั่งคุยกันในร้านน้ำชา ก็อาจถูกจับกุมคุมขัง ความสามารถในการคาดเดาหรือเก็งผลการกระทำของตัว เป็นพื้นฐานของความเป็นรัฐ ถ้าไม่มีก็ไม่มีรัฐเหลืออยู่
อันที่จริง ผมพูดว่ารัฐบาลเลือกใช้วิธีรุนแรงโดยไม่สนใจว่าจะเป็นวิธีนอกกฎหมายหรือไม่ ยังถูกไม่หมด เพราะอีกส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เองด้วย โดยได้รับสัญญาณจากหน่วยเหนือขึ้นไป อย่างตรงไปตรงมา หรือโดยนัยให้เข้าใจเช่นนั้น เพราะลึกลงไปจริงๆ แล้ว หน่วยที่มีหน้าที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เองหลายหน่วย ก็ยังเชื่อว่าความรุนแรงเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพเพียงอย่างเดียว ในการระงับความรุนแรงที่กระทำโดยบุคคลซึ่งไม่ใช่รัฐ
และด้วยเหตุดังนั้น กว่าหนึ่งปีที่ผ่านมา รัฐและโจรคุกคามประชาชนเท่าๆ กัน จนกระทั่งรัฐหายไปในชีวิตของประชาชน แม้ว่าโดยทางการและโดยการรับรองจากนานาชาติ รัฐไทยก็ยังคงดำรงอยู่อย่างมั่นคงในพื้นที่สามจังหวัด
และแม้จะใช้วิธีรุนแรงมากว่าหนึ่งปี ด้วยอำนาจทางกฎหมายที่หนุนหลัง เช่น กฎอัยการศึก สถานการณ์กลับยิ่งเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ จนขบวนการสามารถแสดงสัญลักษณ์ของความไร้รัฐได้โดยการ "ยึด" เขตเทศบาลของเมือง รัฐบาลกลับตอบโต้ด้วยการให้อำนาจที่ไร้ขีดจำกัดและการควบคุมแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่มากขึ้นด้วยการออก พ.ร.ก.
รัฐบาลคิดว่าจะใช้อำนาจที่เพิ่มขึ้นนี้เพื่อทำอะไร?
ผมเชื่อว่ารัฐบาลไม่มีคำตอบ เพราะรัฐบาลเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะฟื้นฟูรัฐไทยกลับคืนมาได้อย่างไร อำนาจที่ล้นเกินและไร้การควบคุมของเจ้าหน้าที่นั้นมีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะออกกฎหมายใหม่มารองรับหรือไม่ก็ตาม รัฐบาลได้ปล่อยให้การใช้ความรุนแรง(ทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย)ในภาคใต้เดินมาถึงขีดที่ไม่มีทางใช้ความรุนแรงได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว กฎหมายใหม่จึงเป็นแค่กฎหมายลม ซึ่งไม่ได้วางอยู่บนนโยบายอะไรสักอย่าง
ผมไม่ปฏิเสธความรุนแรงเด็ดขาด ซึ่งรัฐทุกรัฐต้องใช้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่แนวรบของรัฐนั้นมีหลายด้าน(ผมไม่ชอบคำว่าแนวรบ หากพูดภาษานักธุรกิจก็คือสนามแข่งขัน) ด้านที่ต้องใช้ความรุนแรงก็ต้องใช้ แต่พร้อมกันนั้นยังมีด้านที่ให้ความเป็นธรรมแก่ความรุนแรงซึ่งต้องทำควบคู่กันไป นั่นคือการอำนวยความเป็นธรรม การทำให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์จริง ควบคุมได้ทั้งคนร้ายและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติการนอกกฎหมาย แม้รัฐจะให้ความคุ้มครองอย่างเต็มที่เพียงใด ก็ยังมีประชาชนบางคนถูกคนร้ายลอบยิง แต่ประชาชนต้องมั่นใจว่า การยืนอยู่ฝ่ายรัฐนั้น เขาจะได้รับความเป็นธรรมจากกฎหมาย, เขาคาดเดาได้ว่าพึงทำอะไรไม่ทำอะไร, เขาได้สิทธิทุกประการตามที่กฎหมายบัญญัติ อีกทั้งสามารถใช้สิทธิเหล่านั้นได้อย่างปลอดภัยภายใต้การคุ้มครองจากรัฐ, เขามีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ ซึ่งจะไม่ถูกลงโทษเพียงเพราะเจ้าหน้าที่ระแวงสงสัย ฯลฯ
นี่คือแนวรบที่รัฐต้องบุกเบิกออกไปอย่างแข็งขัน เพราะเป็นแนวรบที่ฝ่ายตรงข้ามอ่อนแอที่สุด
นายกฯจะลงไปภาคใต้หรือไม่ไม่สำคัญเท่าไร แต่ต้องมีใครสักคนที่มีอำนาจบังคับบัญชา ลงมาสร้างนโยบายที่ฉลาดในภาคใต้ พร้อมทั้งกำกับให้การดำเนินงานมีเอกภาพสอดคล้องกับนโยบายนั้นๆ ให้ได้ต่างหาก เวลานี้ไม่มีเลย
ฉะนั้น การสูญหายของรัฐไทยจึงไม่ได้เกิดเฉพาะในสามจังหวัดภาคใต้เท่านั้น แต่รวมถึงในทำเนียบรัฐบาลด้วย
ที่มา //www-unix.oit.umass.edu/~pokpongj/Interest/interest_nithi_a18.htm
Create Date : 03 กรกฎาคม 2550 |
Last Update : 3 กรกฎาคม 2550 16:18:09 น. |
|
0 comments
|
Counter : 658 Pageviews. |
|
|
|
|
|