โรคระบาด/เศรษฐกิจ/กองทุนฯ ขณะนี้ทุกพื้นที่ทั้งในบ้านเรา หรือที่ไหน ๆ ทั่วทั้งโลก เกิดปัญหาโรคระบาดครั้งใหญ่ อย่างที่ไม่เคยเกิดโรคระบาดที่มี ความรุนแรงขนาดนี้มาก่อน โรคระบาดที่ว่า คือ ไวรัสโคโรน่า หรือ COVID-19 ซึ่งเป็นไวรัส สายพันธ์ใหม่ เริ่มระบาดมาจากประเทศจีน เมื่อปลายปี 2019 ต่อต้นปี 2020 ที่เมืองอู๋ฮั่น (WUHAN) ซึ่งการติดต่อแพร่กระจายจากคนสู่คน โดยการไอ จาม สัมผัส เหมือนไข้หวัดทั่วไป แต่เมื่อเป็นแล้วมันจะเข้าไปทำลายปอด ทำให้เกิดปอดอักเสบ และเสียชีวิตในเวลารวดเร็ว ณ ตอนนี้ มีผู้ติดเชื้อทั่วโลก ประมาณ 1 ล้านคนแล้ว เสียชีวิตกว่า 5 หมื่นคน เฉพาะประเทศไทย มีผู้ติดเชื้อ สะสม ณ วันนี้ 1875 คน ซึ่งมีเพิ่มขึ้นทุกวัน วันละมากกว่า 100 คน นับตั้งแต่ 16 มีนาคม 2563 เป็นต้นมา และ เสียชีวิตสะสม 15 คน ทำให้เกิดการตื่นกลัวกันทั้งหมด หลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย มีมาตรการต่าง ๆ ออกมาหลายอย่าง เช่น ให้อยู่แต่ในบ้าน ปิดสถานที่ต่าง ๆ ที่มีการรวมกลุ่มคน ให้ใส่หน้ากากอนามัย Social distancing (การรักษาระยะห่าง) ที่ทำงานบางบริษัทก็ให้ Work from home หรือให้หยุดงานกันบางคน จึงเกิดความตื่นกลัวกันทั้งประเทศ กระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ เพราะเกิดการใช้จ่ายที่น้อยลง ส่งผลให้หุ้นร่วงมาตลอด (ซึ่งจริง ๆ ก็ร่วงก่อนโรคระบาดด้วยซ้ำ) จึงมากระทบกับกองทุน LTF ที่เราได้ซื้อไว้เมื่อ 2 ปีก่อน เพราะกองทุนของเราก็ไปลงทุนในหุ้นต่าง ๆ ด้วย จากเดิม ดัชนี Set100 อยู่ที่ 18xx ตอนนี้เหลืออยู่ที่ 11xx ร่วงลงมากว่า 7xx จุด จนดัชนีเกือบต่ำกว่า 1000 ทำให้มูลค่าติดลบในวันนี้ การซื้อกองทุน LTF เพื่อต้องการเก็บเงินไว้ลงทุน และหวังเงินคืนภาษีที่เสียไปในปี 2560 ตามที่เล่าไว้ในนี้ ซื้อ LTF เพืื่อxxxx... มาถึง ณ เวลานี้ ผ่านมา 2 ปี (เมษายน 2563) แต่นับปีที่ 4 ของกองทุนนี้ที่ซื้อมา ปรากฎว่าราคา NAV จากเดิม 61.70 ลดลงเหลือแค่ 41.1063 บาท/หน่วย มูลค่าถ้าขายตอนนี้จะเหลือเงินแค่ 41.1063x1620 = 66,592.206 บาท ถ้าเทียบจากเงินที่ซื้อไปตอนนั้น 100,000 บาท เงินหายไป 33,407.794 บาท (33.4%) มูลค่าตกลงมาขนาดนี้ ถ้าครบกำหนด 7 ปี จะได้คืนมาแค่ไหนนะ นั่นแหล่ะหนาเค้าถึงบอกมาว่า การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง แต่ของเรามันจะขาดทุนอะไรขนาดนั้น ตั้ง 33% แต่ขาดทุนกับหุ้นหรือกองทุนน่ะมันไม่เท่าไร นาทีนี้ ขอให้รอดชีวิตจากวิกฤติการณ์จากโรคระบาดก็เพียงพอแล้ว |
บทความทั้งหมด
|