ตรวจสอบระบบชีวิต

วันนี้วันที่ 24 มีนาคม 2548

เมื่อเช้าผมเดินทางไปโรงเรียนสาธิตกาญจนบุรี ไปสมัครเป็นอาจารย์สอนกลุ่มวิชาการงานและพื้นฐานอาชีพ ความน่าประทับใจแรกก็คือบริเวณสถานที่ที่กว้างใหญ่ไพศาลและอยู่ในระหว่างการพัฒนาทางด้านสาธารณูปโภค อาคารเรียนและการปรับแต่งสภาพภูมิทัศน์ของบริเวณโดยรอบๆ ให้ที่นี่เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยเวสเทินน์ถ้าจำไม่ผิด เป็นเมืองนักศึกษาประมาณนั้น (ไม่เวสก็อิสนี่แหละ) จากสภาพไร่มันที่กว้างใหญ่ ก็มาพบเจออาจารย์สอนวิชาภาษาอังกฤษ อ.อนัญญา ซึ่งกำลังจะหมดสัญญากับทางโรงเรียน ก็ขอลาออกไปผจญชีวิตในกรุงเทพฯบ้าง เพราะจากชัยภูมิมาสู้ชีวิตที่เมืองกาญจน์ได้หลายปีแล้วตั้งเรียนจบป.ตรีจนได้มาทำงาน ก็ทำงานที่นี่ได้ประมาณ 1 ปี สังเกตพบวี่แววของบรรยากาศมาคุจากการสนทนากัน สำคัญที่เรื่องของสวัสดิการพนักงานผู้สอนที่ไม่ค่อยดีเท่าใด ทำตามคำสั่งจากบนลงล่าง และเงินเดือนก็รู้สึกว่าจะไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยกับปริมาณงานที่ผู้ปฏิบัติต้องรับผิดชอบ พอได้กรอกใบสมัครงานเสร็จ ก็ต้องมานั่งทำแผนการสอนกันเดี๋ยวนั่นเลยทั้งๆที่ไม่เคยได้เตรียมตัวมาก่อน ก็อาศัยจากตัวอย่างของทางที่โรงเรียนและหนังสือคู่มือการเรียนการสอน ภาในใจบอกตัวเองอยู่ลึกๆว่า “กูกลับบ้านดีกว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เราคาดหวังไว้” แต่ในวิชาชีพครูมันก็ต้องมีแผนการสอนซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้ทั้งผู้สอน ผู้เรียน และผู้ประเมินคุณภาพได้เห็นทิศทางการเรียนรู้ว่าเป้าหมายนั่นมันคืออะไร จะไปกันถึงตรงไหนและได้ความรู้อะไรเป็นน้ำเป็นเนื้อกันบ้าง และจะได้ประเมินคุณภาพทางการศึกษาได้ถูกทางว่าจะต่อสัญญาหรือจะหมดสัญญาจ้าง เราก็นั่งคิดกันเดี๋ยวนั้นแก่ปัญหากันตรงนั้นเลยว่าจะสอนอะไรดีหว่า จะไฟฟ้า อิเล็กส์ คอมพิวเตอร์ เรามันสอนพื้นฐานได้ทั้งหมดยิ่งถ้ามีหนังสือคู่มือประกอบด้วยนี่ก็ยิ่งดีใหญ่แต่นี่มีแต่ของเดิมๆ ในหัวสมองทั้งนั้น ก็ร่างใส่กระดาษไปสองแผ่นจนลงเอยที่จะสอนเรื่อง วงจรไฟฟ้ากระแสตรงและวงจรไฟฟ้ากระแสสลับ คิดแล้วก็เขียนไปเรื่อยๆ ปรับปรุงขัดเกลาให้มันเข้ารูปเข้ารอย พอถึงเวลาทดสอบสอนจริงก็คิดว่าเรากำลังแสดงละครบทที่ว่าด้วยครูสอนนักเรียน ก็ว่าไปเรื่อยๆ กรรมการสอบก็ใจดีร่วมแสดงละครโรงเล็กกับเราด้วย แล้วเวลามันก็ผ่านไป เป็นการทดสอบสอนที่ใช้เวลานานกว่าคนอื่นๆที่มาสมัครเป็นอาจารย์สอนที่นี่ เราก็เลยขอเปิดใจเล่าสู่กันฟังกับกรรมการคุมสอบถึงมุมมองการใช้ชีวิตในการที่เราจะต้องอุทิศเวลาให้กับงาน มันเป็นเวลาชีวิตของเราที่ต้องแลกไปกับอารมณ์ ความรู้สึก หรือความกดดันที่จะมีกับการทำงานนั้นๆ เหมือนกับว่าเราเลือกงานแต่ชีวิตที่ต้องทุ่มเทให้กับงานนั้นก็น่าจะเป็นงานที่เราตั้งใจอยากจะทำจริงๆ ไม่ใช่มาพิสูจน์ความอดกลั้นอดทนกับสภาพความกดดันอะไรบางอย่าง ถึงผมมีคุณสมบัติที่เหมาะจะมาร่วมงานกับทุกๆท่าน แต่สภาพชีวิตที่มองเห็นบุคลากรเป็นแค่เครื่องจักรไร้ชีวิต ที่จะต้องทำตามคำสั่งเท่านั้น มันก็เกินไป แต่อาจจะเหมาะหรือไม่เหมาะกับผมก็ได้ ผมมันรั้น หัวแข็งในเรื่องไม่เข้าเรื่อง ขี้เกียจ และไม่ค่อยสู้ปัญหา เพราะถ้านี้คือปัญหาผมก็พ่ายต่อปัญหานี้แล้ว จริงอยู่คนเราไม่ได้ทำงานตรงกับสายที่ร่ำเรียนมากันทั้งหมดหรอกก็ต้องมาเริ่มเรียนรู้กันใหม่ในที่ทำงานใหม่ กับสภาพแวดล้อมใหม่ภายใต้ระบบและความกดดันใหม่กันทั้งนั้น เพียงแต่ผมรู้สึกว่าที่นี่มันไม่ใช้ที่ที่ผมควรใช้ชีวิตอยู่ เงินเดือนเท่าที่ได้และต้องใช้จ่ายอย่างอดออมเพราะมันมีรายจ่ายที่ไม่น่าจะจ่ายมากขนาดนั้น สมมติว่า เราต้องใช้เงินวันละ 100 บาท เป็นค่าอาหาร 3 มือๆละ 30 บาท ที่เหลือ 10 บาท อาจจ่ายเป็นขนมหรือเปลี่ยนเป็นเงินออม เดือนหนึ่งก็ 3,100 บาท ค่าเช่าหอพักภายในเดือนละ 2,000 บาท แล้วไอ้ค่าตัดชุดสูท เครื่องแต่กายแบบอาจารย์หรือหนุ่มออฟฟิตอีกหลายเงินทีเดียว หรือว่านี่คือการลงทุนเพื่องานที่เราจะทำ ค่าน้ำมันรถที่แพงถึงลิตรละ 18.59 บาทละ เดือนหนึ่งก็เติมไม่ต่ำกว่า 2,500 บาท นี่ก็ 7,600 บาท แล้ว ค่าโทรศัพท์มือถือ ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าภาษียังไม่ได้เลย คิดๆแล้วนี่ก็เป็นการหาข้อมูลที่ดีอย่างหนึ่งจะได้คิดมากขึ้นมาอีกนิดว่าค่าใช้จ่ายในชีวิตจริงๆ ที่เราต้องออกไปดิ้นรนนั่นมันมากมายเท่าใด และได้แก่อะไรบ้าง สิ่งที่จะได้มากับสิ่งที่ต้องสูญเสียไปมันคุ้มค่าทางเศรษฐกิจไหม
ทั้งที่เรารู้ว่าที่นี่ต้องการเรามาร่วมงานขนาดว่าพรุ่งนี้เริ่มงานได้เลย ส่วนเรื่องที่เขียนแผนการสอนไม่เป็นก็สามารถมาเรียนรู้ได้ และยังมีหน้าที่อีกหลายอย่างที่อยากจะให้รับผิดชอบ เช่น ดูแลศูนย์คอมพิวเตอร์ เป็นครูฝ่ายปกครอง ดูแลนักเรียนที่มาอยู่ประจำที่หอพัก ดูแล Shop ช่างอุตสาหกรรม ดูแลงานประมาณนี้เพื่อแลกกับค่าแรงที่มันได้แค่เดือนชนเดือน ไม่มีเหลือเก็บ แต่ความสุขอาจจะอยู่ที่รอยยิ้ม เสียงหัวเราะของนักเรียนที่ประสบผลสำเร็จจากการศึกษาเล่าเรียนก็ได้ เด็กที่นั่นก็ลูกเกษตรกรเหมือนกับที่อื่นๆที่ต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีทัดเทียมกับเยาวชนที่อื่นๆเหมือนกัน เมื่อสถานศึกษามีบุคลากรครูอาจารย์ที่มีคุณภาพ ก็จะส่งผลให้นักเรียนมีคุณภาพทางการศึกษาเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่แรงจูงใจที่จะให้คนคุณภาพเดินทางออกมาเป็นครูในดินแดนที่ห่างไกลมันมีน้อยเหลือเกิน ก็อย่างที่กรรมการสอบบอกให้ฟังว่า คุณต้องเอาใจมาเกินร้อยเพราะที่นี่มันเป็นอย่างนี้ ระบบระเบียบมันตั้งไว้เป็นมาตรฐานอย่างนี้ ถ้ารับได้ก็อยู่ร่วมงานกันแต่ถ้าไม่ได้ก็ต้องหลีกทางให้คนที่พร้อมกว่าคุณมาทำหน้าที่นี้แทนก็แค่นั้นเอง ผมก็พูดอย่างเดียวกันนี้แลกเปลี่ยนกับบรรดากรรมการคุมสอบด้วยเหมือนกัน รู้หมดทุกอย่างแต่เสือกทำไม่ได้หรือไม่ก็ไม่อยากจะทำตาม ว่าคนอื่นมีอัตตาสูงตัวเองก็มีอัตตาสูงเหมือนกัน ทั้งที่สัมภาษณ์งานผ่านแล้วทั้งที่อยู่ซอยใกล้บ้านก็รู้สึกขัดๆภายในพิกลไม่อยากทำ ที่สาธิตกาญจน์ก็เหมือนกัน หรือเพราะเราไม่ได้อยากที่จะทำงานที่ตัวเองลองไปสมัครนั้นจริงๆ แค่อยากรู้อยากเห็นว่าที่นั่นมีสภาพเป็นอย่างไร แต่ตนเองไม่อยากจะไปมีชีวิตอยู่ในสถานที่แบบนั้น อาจเป็นบทสรุปก็ได้ว่าเราเลือกบรรยากาศในการทำงาน อยากมีคุณภาพชีวิตในการทำงานที่ดี และอย่างที่มันเป็นตัวตนในแบบเราหรือที่เราคุ้นชิน ใช่..คนเราไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าไม่ก้าวเดินออกมาก็จะไม่รู้ว่าตนเองต้องการอะไร ถึงจะมีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โต แต่สภาพแวดล้อมในการทำงานแย่ก็แค่นั้น คับที่อยู่ได้แต่คับใจอยู่ยาก หรือว่าจิตใจผมมันคับแคบไปแล้ว จึงไม่มีที่ไหนเหมาะให้ผมไปยืนอยู่ในสังคมใบนี้ ยังไม่ได้ลองทำงานที่สมัครได้เลยก็ยอมแพ้เสียแล้ว จะไปทำอะไรที่ไหนให้ใครเขาได้ ทั้งที่เรารู้ความสามารถของตนเองที่มีก็แต่ก็ป่วยการเพราะไม่อยากแสดงออก ไม่อยากคิด ไม่อยากที่จะทำอะไรทั้งนั้น มันก็เลยส่งผลให้แพ้ชีวิตตั้งแต่ยังไม่ได้ลงมือทำเลย ผมเหลือเวลาไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ในการตัดสินใจว่าจะปล่อยผ่านโอกาสที่สู้อุตสาห์ออกไปหามาเพราะเรื่องเครื่องแต่งกาย หรือความไม่มั่นใจ หรือจะสู้กับความกลัวความไม่กล้าเผชิญความจริงว่าเราถ้าลงมือทำก็ทำได้เมื่อเราเอาจริงซะอย่าง ก็ไม่ได้หวังรายได้มากมายอะไรเอาแค่พอเลี้ยงชีพอยู่ไปวันๆให้มันมีอะไรทำฆ่าเวลาไม่ใช่หรือ คิด ใคร่ครวญ พินิจ พิจารณาดูดีๆ ว่าชีวิตนี้ต่อไปจะเดินไปสายทางใด เรามันเป็นอะไรกันแน่ หรือดีแต่คิดแต่พูดพอจะลงมือทำให้เห็นเป็นรูปธรรมก็ทำไม่ได้ไม่สำเร็จ มีประสบการณ์เก่าแต่หนหลังหลายอย่างที่บ่งบอกถึงความไม่เอาไหนที่ค้างคานั้น ก็ดูจากการจัดบ้านซิที่คาราคาซังอยู่ เว็บบ้านบอ. หรือเว็บรถตู้ ก็ยังไม่เกิดเป็นรูปเป็นร่าง ฝันที่จะเอาไปขายให้พี่เล็กพี่จาที่สำนักบัณฑิตก็ยังไม่เกิด รถตู้ก็ยังไม่ซ่อมแซมภายในให้มันดูสภาพดีนี่เรามัวแต่ทำอะไรอยู่ ออกไขว่คว้าหางานแต่ทำปัจจุบันยังไม่ดูดีเลย เดี๋ยวชีวิตก็วุ่นวายหรอก แต่ละวันที่ผมใช้ไปมันเริ่มสร้างภาระปัญหาให้ผมต้องมาตามแก้แน่ๆ อย่างน้อยก็ที่สมัครงานไว้สองแห่ง ยังไม่นับรวมที่ที่ยังไม่เรียกตัวไปสัมภาษณ์ หรือที่สัมภาษณ์แล้วเรียกตัวไปทำงาน อนาคตวันพรุ่งนี้ผมไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรแต่วันนี้ผมสร้างเหตุของวันพรุ่งนี้ไว้ให้ต้องสะสางตามแก้ซะแล้ว ต้องนั่งสมาธินิ่งๆ เพื่อพิจารณาว่าจะจัดการอย่างไรกับชีวิต



Create Date : 30 กรกฎาคม 2548
Last Update : 21 สิงหาคม 2548 10:45:12 น.
Counter : 850 Pageviews.

1 comments
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๗ มาช้ายังดีกว่าไม่มา
(2 ม.ค. 2567 07:30:30 น.)
The Last Thing on My Mind - Tom Paxton ... ความหมาย tuk-tuk@korat
(1 ม.ค. 2567 14:50:49 น.)
ทนายอ้วนจัดดอกไม้ - จัดดอกไม้ง่ายๆ – แจกันสวัสดีปีใหม่ 2567 - กุหลาบพวงสีชมพู - ขาว ทนายอ้วน
(2 ม.ค. 2567 15:16:32 น.)
สวัสดีปีใหม่ Rain_sk
(1 ม.ค. 2567 21:38:33 น.)
  
เป็นกำลังใจให้ทุกอย่างสำเร็จลุล่วงครับ หรือว่าผ่านมาแล้วเพราะลงเป็นวันที่ 24 มีนาคม

ผมก็กำลังสะสางเหมือนกัน
โดย: noom_no1 วันที่: 31 กรกฎาคม 2548 เวลา:0:27:25 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Naigod.BlogGang.com

naigod
Location :
นนทบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด