ลงทุนซื้อหุ้น.. จากที่ได้หาแนวทางการลงทุนเพิ่มเติมมาในระยะ 2-3 ปีกว่าที่ผ่านมา เพื่อต้องการหารายได้ให้เข้ามาเพิ่ม นอกเหนือจากที่มีตึกอาคารพานิชย์แล้ว 1 แห่ง ซึ่งมันก็ได้ทำหน้าที่ในการเป็น passive income ให้เราได้เป็นอย่างดี ตามที่เล่าไว้ในนี้ ต่อสัญญา.... ความต้องการเพื่อจะเพิ่มมูลค่าทรัพย์สิน จากเงินเก็บที่มี เหมือนกับคำพูดที่ว่า " ให้เงินมันทำงานให้เรา " จากเงินก้อนเก็บที่มีอยู่นิดหน่อย เอาไว้ไม่ลำบากตอนเกษียณ หากฝาก Bank กินดอก ก็คงไม่ได้อะไร ซึ่งทุกวันดอกเบี้ยไม่ถึง 1% คนฝากเงินแทบที่จะต้องเป็นคนเสียเงินให้ธนาคารเองซะแล้ว ทั้ง ๆ ที่ดอกเบี้ยเงินกู้ก็สูงถึง 5-6%(ดอกเบี้ยผ่อนบ้าน) จริง ๆ แล้ว ถ้ามีเงินมากพอ ก็ไม่ควรให้ดอกเบี้ยมันเกิดขึ้นนะสำหรับการผ่อนบ้าน เหมือนที่เราทำกับการใช้บัตรเครดิต ที่เราจะจ่ายครบเต็มจำนวนทุกครั้ง ทุกเดือน โดยไม่ยอมให้มีการหักดอกเบี้ยเลยแม้แต่บาทเดียว หนำซ้ำเรายังได้เครดิตเงินคืนจากการใช้บัตรอีกด้วย ซึ่งเดือนนึง ๆ เราจะได้เครดิตเงินคืน ประมาณ 1XX - 2XX บาท และไม่เคยจ่ายค่าธรรมเนียมบัตรเลยสักครั้งสักปี ไม่ว่าจะเป็นบัตรของธนาคารไหนก็ตาม ย้อนกลับมาเรื่องการผ่อนบ้าน ถ้ามีเงินมากพอก็ควรจะปลดหนี้ให้หมด ก็ถูกนั่นแหล่ะ แต่มันไม่พอไงเลยก็ต้องผ่อนธนาคารต่อ แล้วก็เก็บเงินสดไว้บ้างเผื่อใช้ยามฉุกเฉิน ซึงเราก็พยายามปรับลดเงินต้นลงมาและก็ใช้เงินก้อนส่วนหนึ่งด้วย ที่ได้เล่าไว้ในบล้อกที่แล้ว เรื่อง ตัดลดเงินต้น.. แต่ก็มีเงินตัดได้แค่นี้ ทุ่มซะหมดเดี๋ยวไม่มีอะไรกิน เหลือเงินบางส่วนคิดว่าน่าจะหาไปลงทุนเพื่อต่อเงินอีกที พยายามหาช่องทางหลากหลายการลงทุน เช่น อสังหาฯ ตึกอาคารพานิชย์แบบเดิมเพิ่มเติม ก็กลัวเรื่องระยะยาวจะส่งไม่ไหว และตอนนี้ราคาอาคารพานิชย์ก็แพงมากทั้งเก่า/ใหม่ , ครั้งนึงเคยสนใจโรงแรมหรือคอนโด ที่ว่าซื้อไว้แล้วให้เช่าหรือเข้าโครงการลงทุน ที่ได้เล่าไว้ในนี้ สนใจลงทุนคอนโด แต่ก็กลัวความไม่แน่นอน จากธุรกิจการท่องเที่ยว และปัญหาโรคระบาด Covid-19 ที่ยังไม่จบ และการลงทุนก็ใช้เงินมากซะด้วย ที่ดินเปล่าก็หาอยู่บ่อยครั้งแต่สู้ราคาไม่ไหว และกลัวทุนจมไม่ได้ใช้ประโยชน์อีก จนสุดท้ายเราก็มาลงที่........... .................... .................... ......ตัวนี้.............. .................... ....... ลงทุนหุ้น และกองทุนรวม.... ........................ ซึ่งจริง ๆ เราก็สนใจมันมานานพอดูเลยล่ะหุ้นอะไรจำพวกนี้ ทุกวันนี้ตอนวิ่งออกกำลังกายยังฟัง Podcast (พอดคาสท์) ที่เค้าวิเคราะห์เรื่องหุ้นหรือการเงินต่าง ๆ ทุกวัน แล้วเราก็เคยลงกองทุนรวมไว้ เมื่อก่อนตอนต้องการลดหย่อนภาษีเมื่อปี 2017 ที่เคยเล่าไว้ ในนี้ ซื้อ LTF... แต่ตอนนั้นก็รู้สึกว่าเจ็บตัวอยู่เหมือนกัน เพราะอาจจะดูไม่ดีหรือว่าข้อมูลอาจไม่แน่นมากพอ ดูแต่ผลวิเคราะห์ของ Morning star และเราไม่ได้กระจายการลงทุน ก็ซื้อไว้ตัวเดียว ซึ่งตัวนี้ลงทุนในหุ้นหลักในประเทศ และเป็นหุ้นปัจจัยพื้นฐาน และพลังงานเป็นหลัก ซึ่งเราว่าไม่ใช่เทรนของการลงทุนในปัจจุบัน พอ SET ตก ตัวกองทุนก็ตกตามกัน และยังไม่พอยังมาเจอ Covid-19 อีก ตอนนี้ราคา Nav ของกองทุนตกลงมา ประมาณ 15% ก็คงทำอะไรไม่ได้ คงถือยาวอยู่แล้ว อาจจะเลยครบกำหนดเรื่องเงื่อนไขภาษีเลยก็ได้ รอบนี้ก็ฟังข้อมูลเยอะมาก และได้ข้อสรุปว่า สนใจที่จะลงทุนในหุ้นหรือกองทุนที่เป็นเทคโนโลยี หรือนวัตกรรมใหม่ ๆ เพราะระบบบริษัทธุรกิจในด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม หรือเทคโนโลยีอินเตอร์เนตคอมพิวเตอร์ ไอทีต่าง ๆ เติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดด เป็นอย่างมากในปัจจุบัน ได้ข้อมูลมาก็ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไร พอดีมีตัวเร่งปฎิกิริยาเข้ามาจังหวะนี้พอดี นั่นคือหุ้น OR ที่ประกาศเปิดขาย IPO ครั้งแรก โดยเปิดให้จอง วันที่ 24/01 - 2/02 เห็นว่ารายย่อยได้ทุกคน (small lot first) ขั้นต่ำ 300 หุ้น เราก็ตัดสินใจไปจองกับเค้า จองมาได้ 600 หุ้น ๆ ละ 18 บาท เป็นเงิน 10,800 บาท เกริ่นนำไปก่อนหน้าว่าสนใจหุ้นนวัตกรรม แต่ OR มันเป็น นวัตกรรมตรงไหน ก็ถูกนะมันไม่ใช่เลย เพราะ OR คือ Oil & Retail คือน้ำมันและค้าปลีกของปตท. มันคือหุ้นพลังงานนี่แหล่ะ แต่มีการค้าปลีกมาด้วย เช่น ร้านกาแฟ / 7/11 / และอื่น ๆ ในปั้ม ปตท. แต่ที่ตัดสินใจลงทุน เราคิดว่ามันใกล้ตัว เราเข้าไปใช้บริการประจำอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเดินทางไปไหน ๆ ไปต่างจังหวัด เราก็แวะทุกที ถึงแม้ปกติเราจะเติมน้ำมันปั้มอื่น ๆ แต่เดินทางไกลเราก็เติมปตท.ทุกที เพราะต้องเข้าใช้บริการ 7/11 และเข้าห้องน้ำ และที่ชอบก็คือกลยุทธของการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ที่ให้รายย่อยก่อน ให้รายย่อยเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าของหุ้น ซึ่งกลยุทธนี้ จะทำให้พลังซื้อเพิ่มมากขึ้น เนื่องจาก มองว่า ประชาชนทั่ว ๆไป ที่ได้รับหุ้นตัวนี้ ไหน ๆ ก็ต้องเติมน้ำมัน เข้าร้านกาแฟ คนที่เป็นเจ้าของหุ้น เค้าก็ต้องอุดหนุนปั้มของตัวเองอยู่แล้ว อันนี้เราก็คิดว่ามันตรงประเด็นก็เลยเก็บไว้ก่อนเลย และก็ไม่ผิดหวัง หุ้น OR เปิดซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์วันที่ 11 กพ.64 +ไป 62.5% จากราคา 18 บาท เพิ่มเป็น 29.25 บาท คิดว่าเปิดมาอีกวันหลังตรุษจีนจะซื้อเพิ่มอีกหน่อย และก็คงเก็บไว้ยาว สำหรับ OR ตัวนี้ ถึงแม้จะไม่ใช่หุ้นนวัตกรรมอย่างที่ตั้งใจไว้ทีแรกก็ตาม แต่ว่าหุ้นในประเทศไทยยากมาก มองหาตัวไหนไม่เห็นว่าจะมีบริษัทไหนเลยที่เป็นเทคโนโลยี หรือว่ามีนวัตกรรมด้านไอทีเลย จะมีใกล้เคียงก็จะเป็นด้านโทรคมนาคม ก็เลยไม่รู้จะเลือกตัวไหน แต่เพื่อให้ได้ตามความตั้งใจ เราก็เลยหาซื้อกองทุนไทย ที่ไปลงทุนจากหุ้นต่างประเทศ ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมอีกที โดยรอบนี้จะไม่สนใจเรื่องการคืนภาษีแล้วล่ะ เราจะแบ่งซื้อ หลาย ๆ กองหน่อย เพื่อกระจายการลงทุน... ลงไปแล้ว 1 กอง B-GTO เป็นกองที่กำลังเปิด IPO ครั้งแรก และอีกตัวที่เล็งไว้ตอนนี้ คือ TNEXTGEN ....ที่จะไปลงทุนกองต่างประเทศเหมือนกัน กองเหล่านั้นจะลงทุนในหุ้น นวัตกรรม และเทคโนโลยี ต่าง ๆ ซึ่งจะมี Tesla อยู่ในนั้น ด้วย /// |
บทความทั้งหมด
|