Group Blog
 
 
เมษายน 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
8 เมษายน 2550
 
All Blogs
 
สัมมนา เปิดประเด็นหนังสือความเป็นมาของทฤษฎีแบ่งแยกดินแดน : ความจริงและมายาคติ

สัมมนา เปิดประเด็นหนังสือ

ความเป็นมาของทฤษฎีแบ่งแยกดินแดน : ความจริงและมายาคติ

วันจันทร์ ที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐

ณ ห้องประชุมใหญ่วิทยาลัยอิสลามศึกษา มอ. ปัตตานี

ศ.ดร.นิ ธิ เ อี ย ว ศ รี ว ง ศ์

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน

ผมมีประเด็นที่จะพูดอยู่ 7 ประเด็น

ประเด็นที่1 เรื่อง การแบ่งแยกดินแดน ขออนุญาตอธิบายถึงคำโบราณที่ใช้ในประวัติศาสตร์สมัยอยุธยา เขาไม่ได้ใช้คำว่า ‘แบ่งแยกดินแดน’ แต่เขาใช้คำว่า ‘แข็งเมือง’ คำนี้เป็นคำที่ใช้กันก่อนที่จะเกิด ‘รัฐประชาชาติ’ ขึ้นมา และก็เป็นปกติมากๆ ไม่ได้เกิดเพียงแค่รัฐปัตตานีเพียงรัฐเดียวเท่านั้น มีการแข็งเมืองเกิดขึ้นทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน มักจะเกิดการแข็งเมืองเป็นครั้งคราวทั้งสิ้น

ความเข้าใจว่า การแข็งเมืองคือ การแบ่งแยกดินแดนหรือการกบฏนั้นเป็นความเข้าใจผิด เป็นการเข้าใจไปเองของนักประวัติศาสตร์สมัยหลังๆ เพราะความสัมพันธ์ระหว่างรัฐที่เป็นศูนย์กลางหรือรัฐใหญ่กับดินแดนรัฐอื่นๆ ที่เรียกว่า ประเทศราช แต่ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่า ‘ประเทศราช’ ในภาษาไทยไม่ได้แปลว่า ‘Colony’ ในภาษาอังกฤษ มันคนละความหมาย ประเทศราชเป็นการแสดงสถานะความสัมพันธ์ชนิดหนึ่งซึ่งไม่มีในเมืองฝรั่ง มีเฉพาะในแถวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น เป็นความสัมพันธ์ระหว่างรัฐศูนย์กลางกับรัฐที่เป็นประเทศราช ซึ่งเป็นความสัมพันธ์แบบแปลกๆ กล่าวคือ มีรัฐศูนย์กลาง หรือมีรัฐที่เป็นดุลอำนาจค่อนข้างมากอยู่ตรงกลาง แล้วก็มีประเทศราชล้อมรอบ ประเทศราชไม่ได้แปลว่า ขึ้นอยู่กับรัฐศูนย์กลางแต่เพียงอย่างเดียว ถ้ารัฐอีกรัฐนั้นมีอำนาจมากพอ ๆ กัน มันมักจะขึ้นกับรัฐทั้ง 2 ฝั่ง อย่างในประวัติศาสตร์ เขียนว่า

“จริงๆ แล้ว เมื่อตอนที่ปัตตานีเป็นประเทศราชของสยาม ในขณะเดียวกันก็อาจจะเป็นประเทศราชของมะละกาด้วยก็ได้”

นี่นับว่าเป็นเรื่องปกติ หากเรามีเพื่อนบ้านที่เป็นนักเลงใหญ่ทั้งคู่ วิธีที่จะเอาตัวรอดหรือรักษาอิสรภาพของอำนาจก็คือ เอานักเลงใหญ่นั้นมาคานอำนาจกันเอง ประเทศไทยก็ทำอย่างนี้ในสมัยที่เรากลายเป็นประเทศเล็กๆ ไปแล้ว เราก็พึ่งพิงจีนบ้าง สหรัฐอเมริกาบ้างเพื่อที่จะถ่วงอำนาจกัน เพราะฉะนั้น เมืองประเภทนี้ภาษาไทยเรียกว่า ‘เมืองสองฝั่งฟ้า’ เราจะพบได้ในอีสาน ลาว รวมทั้งในเชียงใหม่ด้วย

อย่างในสมัยรัชกาลที่ 5 เมืองเชียงใหม่ยังแอบส่งทูตไปหาพระเจ้าแผ่นดินพม่า และพระเจ้าแผ่นดินพม่ายังพระราชทานสร้อยทับทิมมาให้ 1 เส้น แต่พอทางกรุงเทพฯ รู้เรื่องเข้า ทางเมืองเชียงใหม่ก็ตกใจรีบนำเอาสร้อยเส้นนั้นมาถวายให้กับทางกรุงเทพฯ เพื่อแสดงว่าตนเองไม่ได้คิดเอาใจออกห่าง แต่ทำไปเพื่อรักษาดุลยภาพของอำนาจเท่านั้น

ดังนั้น เรื่องของความสัมพันธ์แบบประเทศราชนี้มันมีลักษณะเป็นความสัมพันธ์แบบผู้ใหญ่ ผู้น้อย ปฏิเสธไม่ได้ แต่ไม่ได้เป็นเมืองขึ้นแบบที่ฝรั่งใช้กัน เป็นความสัมพันธ์แบบที่อาจจะมีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น ปัตตานีกับอยุธยา ต่างก็พึ่งพากันและกันทางเศรษฐกิจมาเป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้ว ปัตตานีต้องพึ่งพาบางอย่างจากอยุธยา และทางอยุธยาก็ต้องพึ่งพาบางอย่างจากปัตตานี ในขณะเดียวกันก็อาจจะเป็นพันธมิตรในการสงครามด้วย เช่น ขอกำลังไปช่วยรบกับพม่า เป็นต้น เป็นความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐ ไม่ใช่รัฐเอกราชแบบที่เราใช้ในปัจจุบัน

ปัจจุบันเราใช้วิธีคิดแบบฝรั่ง ซึ่งมันมีทั้งรัฐเอกราช และรัฐที่ไม่เอกราช สมัยก่อนเขามาไม่ได้คิดแบบนี้ เขาเรียกกันว่า เป็นรัฐที่เป็นผู้ใหญ่และรัฐที่เป็นผู้น้อย มีความสัมพันธ์เชิงเกื้อกูลกันและกัน เมื่อไรที่รัฐนั้นบอกว่าไม่อยากผูกความสัมพันธ์กันแล้ว อย่างนี้โบราณเรียกว่า แข็งเมือง ไม่ใช่เป็นเรื่องของ ‘การแบ่งแยกดินแดน’ คำว่า แบ่งแยกดินแดน เราใช้ได้เฉพาะรัฐสมัยใหม่ที่มันเกิดเป็นรัฐชาติแล้วเท่านั้น

ประเด็นที่ 2 เมื่อมันเกิดรัฐสมัยใหม่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา และต่อมาพัฒนากลายเป็นรัฐประชาชาติไทย (Nation-State) เราต้องเข้าใจด้วยว่า ในช่วงนั้นประเทศที่เป็นมาเลเซียปัจจุบันคือดินแดนรัฐมลายูทั้งหลายในสมัยนั้น ช่วงตอนที่มันใกล้จะเกิดเป็นรัฐมลายู มันเป็นช่วงที่เกิดช่องว่างทางอำนาจในดินแดนรัฐมลายู โดยในคริสศตวรรษที่ 18 อำนาจของรัฐยะโฮร์ (Johor) เริ่มลดน้อยลง รัฐอะเจะห์ (Acheh) ไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงในคาบสมุทรมลายูได้อย่างเคย มะละกา กลายเป็นศูนย์กลางการค้าเล็กๆ อันหนึ่งของบริษัท บีโอซี ซึ่งพวกฮอลันดาก็ไม่ได้สนใจคาบสมุทรนี้เท่าไร พวกเขาทุ่มเทอยู่กับการที่จะขยายอำนาจตนเองในเกาะชวาและเกาะสุมาตรามากกว่าที่จะมายุ่งตรงนี้ เพราะฉะนั้นจึงเกิดช่องว่างทางอำนาจ

ช่วงนั้นประมาณสมัยรัชกาลที่ 3 ทางกรุงเทพฯ จึงขยายอิทธิพลโดยดึงเอารัฐมลายูเข้ามาเป็นประเทศราช กว้างไกลมากเลยไปจนถึงรัฐปะหัง (Pahang) ด้วยซ้ำ ปะหังเองก็เคยสัมพันธ์การค้ากับทางกรุงเทพฯ แต่ทั้งหมดนี้ มันเกิดขึ้นจากช่วงที่มีช่องว่างทางอำนาจ ก่อนที่จะเกิดรัฐสมัยใหม่ในประเทศไทย อังกฤษก็โผล่เข้ามากลายเป็นมหาอำนาจที่เข้ามาคานการขยายตัวทางอำนาจของสยาม

ฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นสำหรับรัฐสมัยใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 5 คือ เกิดความพยายามจะบูรณาการ ผมเรียกว่า Territorial Integration คือ เกิดการบูรณาการทางดินแดน ไม่ใช่การบูรณาการของชาติ การเกิดรัฐสมัยใหม่ขึ้นก็จริง แต่ยังไม่เกิดชาติแท้ๆ ขึ้น การบูรณาการทางดินแดนคือ เอาดินแดนที่เคยเป็นประเทศราชทั้งหลายไปอยู่กับตัวเอง โดยล้มล้างอำนาจเดิมที่มีอยู่ เช่น สุลต่านต่างๆ หรืออย่างเจ้าเมืองเชียงใหม่ก็ทำให้กลายเป็นเพียงเจ้าที่มีวัง มีคุ้มอยู่สักแห่งเท่านั้น แล้วก็มีข้าหลวงจากกรุงเทพฯ ไปคอยกำกับดูแล ทำให้อำนาจทางท้องถิ่นลดลง แต่อย่าลืมว่าในสมัยรัชกาลที่ 5 รัฐไทยเล็กนิดเดียว คำว่า ‘เล็ก’ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงดินแดน แต่หมายความว่าไม่มีเงินที่จะตั้งระบบราชการที่จะแพร่เข้ามาถึงข้างล่างได้มากนัก ไม่มีเงินที่จะสร้างทางคมนาคมที่จะเชื่อมต่อระหว่างกรุงเทพฯ กับหัวเมืองได้อย่างดีนัก ไม่มีเงินที่จะสร้างโรงเรียนพอที่จะกล่อมให้เด็กที่เกิดในชนบทได้เติบโตมากลายเป็นกลุ่มคนในรัฐสมัยใหม่อย่างเต็มภาคภูมิได้

หากถามว่า แล้วมันไม่เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายหรือ มันไม่เกิด เพราะมีการผลักดันให้ผู้นำท้องถิ่นในระดับเล็กมาก คือระดับหมู่บ้าน ตำบล เป็นผู้นำแทน ดูแลแทนคนระดับใหญ่ จริงอยู่ที่มีการส่งข้าหลวงมาประจำที่ปัตตานี แต่ข้าหลวงก็ไม่มีอำนาจอะไรในทางปฏิบัติ แม้จะมีอำนาจทางกฎหมาย เพราะรัฐนั้นเล็กนิดเดียว คำว่า ‘เล็ก’ มีความหมายถึงความอ่อนแอนั่นเอง

หากถามว่า ภายใต้การเกิดรัฐสมัยใหม่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา เมืองอย่างเช่น ปัตตานี อยู่ภายใต้การปกครองดูแลของใคร คำตอบคือ อยู่ภายใต้การปกครองของคนชั้นนำท้องถิ่นระดับเล็ก ซึ่งประกอบด้วยชนชั้นนำธรรมดา กับผู้รู้ทางศาสนา ทั้ง 2 กลุ่มนี้มีอิทธิพลค่อนข้างมาก

สำหรับ ‘หะยีสุหลง’ ผมคิดว่าท่านสืบทอดประเพณีของโต๊ะครูหรืออูลามะอ์ที่มีมาตั้งแต่โบราณในปัตตานี เราจะพบว่า มีอูลามะอ์บางคน หรือโต๊ะครูบางคนที่มีอิทธิพลเหนือระดับท้องถิ่นเล็กๆ เป็นที่รู้จักทั่วไปหมด ยกตัวอย่าง ท่านโต๊ะปันจัน หรือ โต๊ะยาว ที่ใครๆ ในปัตตานีก็รู้จัก ถือว่าเป็นโต๊ะครูที่ดีคนหนึ่ง หะยีสุหลงก็สืบทอดประเพณีนี้ซึ่งรักษาสืบทอดกันมาตั้งแต่ตะวันออกกลาง แล้วก็สถาปนาตนเองเป็นที่เคารพนับถือกันทั่ว ไม่ใช่เฉพาะท้องถิ่นเล็กๆ ไม่ใช่เฉพาะปัตตานี ไม่ใช่เฉพาะ 4 จังหวัดแต่นับถือกันทั่วไปหมด นานๆ ก็จะมีคนมีอิทธิพลเข้ามา แต่ก็ไม่ได้เข้ามาแทนที่สุลต่าน มันไม่เหมือนกัน

ดังนั้น รัฐไทยเล็กๆ ที่มีความอ่อนแออย่างมากดำรงอยู่ได้อย่างไร ดำรงด้วยทหารหรือก็ไม่ใช่ กองทัพไทยไม่สามารถไปสู้กับชาติมหาอำนาจอย่างอังกฤษและฝรั่งเศสได้ มันดำรงอยู่ได้หลายอย่าง ที่สำคัญที่สุดคือ การรับรองสถานะของมหาอำนาจตะวันตก โดยการรับรองเขตแดน อย่างอังกฤษรับรองว่าเขตนี้เป็นเส้นแบ่งพรมแดนนี้เป็นของไทย เป็นต้น สรุปก็คือ ‘รัฐสยาม’ เกิดขึ้นจากการรับรองของมหาอำนาจตะวันตก อันนี้คือ Territorial Integration ที่เกิดขึ้นในระยะแรกที่จะปลุกขึ้นมาเป็นรัฐสมัยใหม่ที่เรียกว่า ‘สยาม’

ลำดับต่อมาก็เกิดการบูรณาการชนชาติขึ้นมา คือ National Integration ค่อยๆ เกิดขึ้น แต่ความเป็นประชาชาติของไทยที่สืบมาจนถึงทุกวันนี้ อาจารย์ธเนศเขียนไว้ในหนังสืออย่างชัดเจนว่า ความเป็นชาติของไทยนั้นไม่สมบูรณ์ เพราะมันเป็นความเป็นชาติที่ถูกใส่ลงมาจากข้างบนแต่ฝ่ายเดียว ไม่ได้เกิดจากสำนึกของประชาชนข้างล่างว่าเรามีผลประโยชน์ร่วมกัน เรามีความทรงจำบางอย่างร่วมกัน เรามีอะไรบางอย่างร่วมกันที่จะมารวมตัวกันเป็นชาติ อันเป็นลักษณะธรรมดาของการเกิดชาติในทางยุโรป และที่อื่น ๆ แต่ของเราไม่ใช่แบบนี้ เป็นการดันจากข้างบนลงมา

ฉะนั้น การเป็นชาติของเราจึงเป็นการเป็นชาติที่ไม่สมบูรณ์ ไม่มีพื้นที่สำหรับความแตกต่างหลากหลาย ถ้าเราดันมาจากข้างบนฝ่ายเดียว โดยไม่ได้เกิดมาจากข้างล่าง มันก็ไม่สามารถเปิดพื้นที่ของความแตกต่าง และความหลากหลายของประเทศไทย เราเรียนหนังสือมา ไม่สังเกตหรือว่า เราจะเป็นชนชาติไทย น้ำเนื้อเดียวกันหมดทั้งประเทศก็ไม่น่าใช่ เพราะความเป็นจริง เราก็เจอชนชาติหลากหลาย ทั้ง จีน แขก มอญ ฯลฯ เยอะแยะไปหมด ซึ่งเราจะมาจินตนาการอย่างไม่จริงว่าประเทศไทยเราเป็นน้ำเนื้อเดียวกันหมด

เพราะฉะนั้น สิ่งที่มันบูรณาการนั้น มันบูรณาการในสิ่งที่มันไม่สัมผัสกับชีวิตความจริง เช่น บูรณาการทางกฎหมาย ซึ่งก็จะไปต่อเนื่องกับที่อาจารย์ธเนศเขียนไว้ถึงเรื่อง จอมพล ป. พิบูลสงคราม ดำเนินการแก้กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 บรรพ 6 แล้วคิดไปถึงว่า ในเมื่อเราเป็นชนชาติไทยเดียวกันหมดก็ต้องใช้กฎหมายฉบับเดียวกัน แล้วท่านก็ประกาศเป็นรัฐธรรมนูญออกมา ซึ่งจริง ๆ หากเราลองย้อนกลับไปดูว่า ความเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวนี้ มีมานมนานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมีในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม มันมีมาตั้งแต่สมัย Territorial Integration บูรณาการทางดินแดน มีความพยายามบังคับลงมาจากข้างบนให้เราเป็นน้ำเนื้ออันเดียวกันมานานแล้ว โดยไม่ให้มีพื้นที่ความแตกต่างหลากหลาย ในขณะเดียวกัน ก็ใช้ระบบราชการหรือระบบบริหารเป็นกลุ่มสำคัญอีกอันหนึ่งในการบูรณาการชาติของเรา โดยส่งคนมาจากส่วนกลาง จับย้ายไปย้ายมา โดยถือว่า ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้ระบบราชการเดียวกัน

ฉะนั้น ข้อเสนอข้อที่ 4 ของท่านหะยีสุหลงที่เสนอว่า ทำไมเราต้องอยู่ภายใต้ระบบราชการเดียวกัน ทำไมเราไม่สร้างระบบราชการชนิดที่เหมาะสมสำหรับท้องถิ่นนั้นๆ ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ใหม่ ทางกรุงเทพฯได้ฟังก็ตกใจ ไม่เคยมีใครได้ยินข้อเสนอเช่นนี้มาก่อนเลย และเราก็ปฏิบัติเช่นนี้มาช้านานแล้วตั้งแต่สมัยเริ่มต้นการบูรณาการทางดินแดน จึงคิดไปไกลถึงขั้นว่า ท่านหะยีสุหลงจะคิดแยกดินแดนหรืออย่างไร ทั้งที่ข้อเสนอนี้ไม่ได้แปลกอะไรเลย มีการยอมรับใช้กันทั่วไป อย่างในแถบ Mid – West ของอเมริกาเอง อิทธิพลของ Populism แบบอเมริกาแผ่ขยายในหมู่ข้าราชการ ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 – 20 บางรัฐไม่ได้ใช้ระบบราชการเดียวกัน แต่มันกลับเป็นของประหลาดสำหรับประเทศไทย เพราะว่า National Integration (บูรณาการชนชาติ) มันไม่สมบูรณ์

แม้ในระบบการศึกษา หลักสูตรก็ยังมาบังคับจากส่วนกลาง หลักสูตรมาจากกระทรวงศึกษาธิการเหมือนกันหมดทั้งประเทศ อย่างเด็กเชียงใหม่เกิดอยู่บนดินแดนของพระเจ้าติโลกราชที่ท่านสร้างมาช้านาน แต่เด็กเชียงใหม่ไม่มีใครรู้จักท่านเลย กลับรู้จักแต่พระเจ้าบรมไตรโลกนาถ ทั้ง ๆ ที่ท่านเป็นศัตรูกับพระเจ้าติโลกราชและรบแพ้พระเจ้าติโลกราชด้วย นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งที่จะเห็นว่าการศึกษาไม่ได้เปิดพื้นที่ของความแตกต่างหลากหลายในการเรียนรู้

อีกอันคือระบบภาษี เก็บเหมือนกันหมดทั่วประเทศ แล้วก็สร้างปัญหากับชาวบ้าน บางแห่งชาวบ้านถึงกับไม่ยอมเสียภาษี เพราะว่าเราไม่มีพื้นที่ให้กับความแตกต่าง นอกจากนั้นก็มีประเด็นการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย มาถึงช่วงนี้ การแข็งเมืองจึงกลายเป็นการแข็งขืนหรือการแข็งข้อ หากเรามองแค่เป็นการแข็งขืน แข็งข้อ มันก็ควรเป็นเรื่องที่เราเจรจาจัดการกันได้ แต่ผู้นำของรัฐไม่สามารถจะมองไปเป็นอื่นได้ อันเนื่องจากประสบการณ์ในชีวิตของเขา และประสบการณ์ที่เขาถูกสอนมา ไม่ได้มีพื้นที่สำหรับความแตกต่างหลากหลาย จึงกลับมองไปเป็นเรื่องของการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งก็คือ การไม่ยอมรับในอธิปไตยของชาติซึ่งเป็นคนละเรื่องกันเลย หากพูดเช่นนี้ รัชกาลที่ 1 ท่านบอกว่า ท่านไม่เคยรู้เรื่อง เพราะในสมัยก่อน เขาไม่ได้คิดเรื่องอธิปไตยแบบเรา พอรู้ว่ามีการแข็งเมือง ก็รบกันไป แต่ไม่ได้มีเรื่องของการไม่รักอธิปไตยของชาติ หรือแยกดินแดน เขาไม่รู้จัก

ประเด็นที่ 3 เรื่องพื้นที่ทางการเมือง พื้นที่ทางการเมืองของไทยนับตั้งแต่เรารวมดินแดนในสมัยรัชกาลที่ 5 สืบมาจนกระทั่งถึงการรวมชาติในสมัยหลัง พ.ศ.2475 เป็นต้นมา เป็นพื้นที่ที่แคบมาก หากเรานิยามการเมืองว่า เราจะมาแบ่งการใช้ทรัพย์สมบัติของประเทศ หรือใช้ทรัพยากรธรรมชาติกันอย่างไร ใครเป็นคนใช้ ใช้เท่าไร ใช้เมื่อไร ใช้อย่างไร เป็นการต่อรองการใช้ทรัพยากรหรือสมบัติของชาติ หากคิดในความหมายนี้ พื้นที่ในการต่อรองทางการเมืองไทยนับว่าแคบมาก พื้นที่ทางการเมืองที่เป็นทางการมีเพียงแค่ในสภาผู้แทนราษฎร และสภาผู้แทนราษฎรเคยพูดอะไรบ้าง ( หลัง พ.ศ.2490 ) ที่เกี่ยวข้องทางศาสนาบ้างไหม เคยพูดเรื่องการใช้ทรัพยากรบ้างไหม เคยพูดเรื่องอัตลักษณ์บ้างไหม เคยพูดถึงเรื่องความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคมบ้างไหม หรือพูดเรื่องการกระจายอำนาจบ้างไหม แทบจะไม่มีเลย แต่กลับไปพูดถึงเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวกับชีวิตของเราเลย ในขณะที่ชีวิตของเรามันเกี่ยวข้องกับการจัดสรรการใช้ทรัพยากรอย่างแนบแน่น

ในช่วงระยะ 20 ปี ที่ผ่านมา ตั้งแต่รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูรานนท์ จนถึงยุค คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ฯ หรือ คปค. 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ท่านเคยสังเกตไหมว่า มันมีการเคลื่อนไหวของประชาชนในประเทศไทยอย่างสูงมาก อย่างประชาชนแถวปากมูล จังหวัดอุบลราชธานี มีการเคลื่อนไหวต่อต้านการสร้างเขื่อนโดยนั่งประท้วงปิดกั้นแม่น้ำเพื่อระงับไม่ให้มีการระเบิดแม่น้ำสร้างเขื่อน จนถึงกับต้องนำกำลังตำรวจไปกระชากออกมาให้ห่างจากแม่น้ำ อย่างการต่อสู้ของชาวบ้าน บ้านกรูด บ่อนอก ที่ต่อสู้เรื่องโรงไฟฟ้า ประเด็นเหล่านี้กลับไม่เคยเอาไปพูดกันในสภาสักนิดเดียว ท่ามกลางระบอบการปกครองที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตย ประชาชนที่ปัตตานีเคยต่อสู้ประท้วงการสร้างเขื่อนที่แม่น้ำปัตตานี แต่กลับไม่มีการพูดสักนิดเดียวในสภา มันไม่มีที่ไหนในโลก เนื่องจากพื้นที่แคบ ๆ ทางการเมืองในสภาของเราไม่เคยพูดถึงเรื่องความเสียหายของประชาชนเลย สิ่งที่กระทบชีวิตของเรา การกระจายอำนาจของเราก็ดี การใช้ทรัพยากรของเราก็ดี ศาสนาของเราก็ดี อัตลักษณ์ของเราก็ดี ความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ ความเป็นธรรมทางสังคม ไม่มีใครเอ่ยถึงในสภาเลย ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา มีประชาชนถูกอุ้มหายไปประมาณ 100 กว่าคนเท่าที่สำรวจได้ แต่กลับไม่มีผู้แทนราษฎรทั้งจากปัตตานี ยะลา นราธิวาสแม้แต่คนเดียวที่ตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีมหาดไทยในสภาว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร

สภาคือพื้นที่ทางการเมืองที่ประชาชนจะเข้าไปเล่น แต่ในเมื่อพื้นที่ทางการเมืองของเรามันแคบขนาดนี้ การต่อสู้เรียกร้องในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเราจริงๆ จึงไม่อาจจะผ่านพื้นที่ทางการเมืองที่เป็นทางการได้ ไม่ใช่เฉพาะที่ปัตตานีเท่านั้น มันเป็นทั้งประเทศไทยเลย เมื่อไรที่เราชุมนุมประท้วงโครงการของรัฐ ชุมนุมประท้วงนายทุนที่สร้างสิ่งต่าง ๆ ที่ทำลายสาธารณสมบัติ เวลาเราไปเชิญ ส.ส.มา เขาก็ไม่มากัน ฉะนั้น เราจะเคลื่อนไหวได้อย่างไรในสภา เราก็ต้องเคลื่อนไหวนอกพื้นที่ทางการเมือง การเคลื่อนไหวของประชาชนในภาคพื้นที่อื่น ๆ ก็เป็นเพียงราษฎรหัวแข็งเท่านั้น แต่เมื่อไรที่มันเป็นการเคลื่อนไหวของ 3 จังหวัดภาคใต้ กลับกลายเป็นเรื่องแบ่งแยกดินแดน ซึ่งอาจจะเป็นอย่างที่อาจารย์ธเนศกล่าวไว้ว่า ชาติไทยนั้นเป็นการพัฒนาการสร้างชาติแบบไม่สมบูรณ์ มันไม่มีพื้นที่ให้ความแตกต่างหลากหลาย เพราะฉะนั้น ทั้ง 2 เรื่องนี้มันผูกพันกัน คือมี พื้นที่ทางการเมืองที่แคบ และมี ชาติที่ไม่สมบูรณ์ จึงทำให้เกิดการเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ค่อนข้างยากมาก

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือเรื่องท่านหะยีสุหลง ท่านเคลื่อนไหวทางการเมือง จนทำให้ถูกพิพากษาจำคุก น่าประหลาดมากที่การเคลื่อนไหวของท่านหากมาทำในปัจจุบัน หรือกระทำในพื้นที่อีสาน ภาคเหนือ คงไม่เกิดแบบนี้ การกระทำของท่านเพียงแค่ยื่นข้อเสนอ 7 ประการ และ 1 ใน 7 ข้อเสนอนั้น มีอยู่ว่า ขอให้ดินแดน 4 จังหวัดภาคใต้นั้นอยู่ภายใต้การปกครองดูแลของชาวมลายูมุสลิมท่านหนึ่ง ซึ่งมีอำนาจดูแลกำกับการทำงานทั้งหมดของ 4 จังหวัดภาคใต้ และน่าที่จะเป็นท่านตวนกู มาห์ยิดดิน คือ บุตรชายของตวนกูอับดุล กอดีร์ สุลต่านองค์สุดท้ายแห่งปัตตานี

ฉะนั้นตอนที่ท่านเคลื่อนไหวทางการเมือง ท่านพิมพ์หนังสือฉันทานุมัติให้ราษฎรเซ็นต์เห็นชอบให้ท่านตวนกู มาห์ยิดดิน มาปกครอง ซึ่งก็สอดคล้องกับข้อเสนอ 7 ข้อที่ท่านเสนอไป นับเป็นเรื่องปกติธรรมดา เขียนขึ้นเพื่อหวังว่า โต๊ะมาห์ยิดดินบอกท่านว่าจะไปพบนายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรีสมัยนั้นก็จะได้ไปพร้อมกับหนังสือฉันทานุมัติ แต่กลับกลายเป็นว่าท่านถูกพิพากษาจำคุก โดยกล่าวหาว่าท่านไปดูหมิ่นรัฐ เพราะมีหนังสือนั้นมาและในหนังสือนั้นเขียนไว้ว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐที่นั่นกดขี่ข่มแหงราษฎรอย่างไรบ้าง ดังนั้นจึงจะขอปกครองโดยให้คนมลายูมาดูแล แต่กลับถูกกล่าวหาว่าดูหมิ่นรัฐ

ประเด็นที่ 4 เรื่องอัตลักษณ์ ผมคิดว่าความเป็นมลายู กับ ความเป็นมุสลิม นั้นแยกออกจากกันไม่ได้ อย่างน้อยในสำนึกของท่านก็แยกไม่ได้ มีงานวิจัยเช่นนี้ออกมาหลายปีแล้ว ยกตัวอย่างในประเทศมาเลเซีย มีชาวมลายูคนหนึ่งขอลาออกจากการเป็นมุสลิมเพื่อไปนับถือศาสนาคริสต์ คนเขางงกันทั้งประเทศ ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะกฎหมายมันไม่เปิดช่องให้ หากเราเป็นคนมลายูก็ต้องเป็นมุสลิม ทั้ง 2 อย่างนั้นไม่อาจแยกออกจากกันได้ อัตลักษณ์ความเป็นมุสลิมนั้นมีพื้นที่เยอะแยะไปหมด ผมสงสัยว่าประชากรที่นับถือศาสนาอิสลามนอกเขต 4 จังหวัดภาคใต้นั้น น่าจะมีจำนวนมาก อย่างน้อยก็เท่ากับ 4 จังหวัดภาคใต้ อย่างที่จังหวัดกระบี่ น่าจะมีประชากรที่เป็นมุสลิมอยู่ประมาณ 48 เปอร์เซ็นต์ในตอนนี้

ความเป็นมุสลิมมีไหม อัตลักษณ์มุสลิมนี้อยู่ในชาติไทยได้ไหม ไม่น่ามีปัญหา เพราะชาติไทยอ้างว่า ตนเองเป็น Secular State รัฐโลกียวิสัย อันนี้นับเป็นปัญหามาก รัฐโลกียวิสัยแบบของไทยเป็นรัฐโลกียวิสัยแบบปลอมๆ หมายความว่า ในแง่หนึ่งคุณประกาศว่าเป็นรัฐโลกียวิสัย แต่คุณเอางบประมาณจำนวนมากมาอุดหนุนพระพุทธศาสนาเต็มที่เลย ซึ่งถ้าเป็น Secular State จริงๆ แบบสุดโต่งเหมือนในฝรั่งเศสคือ เอาไม้กางเขนสวมออกนอกเสื้อเพื่อไปโรงเรียนไม่ได้ เพราะโรงเรียนไม่ใช่ที่ประกาศศาสนา ไม่ว่าจะเป็นคริสต์หรือมุสลิมก็ตาม

แต่ที่สำคัญก็คือว่า ไม่มีประเทศอิสลามที่ไหนในโลกที่สามารถอยู่ใน Secular State รัฐโลกียวิสัย ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะมันมีความขัดแย้งในตัวเองระหว่างกฎที่มนุษย์ออกกับกฎที่พระเจ้าออก คุณจะให้กฎที่มนุษย์ออกอยู่เหนือกฎที่พระเจ้าออกไม่ได้ เพราะฉะนั้นการเป็น Secular State เป็นปัญหาสำหรับคนอิสลาม รัฐไทยเมื่อไม่เปิดพื้นที่ให้กับความแตกต่างหลากหลาย เราไม่มาถกปัญหานี้กันว่าจะทำอย่างไรให้รัฐไทยสามารถที่จะให้คนมุสลิมสาอยู่ในรัฐนี้ได้โดยรู้สึกว่าไม่ต้องฝ่าฝืนบัญญัติของพระเจ้า ส่วนความเป็นมลายูก็ไม่มีพื้นที่ในรัฐชาติไทย เพราะฉะนั้น จึงยากมากที่คนที่เป็นทั้งมลายูและคนมุสลิมพร้อมกันอยู่ในตัว จะไปเรียกร้องอะไรจากรัฐไทยหรือชาติไทยโดยไม่กระทบโครงสร้างเลย นับว่ายากมาก

คำถามที่น่าสนใจสำหรับพวกเราก็คือ ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย มันจะมีความเป็นไปได้หรือไม่ เพราะใน Liberal Democracy ประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม มีหลายอย่างที่คนมุสลิมก็รับไม่ได้ เช่น เรามีการโหวตกฎหมายในสภา เราต้องยึดเสียงข้างมากในสภา มันอาจจะขัดกับหลักศาสนาก็ได้ เป็นต้น

มันน่าสนใจตรงที่ ข้อเสนอ 7 ประการของหะยีสุหลง ข้อเสนอข้อที่ 1. ท่านบอกว่า คนที่เป็นมลายูมุสลิมที่จะเข้ามาปกครองดูแลการบริหารเมือง ประชาชนต้องเป็นคนเลือกมา ข้อเสนอแบบนี้ถ้าเป็นในปากีสถาน จะต้องบอกว่าสภาอูลามะอ์เป็นผู้เลือก แต่ตรงนี้ท่านกลับเสนอว่าประชาชนเป็นคนเลือก นับเป็นเรื่องใหญ่มากๆ สำหรับประเทศไทย เราลองคิดดูว่าคนที่จะมาทำอย่างนั้นได้ โดยรัฐบาลสยามหรือรัฐบาลทางกรุงเทพฯ ไม่กล้าส่งต้องมีฐานความชอบธรรมจากการเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรง นับว่าเป็นข้อเสนอที่ฉลาดมากของท่านที่จะไม่ถูกต่อต้านก็คือต้องให้ประชาชนเลือกโดยตรง ดังนั้นกรุงเทพฯจึงไม่กล้าส่ง ไม่เช่นนั้นทางกรุงเทพฯ ต้องส่งนายกเทศมนตรีมาไม่รู้ต่อกี่คนแล้วในประวัติศาสตร์ แต่การเข้ามาโดยการเลือกตั้ง ผมว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะว่าเมื่อไนก็ตามที่ผู้นำถูกเลือกมาจากประชาชนโดยตรง จะต้องกระทบต่อโครงสร้างของประเทศไทยอย่างลึกซึ้ง

ประเด็นที่ 5 ประเด็นนี้ผมไม่ได้พูดมาจากความรู้ความเข้าใจสังคมของมลายูมุสลิมใน 4 จังหวัดภาคใต้ แต่พูดจากความเข้าใจเกี่ยวกับมนุษย์ เท่าที่ได้เคยศึกษาสังคมอื่นมา ท่านเคยสังเกตไหมครับว่า เวลาพูดถึงชาวมลายูมุสลิม ไม่ว่ารัฐพูดก็ตาม หรือพวกท่านพูดก็ตาม หรือเวลาที่นักวิชาการที่เป็นมลายูมุสลิมพูดก็ตาม มันช่างเป็นสังคมที่เป็นน้ำเนื้อเดียวกันเหลือเกิน ซึ่งทำให้ผมไม่เชื่อ ผมไม่คิดว่า มันจะมีสังคมมนุษย์อะไรที่เป็นน้ำเนื้อเดียวกันมากขนาดนั้น มันมีความแตกแยกภายในแยะ จะเป็นการแตกแยกด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจหรือแม้แต่เหตุผลทางศาสนาก็ตาม

อย่างเช่นที่อาจารย์ฉวีวรรณท่านเคยศึกษาเรื่องชุมชนมลายูมุสลิมในปัตตานีแห่งหนึ่ง เมื่อ 20 – 30 ปีมาแล้ว ท่านพบเรื่องการเข้ามาของกลุ่ม “กาบุฮูดา” หรือ กลุ่มใหม่ หรือกลุ่มที่ตีความเรื่องศาสนาใหม่ ได้เข้ามาแล้วมีความขัดแย้งกับกลุ่มเก่าที่สอนศาสนาอยู่ในหมู่บ้านมาก่อน อย่างเช่น ขัดแย้งกันเรื่องการดูเดือนรอมฎอน โดยดูพระจันทร์ขึ้นลงไม่ตรงกัน วิธีละหมาดต้องคุกเข่าลงกี่หน ความเห็นไม่ตรงกัน แตกแยกกันขนาดพี่น้องในครอบครัวเดียวกันต้องทะเลาะกัน

ดังนั้น มันเป็นเรื่องปกติธรรมดาของทุกสังคมในโลกนี้ที่มีความขัดแย้งภายใน เวลาที่รัฐพูดถึงสังคมมลายูมุสลิมก็ตาม นักวิชาการมลายูมุสลิมพูดถึงสังคมมลายูมุสลิมก็ตาม พูดประหนึ่งว่า มันไม่มีความขัดแย้งแตกแยกภายในกันเลย เหมือนประหนึ่งว่า คนมลายูมุสลิมด้วยกันไม่เคยเอาเปรียบกันเลย ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ สังคมที่ไหนก็ต้องมีทั้งคนได้เปรียบเสียเปรียบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะมีรัฐไทยอยู่หรือไม่ก็ตามแต่ ยิ่งมีโลกสมัยใหม่เกิดขึ้น ผมเชื่อว่า อย่างน้อยตั้งแต่ พ.ศ. 2525 เป็นต้นมา พื้นที่ใน 3 – 4 จังหวัดภาคใต้นั้นเปลี่ยนแปลงมาก เพราะการคมนาคมที่เปลี่ยนไป และเหตุผลอื่นๆ เยอะแยะ มันมีคนกลุ่มใหม่ๆ เข้ามา ประชาชนกลุ่มอื่นอพยพเข้ามาก็มาก นายทุนเข้ามาก็แยะ ตัวราชการเองก็โตขึ้นมาก รัฐไทยใหญ่ขึ้นตั้งแยะ มีคนแปลกหน้าเข้ามาเยอะแยะไปหมด ทั้งที่เป็นคนมุสลิม และไม่ใช่มุสลิม ทั้งที่เป็นคนมลายูและไม่ใช่มลายู

ผมคิดว่า ในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงอันนี้ คนกลุ่มต่างๆ เข้าไปเกาะที่ตัวโครงสร้างที่มันเป็นอยู่เพื่อหาประโยชน์จากโครงสร้างเหล่านั้นมีค่อนข้างมาก ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นในทุกสังคม เกาะได้มาก เกาะได้น้อยก็แล้วแต่ เกาะแล้วเอาเปรียบคนอื่น เกาะแล้วเสียเปรียบคน อย่างใดก็ตามแต่

ฉะนั้น ก็เหมือนกับทุกสังคมอื่นๆ ในโลก การหาฉันทามติจากสังคม มันไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายๆ ผมคิดว่า ในสังคมมลายูมุสลิมก็เหมือนกัน การหาฉันทามติในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายๆ

ในงานของอาจารย์ธเนศเอง เวลาพูดถึงหะยีสุหรง อาจารย์พูดถึงกลุ่มคนที่เป็นมลายูมุสลิมด้วยกัน แต่จริงแล้วยังมีกลุ่มอีกมากที่ไม่เห็นด้วยกับท่านหะยีสุหรง อาจารย์ไม่ได้เอามาอธิบายให้ชัดเจนว่า มันมีกลุ่มไหนบ้าง อย่างน้อยก็มีกลุ่มตระกูลอับดุลราบุต เป็นต้น ซึ่งเป็นอีกตระกูลหนึ่งที่ไม่เอาด้วยกับท่านหะยีสุหรง นี่เป็นตัวอย่างอันหนึ่ง และผมเชื่อว่า ยังมีมากกว่านั้นอีก ถึงแม้ว่า ท่านหะยีสุหรงจะมีอิทธิพลเป็นที่นับถือกว้างขวางอย่างไรก็ตาม คนที่ไม่เห็นด้วยกับท่านก็ต้องมี และก็เป็นมลายูมุสลิมเหมือนกัน

ผมคิดว่า แม้แต่การเคลื่อนไหวทางการเมืองของชาวมลายูมุสลิมเอง คุณจะเรียกว่า แบ่งแยกดินแดน ทวงดินแดนคืน เปิดพื้นที่ใหม่ อย่างไรก็แล้วแต่ มันไม่เคยเป็นกลุ่มก้อนอย่างนั้นเลย อย่าลืมว่า ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองของชาวมลายูมุสลิม ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวภายในรัฐไทย คือเปิดพื้นที่สำหรับที่จะต่อรองภายในเงือนไขของรัฐไทยก็ตาม หรือไม่เปิดพื้นที่ในรัฐไทย แต่ไปซ่องสุมกำลังคนในการที่จะต่อสู้กับรัฐไทย แล้วเรียกตนเองว่า แบ่งแยกดินแดน ไม่เคยปรากฏว่ามีพรรคที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ตัวอย่างง่ายๆ คือ ไม่เคยมีพรรคคอมมิวนิสต์แห่งมาเลเซีย ภาคใต้ไทย ที่รวมทั้งหมด ตลอดเวลาที่ผ่านมา กลุ่มหนึ่งก็มีความเชื่อว่าต้องดึงเอาอินโดนีเซียสนับสนุน อีกกลุ่มหนึ่งกลับไม่เห็นด้วย ต้องพยายามปฏิวัติระบบสังคมของมลายูมุสลิมเอง อีกกลุ่มกลับบอกว่าไม่ใช่ เราต้องฟื้นฟูกลุ่มผู้นำทางศาสนา เช่น โต๊ะ อิหม่าม เข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยรักษาโครงสร้างเดิมของมลายูมุสลิมไว้

เราจะเห็นได้เยอะแยะไปหมดว่า มันมีกลุ่มที่แตกต่างหลากหลาย ผมเชื่อว่า แม้แต่กลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มที่ใช้ความรุนแรงในเวลานี้ ก็ไม่ได้เป็นเอกภาพกัน มีลักษณะที่แตกต่างหลายแนวทางด้วยกัน ผมคิดว่า ประเด็นนี้มีความสำคัญ แทนที่เราจะไปหลอกตัวเองว่า สังคมมลายูมุสลิมเป็นสังคมที่เป็นเนื้อเดียวกันทั้งหมด

ประเด็นที่ 6 เรื่องความยุติธรรมจากรัฐ หลักการสำคัญอันหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ รัฐทุกที่ในโลกนี้ ไม่ใช่เฉพาะรัฐไทย ไม่เคยมีรัฐไหนสามารถตรวจสอบตนเองได้ว่า ตนเองมีความยุติธรรมหรือไม่ หากให้รัฐตรวจสอบตนเอง ก็จะพบว่า รัฐต้องบอกว่า รัฐยุติธรรมแล้วทุกที เพราฉะนั้น ถ้าเราต้องการความยุติธรรมจากรัฐ ถามว่า เฉพาะพื้นที่ในภาคใต้ มันมีอะไรอะไรบ้างที่จะเป็นผู้ตรวจสอบ เป็นผู้ทำให้เกิดความยุติธรรมขึ้นในรัฐ ผมคิดว่า เราร้องขอความยุติธรรมไม่ได้ เราร้องขอเสรีภาพไม่ได้ เราไม่สามารถให้รัฐยื่นสิ่งเหล่านี้ให้เราได้เฉยๆ เราต้องมีสังคมที่เข้มแข็งพอ เฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ สังคมที่เข้มแข็งพอประกอบไปด้วย 3 ส่วน

ส่วนที่1 ประกอบด้วยสังคมในท้องถิ่นของตนเอง ผมเชื่อว่าถ้าคนในท้องถิ่นไม่ลุกขึ้นมารักษาความยุติธรรมให้เกิดขึ้นให้ได้ มันก็ไม่มีทางเกิด เป็นไปไม่ได้ และคนในท้องถิ่นปัตตานี ยะลา นราธิวาส ก็เคยลุกขึ้นมาแล้วในการที่จะรักษาความยุติธรรมเอง เช่น การประท้วงที่สะพานกอตอ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน กรณีของการประท้วงการสร้างเขื่อนที่แม่น้ำปัตตานี นั่นก็ประสบความสำเร็จ แต่ประสบความล้มเหลวก็แยะ ไม่ได้หมายความว่า ทุกครั้งที่ลุกขึ้นสู้จะประสบความสำเร็จหมด แต่ผมเชื่อว่า สังคมท้องถิ่นต้องมีความเข้มแข็งพอที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้ในเวที ซึ่งเวทีนั้นมันมีพื้นที่ที่แคบ พื้นที่นั้นมันจะไม่มีวันขยายเองเป็นอันขาด จนกว่าเราจะดันให้มันขยายขึ้นมา

ส่วนที่ 2 สังคมไทยในวงกว้าง อย่างเช่น คนภายนอกอย่างผม อย่างอาจารย์มารค อาจารย์ธเนศ ฯลฯ สามารถเข้ามาช่วยได้ และเราก็พยายามที่จะช่วย เพราะอย่างที่อาจารย์มารคพูดว่า ปัญหาของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สามารถแก้ได้ ไม่ใช่ที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่แก้ได้ที่รัฐไทย

รัฐไทยต้องเปลี่ยน และรัฐไทยจะเปลี่ยนได้นั้น สังคมไทยในวงกว้างต้องบีบบังคับให้รัฐไทยเปลี่ยน อยู่เฉยๆ มันไม่มีวันเปลี่ยน จนกว่าจะต้องบีบให้มันเปลี่ยน โดยการบีบผ่านสื่อ บีบผ่านการให้การศึกษา ให้คนรู้ ให้คนเข้าใจ เหล่านี้เป็นต้น อย่างเช่นที่มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เปิดสอนหลักสูตรมลายูศึกษาที่เชียงใหม่ แล้วทำไมต้องเปิดที่เชียงใหม่ ก็เชียงใหม่เป็นตัวปัญหา ยังมีคนอีกมากที่ไม่เข้าใจว่า พี่น้องร่วมชาติอื่นๆ เขาอยู่กันอย่างไร เราต้องรู้จักเขา ดังนั้นไม่ใช่ว่าปัญหาของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะอยู่เฉพาะที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้นตอของปัญหาทั้งหมด มันอยู่ที่ความไม่ลงรอยของรัฐไทยที่เราได้พูดถึงมาแล้วเมื่อช่วงเช้า เพราะฉะนั้นสังคมไทยในวงกว้างจึงมีความสำคัญ







ส่วนที่ 3 สังคมส่วนที่เหลือคือ สังคมโลก ซึ่งในอนาคตที่พอจะมองเห็นได้ ผมเชื่อว่า โลกไม่สนใจ ทุกวันนี้ เราเริ่มจะยอมรับกันแล้วว่า มาเลเซียไม่มีวันเกี่ยวกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในภาคใต้ของไทย และเหตุผลที่ผมคิดว่า มาเลเซียไม่มีวันเกี่ยวเพราะว่า มาเลเซียย่อมมองเห็นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตนสำคัญกว่าอย่างอื่นทั้งหมด

ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่มาเลเซียมีต่อประเทศไทยนั้น มันมโหฬารเกินกว่าที่เขาจะมาทำอะไรอย่างนั้นในภาคใต้ เขาอยากจะเห็นประเทศไทยที่สงบสุข เพื่อจะได้หาประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้ มากกว่าที่จะหาประโยชน์จากความวุ่นวายที่สามจังหวัดภาคใต้ ทีวีทุกเครื่องที่เราซื้อ มันผลิตที่อยุธยาและมาเลเซีย มันไม่ได้ผลิตที่ใดที่หนึ่ง เวลานี้เราเป็นโรงงานให้กับญี่ปุ่นเท่าๆ กันทั้งคู่ คือใครถนัดอะไรก็ผลิตกันตรงนั้น แล้วมาประกอบเข้ากันที่บางปะอินบ้าง ที่มาเลเซียบ้าง และถือเป็นตลาดร่วมกันในสายตาของญี่ปุ่น

ดังนั้น ในอนาคตอันใกล้ข้างหน้าที่เรามองเห็นได้ โลกจะไม่สนใจปัญหาชายแดนภาคใต้ไทย ทำท่าสนใจแต่จริงๆ แล้วไม่สนใจ เพราะมันมีผลประโยชน์อื่นบดบังมากกว่า หากถามว่าอเมริกาหรือจะมาทำอะไรประเทศไทย ผลประโยชน์ที่อเมริกามีอยู่ในประเทศไทย มันมากกว่าที่จะมาทำอะไรกันตรงนี้ ฉะนั้น ผมจึงคิดว่า มันเหลือเพียง 2 ที่ คือ สังคมท้องถิ่นกับสังคมไทยเองที่จะต้องแก้ปัญหาตัวเอง ส่วนสังคมโลกไม่มีความหมาย และทั้ง 2 อันนี้มันมีเงื่อนไข มันมีปัจจัยที่ไม่ง่าย การที่จะทำให้สังคมท้องถิ่นเคลื่อนไหวเพื่อที่จะขยายพื้นที่ทางการเมืองของตนเอง เคลื่อนไหวเพื่อที่จะรักษาความยุติธรรมอันพึงที่จะได้จากรัฐก็ตาม ทำให้สังคมไทยทั้งหมดเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันจากคนที่แตกต่าง จากคนที่มีความหลากหลายจากเรา ก็ไม่ใช่ง่ายทั้ง 2 อย่าง แต่มันเป็นทางออกทางเดียวที่เราจะทำได้ ไม่คิดว่าจะมีหนทางอื่น

ประเด็นที่ 7 เป็นประเด็นสุดท้ายคือ ความสมานฉันท์ ผมคิดว่า สมานฉันท์ถูกใช้เป็นคาถาในการเรียกร้องความสมานฉันท์โดยฝ่ายรัฐตลอดเวลา แต่รัฐกลับไม่มีความจริงใจในการสมานฉันท์ เพราะเหตุที่ว่า สมานฉันท์เกิดขึ้นได้จาก

หนึ่ง ความจริง คุณต้องทำความจริงให้ปรากฏ การที่เราจะสมานฉันท์กันได้ จะรักกัน จะให้อภัยต่อกันได้ เราต้องรู้กันก่อนว่าเราทำอะไรผิด แต่ปรากฏว่า กระบวนการที่จะเปิดเผยความจริงทั้งหมดของความสัมพันธ์ระหว่างชาวมลายูมุสลิมกับรัฐไทย มันไม่ได้เคยถูกเปิดเผยอย่างจริงจังสักที

ก่อนที่คุณจะให้อภัยผม ก่อนที่ผมจะให้อภัยคุณ เราต้องรู้ก่อนว่า ใครทำอะไรกันมาบ้าง ผิดแค่ไหน ถูกแค่ไหน จึงจะให้อภัยกันได้ ตราบใดที่เราไม่มีความพยายามที่จะเปิดเผยความจริงกันอย่างแท้จริง กรณีกรือเซะก็ตาม กรณีตากใบก็ตาม และกรณีอื่น ๆ อย่าง กรณีหะยีสุหรง ทุกวันนี้ก็ไม่มีใครที่จะพูดอะไรได้ว่าท่านถูกกระทำโดยรัฐ เพราะไม่มีหลักฐานอะไรที่จะพูดว่าอย่างนั้น แต่ก็รู้กันอยู่ว่า ท่านเสียชีวิตอย่างทารุณโหดร้ายเพราะอะไร แต่รัฐไม่เคยยอมรับว่า ครั้งหนึ่งเราปล่อยให้เจ้าหน้าที่ของรัฐมาทำอะไรต่อประชาชนได้ถึงขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นถามว่า ลูกหลานหรือผู้ที่นับถือท่านหะยีสุหรงจะให้อภัยรัฐได้ไหม ในเมื่อรัฐบอกว่า เขาไม่ได้เป็นคนทำ มันก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น การพูดความจริงเป็นเรื่องใหญ่

สอง เราต้องแก้ปัญหาเรื่องชาติ อย่างที่เคยพูดว่า ชาติไทยเป็นชาติที่พัฒนาไม่ถึงจุดสมบูรณ์สุดของมัน เราต้องพัฒนาให้มันถึงจุดสมบูรณ์สุดให้ได้ ต้องไม่มีความเหนือกว่าของกลุ่มชาติพันธุ์ใดในชาติ เราทุกคนต้องเท่าเทียมกัน ถ้าไม่อย่างนั้น มันก็ไม่เกิดชาติ คำว่าชาติคือคำว่าเสมอภาคนั่นเอง ไม่เคยมีครั้งไหนที่เรามีรัฐ แล้วทุกคนเท่าเทียมกันหมด แต่เราพยายามสร้างชาติขึ้นมาโดยพยายามรักษาความไม่เท่าเทียมกันที่มันเคยมีอยู่ ให้มันคงไว้ต่อไป ซึ่งคุณต้องแก้โจทย์นี้ให้ได้ ถ้าเราแก้โจทย์นี้ไม่ได้ ก็ไม่สามารถที่จะเปิดพื้นที่ให้กับชาวมลายูมุสลิมได้

ปัญหาอีกอันที่ผมทิ้งค้างไว้เมื่อช่วงเช้าคือ ปัญหาเรื่องเกี่ยวกับ Secularism รัฐโลกียวิสัย (Secular State) จะทำอย่างไร อย่างที่มีคนพูดถึงเรื่อง Revolution คุณต้องกระจายอำนาจ เราต้องกระจายอำนาจจริงๆ ไม่ใช่การกระจายอำนาจหลอกๆ จนถึงที่สุด แม้แต่การที่คุณจะต้องมีเขตปกครองพิเศษ ซึ่งจะแปลว่าอะไรก็ไม่ทราบ แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ จะต้องมี ก็ต้องมี

ผมเคยถามอาจารย์ธเนศที่เคยเรียนรัฐศาสตร์มาเหมือนกัน ว่า Unitary State รัฐเดี่ยว รัฐศาสตร์เขานิยามว่าอะไร ท่านบอกไม่รู้เหมือนกัน ดังนั้น ในที่สุดแล้ว การที่รัฐธรรมนูญมากำหนดว่า ประเทศไทยจะต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จะแบ่งแยกมิได้ การที่เขาจะบอกว่า พื้นที่ 3 – 4 จังหวัดภาคใต้มีระบบปกครองอีกระบบหนึ่ง มันจะเป็นการแบ่งแยกดินแดนตรงไหน ก็ยังเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอยู่ ไม่เห็นแปลกอะไร

เพราะฉะนั้น เราต้องยอมรับความแตกต่างหลากหลายของระบบปกครองเพื่อให้เหมาะสมกับพื้นที่ของเขา คนของเขา วัฒนธรรมของเขา ดังนั้น ข้อเสนอ 7 ประการของท่านหะยีสุหรง ข้อที่หนึ่ง เขตปกครองพิเศษ มันไม่เหมือนที่อื่น มันเป็นเขตที่มีคนถูกเลือกตั้งขึ้นมา แล้วก็เป็นผู้ดูแลทั้ง 3 – 4 จังหวัดนี้ คุณอาจจะไม่เอาโมเดลนี้ แต่คุณต้องคิดโมเดลที่มันเหมาะกับพื้นที่นี้ จะเป็นอย่างไรผมก็ไม่ทราบ และเมื่อมันมีเขตปกครองพิเศษ เราต้องคิดถึงสิทธิของคนกลุ่มน้อย

ผมขอยกคำพูดของอาจารย์เกษียร เตชะพีระ ท่านบอกว่า

“พวกเราทุกคนซึ่งอยู่ตรงนี้เป็นคนส่วนน้อยหมด แล้วแต่คุณจะขีดวงไว้ตรงไหน ชาวมลายูมุสลิมเป็นคนส่วนน้อยในรัฐไทย คนไทยเป็นคนส่วนน้อยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คนส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นคนมลายู เราคือคนส่วนน้อย ฉะนั้น เราจึงต้องอ่อนไหวกับเรื่องสิทธิของคนส่วนน้อยให้มาก เพราะทุกคนเป็นคนส่วนน้อยหมด ไม่มีใครเป็นคนส่วนใหญ่สักคน”

ฉะนั้น ถ้ามันมีเขตปกครองพิเศษ จะต้องตกลงยังไง ผมก็ไม่ทราบโดยรายละเอียด แต่ต้องคิดถึงสิทธิของคนส่วนน้อย คือคนที่ไม่ใช่มุสลิม ซึ่งเขาอยู่ร่วมกันที่นี่มาหลายชั่วคนแล้ว เขาจะอยู่กันอย่างไร อันนี้ผมขอโยนลูกบอลให้ทางฝ่ายมลายูมุสลิมคิดบ้างแล้วว่า หากคุณจะอยู่ร่วมกับเขา คุณต้องกำหนดกติกาขึ้นมาเพื่อให้เขาอยู่ได้สบาย อย่างที่คุณอยากอยู่อย่างสบาย ไม่ว่าคุณจะแยกดินแดน ไม่ว่าคุณจะอยู่ในเขตปกครองพิเศษ ไม่ว่าจะอะไรก็ตามแต่

การไม่คิดถึงสิทธิของคนกลุ่มน้อย ก็จะเกิดปัญหาตลอดไป ถ้าอยู่ในประเทศไทย ก็จะเกิดปัญหากับประเทศไทย ถ้าแยกเป็นรัฐอิสระ ก็จะเกิดปัญหากับรัฐอิสระ เพราะมันไม่มีหรอก หากเราลองย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์มลายู ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ของชนชาติมลายู เป็นประวัติศาสตร์ของรัฐ ของเมือง ที่มีความหลากหลายที่สุดก็ว่าได้ เนื่องจากอยู่ริมทะเล ใครๆ ก็มาอยู่ตรงนี้ คนนานาประเทศต่างก็มาอยู่ตรงนี้ ดังนั้นคนมลายูมุสลิมล้วนมีประสบการณ์กับการอยู่ร่วมกับคนส่วนน้อยมาอย่างยาวนานมาก เราต้องดึงเอาความสามารถนั้นกลับมาใหม่ เพื่อจะใช้กับการที่จะมาอยู่ต่อไปข้างหน้า

สุดท้าย ผมขอพูดเรื่อง ความสมานฉันท์ ก็คือ คุณต้องยอมรับอัตลักษณ์ของมลายู ผมคิดว่า ปัญหาเรื่องศาสนาอิสลามไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ที่ผมทิ้งไว้เมื่อช่วงเช้าว่า ผมสงสัยว่ามีคนมุสลิมที่อยู่นอกเขตสามจังหวัดภาคใต้ มากกว่าคนมุสลิมที่อาศัยในเขตสามจังหวัดภาคใต้เสียอีก แต่คนเหล่านั้นกลับไม่มีปัญหา ที่มันมีปัญหาจริง ๆ คือ ความเป็นมลายู อัตลักษณ์ที่คุณรู้สึกสำคัญและถูกย่ำยีอย่างมากคือ ความเป็นมลายู

แต่อย่างที่ผมบอกในตอนต้นว่า คุณแยกทั้ง 2 อย่างออกจากกันไม่ได้ เพราะสำนึกของคนมลายูกับความเป็นมุสลิมนั้น มันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างแยกไม่ออก และด้วยเหตุผลที่รัฐไทยไม่เปิดพื้นที่ให้คนอิสลามต่อสู้ได้ จึงจำเป็นต้องซ่อนการต่อสู้ ต่อรองกับรัฐมาในรูปของศาสนาอิสลามทุกที ไม่สามารถต่อรอง ต่อสู้ในเรื่องของความเป็นมลายูได้ ผมว่า เราต้องยอมรับความจริง คุณอยากเป็นมลายู คุณต้องอยู่ในรัฐนี้ให้ได้ ถ้าไม่ได้ก็ยุ่ง เพราะทุกคนจะทำแบบคนจีนหมด โดยสามารถหลบตนเองให้กลายเป็นไทยได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ได้ แต่คนมลายูทำแบบนั้นไม่ได้ เมื่อทำไม่ได้ คุณก็ต้องเป็นมลายู และรัฐต้องยอมรับความเป็นมลายูมุสลิม

และในบรรดาความเป็นมลายูทั้งหมด เรื่องภาษาเป็นเรื่องที่สำคัญ ผมเห็นด้วยกับทาง กอส. เป็นอย่างยิ่งในการมีข้อเสนอบอกว่า “ทำไมการศึกษาในเขตพื้นที่ 3 – 4 จังหวัดภาคใต้ จะเริ่มศึกษาประถม 1 ถึง ประถม 6 ด้วยภาษามลายูไม่ได้” ในเมื่อคนเขาเกิดเป็นมลายู เขาก็น่าจะใช้ภาษามลายูได้ การเรียนมันไม่ได้เรียนเพียงแค่ภาษาอย่างเดียว โรงเรียนนั้นสอนวิชาอื่นๆ ทุกอย่าง เมื่อเราเรียน เราก็ใช้ภาษามลายูไป เมื่อเราจบชั้นประถม แล้วเริ่มเรียนมัธยม เราก็สามารถเรียนภาษาไทยเหมือนกับเป็นภาษาต่างประเทศภาษาหนึ่งได้ จริงๆ ภาษาไทยไม่ได้แข่งกับภาษามลายู อย่างไรคนมลายูก็ไม่สามารถรู้ภาษามลายูอย่างเดียวได้ ที่จะอยู่ในโลกปัจจุบันนี้ คุณต้องรู้ภาษาที่สอง หนีไม่พ้น ถ้าไม่เป็นภาษามลายูแบบมาเลเซีย ก็ต้องเป็นภาษาอาหรับ ภาษาอังกฤษ ภาษาเยอรมัน ภาษาฝรั่งเศส สำหรับภาษาไทยนั้นแข่งกับภาษาพวกนี้ ไม่ได้มาแข่งกับภาษามลายูท้องถิ่น แต่ไปแข่งกับภาษามลายูหลวง มลายูกัวลาลัมเปอร์โน่น หรือแข่งกับภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศสต่างหาก

สิ่งที่น่าเสียดายสำหรับภาษามลายูท้องถิ่นที่สุดก็คือว่า ทุกภาษาในโลกนี้ เมื่อตอนที่เรากำลังจะเข้ามาสู่สมัยใหม่ เรามีโอกาสพัฒนาภาษา แต่มันมีภาษาอีกเป็นร้อยเป็นพันภาษาที่ไม่มีโอกาสพัฒนาภาษา คือคุณไม่สามารถใช้ภาษานั้นในการที่จะสื่อสารของโลกสมัยใหม่ได้

ผมเคยถามกับเพื่อนที่เป็นคนเชียงใหม่โดยกำเนิดว่า ให้สอนวิชาประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นวิชาที่ง่ายแล้ว ด้วยภาษาคำเมืองได้ไหม เพื่อนผมทดลองดูก็คิดไม่ออก สอนไม่ได้ คิดไม่ทันที่จะเอาคำเมืองมาใช้อธิบายแนวคิดบางอย่าง คงยากมากเลย ผมกำลังสงสัยว่า แม้แต่ภาษามลายูท้องถิ่นก็อาจจะยากเหมือนกัน

คงทราบกันว่า ภาษามลายูนั้นถูกพัฒนาก่อนเพื่อนที่สุด และไปได้ไกลที่สุดคือ อินโดนีเซีย เมื่ออินโดนีเซียรับภาษามลายูเป็นภาษาอินโดนีเซียแล้ว มันมีการพัฒนาภาษามลายูในอินโดนีเซียมากกว่าในมาเลเซียด้วยซ้ำไป แล้วเป็นภาษาที่ใช้ทางวิชาการ ใช้แต่งวรรณคดี ใช้อะไรได้ร้อยแปด มาเลเซียเสียอีกที่มาพัฒนาภาษาตามมาในภายหลัง ผมคิดว่าภาษามลายูท้องถิ่นเสียโอกาสอันนี้ เหมือนกับที่ภาษาคำเมืองในเชียงใหม่เสียโอกาส ภาษาอีสานเสียโอกาสอย่างเดียวกัน คือ ไม่ได้มีโอกาสที่จะถูกใช้เอามาเขียนนิยายรัก เอามาใช้อธิบายวิทยาศาสตร์ และอธิบายอื่นๆ อีกร้อยแปด

เราต้องเปิดโอกาสอันนี้ให้ภาษามลายูท้องถิ่นได้มีโอกาสพัฒนาตนเอง แน่นอน ภาษามลายูหลายคำเราอาจต้องยืมมาจากภาษามลายูที่ใช้กันในมาเลเซีย อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น

เพราะฉะนั้น ความเป็นอัตลักษณ์มลายู เราต้องยอมรับ รัฐต้องยอมรับ ถ้าเราจะสมานฉันท์กัน เราต้องยอมรับว่า คุณกับผมนั้นมีความแตกต่างกัน จะเหมือนกันก็มี ต่างกันก็มี การยอมรับเช่นนี้เท่านั้นจึงจะทำให้เกิดความสมานฉันท์ได้จริง สมานฉันท์ไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้จากการท่องคาถาสมานฉันท์ตลอดเวลา โดยไม่ทำอะไรเลย เป็นไปไม่ได้.




Create Date : 08 เมษายน 2550
Last Update : 15 มิถุนายน 2550 14:24:57 น. 2 comments
Counter : 1657 Pageviews.

 



ขอบคุณครับได้ความรู้มากเลย จากที่ไม่ค่อยรู้อะไร...

จากประสบการณ์ของผมที่เคยเจอมากับตนเอง เป็นข้อมูลดิบที่ยังไม่ได้กรองอะไร และคิดว่าทำไมต้อเป็นแบบนั้น ผมเคยไปทำงานและพักอาศักอยู่แถวหนองจอก และมีนบุรี ซึ่งจะพอรู้ว่าย่านนี้มี มุสลิม เยอะมาก ขนบธรมเนียมของเขาไม่เปิดรับ ไทยพุทธเลย เขาจะรักเฉพาะพวกพ้องเขามาก บางชุมชน ห้ามอย่างเด็ดขาดที่จะให้คนไทยเดินผ่านประตูชุมชนเข้าไปได้...




โดย: ฟ้าสดใส ทะเลสีคราม วันที่: 9 เมษายน 2550 เวลา:19:05:29 น.  

 
มันเป็นเช่นนี้เองครับ ต้นมะเขือเทศที่ถูกปลูกที่หนึ่งในสภาพแวดล้อมหนึ่ง ย่อมต่างจากต่างจากต้นมะเขือเทศที่ถูกปลูกในอีกสภาพแวดล้อมเป็ฯธรรมดา แต่มนุษย์มักเอาลูกมันมาเปรียบเที่ยบกัน ละที่สำคัญวัดว่าอันไหนดีกว่าที่เป็นสากลได้อีก เหมือนกับจอร์น สจวต มิล ที่เคยกล่าวไว้ว่า
" เป็นมนุษย์ที่ไม่พอใจดีกว่าเป็นหมูที่พอใจ
เป็นโสเครติสที่ไม่พอใจ ดีกว่าเป็ฯคนเขลาที่พอใจ"

ในเมือที่มาต่างกันแล้วใยจะมาวัดกันได้ เพราะฉนั้นผมจึงสงสัยในประโยคดังกล่าวของ มิลมากครับ


โดย: Darksingha วันที่: 10 เมษายน 2550 เวลา:10:15:39 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Darksingha
Location :
สมุทรสงคราม Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]





Click for use Graphics comment


Darksingha ที่แสดงถึงอำนาจและความมืดมัว ผมให้แทนคำว่า Age of Doubt หรือยุคแห่งความสงสัยก็แล้วกัน ดังนั้นBlogนี้จึงเป็นแดนสนธยาที่เต็มไปด้วยหมอกควันแห่งคำถาม และการละเล่น เพื่อแสวงหา ?


TV3 Live CH5 Live CH7 Live Modernine TV Live NBT LIVE - CH11 TPBS - Public Channel ASTV1 New11 - Online News 24 hours Nation Channel DMC.TV - Buddhistic Television ASTV5 - Suvarnbhumi ASTV7 - Buddhistic Television  True New 24 Channel  skynew  cnnibn Channel  cnn Channel  bbcnews_island Channel  cctv  Channel  bfmtv  Channel  ntv  Channel  fox8 Channel  foxnews5 Channel  cspan  Channel  france24 Channel  world_explorer Channel  discovery_channel Channel  nasa  Channel kimeng-channel dmc-channel ebr-channel research-channel utv-channel michigan-channel at-florida-channel islam-channel peace-usa-channel bbc-panorama-channel CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live

music is life

ชุมทางเพลงเพื่อชีวิต

Friends' blogs
[Add Darksingha's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.