ระบอบทักษิณฉุดให้เศรษฐกิจดีขึ้น หรือจะเร่งไปตกเหว?
โดย วิทยากร เชียงกูล 2 มีนาคม 2549 19:03 น.
ประชาชนไทยกำลังถูกสถานการณ์แบ่งเป็น 2 ขั้ว ระหว่างผู้ที่เรียกร้องให้คุณทักษิณลาออก และผู้ที่ชอบ/เชียร์คุณทักษิณ ถ้าสังคมไทยมีใจกว้าง และอดกลั้นพอที่จะอภิปรายโต้แย้งกันด้วยเหตุผล น่าจะเป็นโอกาสดีที่จะทำให้ประชาชนสนใจ และเรียนรู้เรื่องเศรษฐกิจการเมืองมากขึ้น แต่ความเป็นจริงทางการเมืองคือ คนไทยส่วนใหญ่ยังคิดจากผลประโยชน์ส่วนตัวระยะสั้น และใช้อารมณ์ความรู้สึกมากกว่าการคิดวิเคราะห์อย่างวิพากษ์วิจารณ์ สภาพเช่นนี้มีแนวโน้มจะนำไปสู่การปะทะกันของกลุ่มคนที่เชื่อแบบ 2 ขั้วสุดโต่ง มากกว่าการที่ประชาชนจะได้เรียนรู้และฉลาดขึ้น

ประเทศไทยผ่านการปะทะกันอย่างรุนแรงของกลุ่มที่เชื่อแบบ 2 ขั้ว สุดโต่งมาหลายครั้งแล้ว เพราะ ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับการศึกษา และข้อมูลข่าวสารที่มีคุณภาพต่ำ การศึกษามีแต่สอนให้ท่องจำ ไม่สอนให้คนคิดวิเคราะห์เป็น ข้อมูลข่าวสารจากสื่อที่ครอบงำโดยรัฐบาลนี้ซึ่งเก่งในเรื่องการสร้างภาพมากได้แต่โฆษณาให้คนเชื่อตามด้านเดียวว่า รัฐบาลนี้เก่งทุกอย่าง ดีทุกอย่าง แม้แต่กรณีซุกหุ้น และถ่ายเทหุ้น 7.3 หมื่นล้านบาท เพื่อเลี่ยงภาษี 2 หมื่นล้านบาท ก็จะมีคำอธิบายว่าเป็นเรื่องที่ใครๆ เขาก็ทำกัน โดยไม่ผิดกฎหมาย รวมทั้งการให้ข้อมูลข่าวสารที่เร้าอารมณ์มากกว่าเหตุผลว่า นักการเมืองก็โกงด้วยกันทั้งนั้น แต่คนที่ทำงานเก่ง ย่อมดีกว่าคนที่ทำงานไม่เป็น

ประชาชนควรได้รับรู้ข้อมูลข่าวสาร 2 ด้านว่า นโยบายการบริหารแบบทักษิณในรอบ 5 ปีที่ว่าทำให้เศรษฐกิจฟื้นฟูได้ ประชาชนได้กู้ยืมมีเงินจับจ่ายใช้สอยกันคล่องมือในระยะสั้นๆ นั้น มีข้อเสียอะไรบ้าง ทั้งในระยะกลางและระยะยาว เพราะถ้ามองแต่ข้อดีระยะสั้นด้านเดียว ก็จะหลงทางแน่ๆ ระบอบทักษิณ (หรือนโยบายการบริหารแบบทักษิณ) ไม่ใช่มีความผิดพลาดเฉพาะแค่เรื่องการซุกหุ้น เลี่ยงภาษี ขาดคุณธรรม จริยธรรม ในฐานะผู้นำเท่านั้น

แต่นโยบายการบริหารประเทศแบบทักษิณที่เน้นการเปิดเสรี เอื้อประโยชน์การลงทุน และการค้าให้กับทุนข้ามชาติ และทุนขนาดใหญ่อย่างกอบโกยล้างผลาญนั้น กำลังทำให้ประเทศเสียหายอย่างน้อย 7 ประเด็น คือ

1. การที่ตระกูลชินวัตรปกปิด โยกย้ายถ่ายเท และขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป 73,000 ล้านบาท โดยเลี่ยงการเสียภาษีที่อาจต้องจ่ายถึง 30% ถ้าเป็นกรณีที่บริษัทหนึ่ง ขายให้อีกบริษัทหนึ่งส่อเจตนาการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่คำนึงถึงหลักการว่าผู้ได้ประโยชน์จากแผ่นดินควรเสียภาษีให้แผ่นดินส่วนรวม ไม่คำนึงถึงจริยธรรม และความรับผิดชอบในฐานะผู้นำประเทศ แม้แต่นักธุรกิจทั่วไปก็ควรรับผิดชอบเรื่องการเสียภาษีในฐานะพลเมืองดี ยิ่งเป็น ผู้นำประเทศ ยิ่งควรมีมาตรฐานทางจริยธรรมสูงกว่านักธุรกิจทั่วไป ไม่ใช่อ้างว่าใครๆ เขาก็ทำกัน

2. การขายกิจการทั้งบริการดาวเทียม และสถานีโทรทัศน์ให้กับต่างชาติทั้งๆ ที่เป็นกิจการเกี่ยวกับสาธารณสมบัติที่สงวนไว้สำหรับคนไทย เพราะเกี่ยวพันกับทั้งความมั่นคง และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจสังคม วัฒนธรรมของประเทศ เป็นการมุ่งหากำไรส่วนตัว จนลืมคิดประเด็นที่ว่า นี่เป็น การทำลายสาธารณสมบัติ และผลประโยชน์ของชาติ ซึ่งผู้นำไม่ควรทำเช่นนั้น แม้แต่นักธุรกิจที่รักชาติโดยทั่วไปก็ไม่ควรทำ

3. หาผลประโยชน์ทับซ้อนจากการใช้อำนาจหน้าที่การเป็นเจ้าหน้าที่ไปเอื้ออำนวยผลประโยชน์ส่วนตัวของตนทุกวิถีทาง เช่น ลดค่าใช้จ่ายให้บริษัทเอไอเอส ที่รับสัมปทานคลื่นโทรศัพท์ด้วยการออกกฎหมายให้เปลี่ยนจากการจ่ายสัมปทานตามส่วนแบ่งกำไรเป็นการจ่ายภาษีสรรพสามิต (ซึ่งเป็นการกีดกันคู่แข่งรายใหม่ไปในตัว) ลดภาษีอุปกรณ์ดาวเทียมให้ชินแซทเทลไลท์ ลดค่าสัมปทาน และปรับผังรายการไอทีวี บีบการบินไทยให้ขาดทุนเพื่อเปิดทางให้สายการบินแอร์เอเชียทำกำไรเพิ่มขึ้น ให้สินเชื่อแก่รัฐบาลพม่าเพื่อให้มาซื้อบริการของชินแซทเทลไลท์ รีบเปิดเจรจาการค้าเสรีกับบางประเทศ เพื่อผลประโยชน์ของธุรกิจโทรคมนาคม รถยนต์ และกิจการอื่นๆ ของบริษัทตนเอง และพรรคพวก ทำให้บริษัทของตนเอง และพรรคพวกมีทั้งผลกำไร และทรัพย์สินจากราคาหุ้นเพิ่มหลายเท่าในรอบ 5 ปีที่ได้เป็นรัฐบาล

4. ใช้อำนาจหน้าที่การเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหาผลประโยชน์จากตลาดหลักทรัพย์ การเงิน การธนาคาร การซื้อขายที่ดิน การก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ ด้วยวิธีการใช้อภิสิทธิ์รู้ข้อมูลภายใน ฉ้อฉล หาคอมมิชชัน และกำไรเกินควร การหาผลประโยชน์ทับซ้อนด้วยวิธีการต่างๆแบบใช้เล่ห์เหลี่ยมสูง แม้จะไม่ผิดกฎหมาย หรือเลี่ยงกฎหมาย แต่เป็นผลเสียหายทั้งในแง่ความไม่เป็นธรรม และการไม่ส่งเสริมการพัฒนาประสิทธิภาพ และการแข่งขันที่เป็นธรรม ทำให้เกิดตัวอย่างที่เลวต่อภาคธุรกิจเอกชน ดึงให้นักธุรกิจต้องวิ่งเข้าหาอำนาจรัฐ และกลั่นแกล้งธุรกิจที่ไม่ยอมสยบให้ หรือแบ่งผลประโยชน์ให้น้อย ก่อให้เกิดความปั่นป่วน ความไม่มีหลักเกณฑ์ที่โปร่งใส การขาดความน่าเชื่อถือ เพราะไม่มีธรรมาภิบาลในการบริหารประเทศ

5. ดำเนินนโยบายโครงการประชานิยมแบบสร้างภาพ หาเสียง และหมุนเงินให้ไหลกลับมาให้ตัวเอง และพวก ทั้งที่เป็นงบประมาณจากภาษีของประชาชน และการกู้ยืม และออกพันธบัตรเพื่อเอาเงินอนาคตมาใช้ แต่วิธีการจ่าย และการประชาสัมพันธ์ทำให้ประชาชนรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณคุณทักษิณ และพรรคไทยรักไทย โครงการส่วนใหญ่ เป็นโครงการกระตุ้นการใช้จ่ายเงินเพื่อการบริโภค และการลงทุนแบบเร่งผลิตสินค้ามาขาย เพื่อให้เงินหมุนเวียนกลับมาสู่ธุรกิจค้าขายของตน และพรรคพวก (เช่น โทรศัพท์มือถือ รถยนต์ บริษัทเงินทุนปล่อยสินเชื่อ ฯลฯ) และเพิ่มการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมแบบฉาบฉวย ไม่ได้มุ่งพัฒนาคน และชุมชน ให้มีความรู้ความสามารถด้านการจัดการ มีการรวมกลุ่ม เพิ่มความเข้มแข็งที่จะมีอำนาจต่อรองกับระบบพ่อค้าผูกขาดได้อย่างแท้จริง ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ได้แต่บริโภค และเป็นหนี้เพิ่มขึ้นในอัตราสูงกว่าการเพิ่มของรายได้ที่แท้จริง ทั้งยังติดนิสัยพึ่งพาอยู่ภายใต้อุปถัมภ์นักการเมือง และรัฐบาล โดยไม่ตระหนักว่า งบประมาณโครงการเหล่านั้นมาจากภาษี และการถลุงสาธารณสมบัติของประชาชนเอง

6. การอ้างว่ารัฐบาลดำเนินนโยบายแบบ 2 ทางไปพร้อมกัน คือ ทั้งส่งเสริมการลงทุน และการค้ากับต่างประเทศ และการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศนั้น เป็นความจริงไม่ถึงครึ่งหนึ่ง เพราะรัฐบาลใช้งบประมาณ และกำลังคนส่วนใหญ่ทุ่มเทด้านส่งเสริมการลงทุน และการค้ากับต่างประเทศ ทำให้ต่างชาติ ทั้งสิงคโปร์และประเทศอื่นเข้ามายึดครองกิจการในไทยร่วมกับนายทุนใหญ่ กลุ่มรัฐบาลเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 5 ปี การค้าระหว่างประเทศเริ่มกลับมาขาดดุลการค้า เพราะนโยบายและโครงสร้างการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมแบบประกอบรูป คือเงื่อนไขที่ยิ่งทำให้ส่งออกมาก ก็ต้องสั่งเข้าเครื่องจักร น้ำมัน วัตถุดิบมาก และยิ่งการลงทุนเป็นของต่างชาติมากขึ้น พวกเขาก็จะสั่งซื้อจากบริษัทเครือข่ายของเขามากขึ้น ดังนั้น เงินที่ไหลเข้ามาจึงเป็นของชั่วคราว แต่ต่อไปเงินจะไหลออกนอกประเทศมากขึ้น ขณะที่ทรัพยากรในประเทศถูกทำลาย แรงงานถูกเอาเปรียบทั้งรัฐบาลภาคธุรกิจ และประชาชนเป็นหนี้เพิ่มขึ้น ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนมากขึ้น

7. นโยบายการบริหารประเทศทั้งหมดของรัฐบาล เป็นการพัฒนาที่เน้นความเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลชนแบบกอบโกย (ผลประโยชน์ส่วนตัว) และล้างผลาญ (ทรัพยากรส่วนรวม) ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับการพัฒนาแบบเศรษฐกิจพอเพียงโดยสิ้นเชิง นโยบายที่มุ่งแปลงทุกอย่างเป็นสินค้า ทำลายทรัพยากรส่วนรวมอย่างมหาศาล รวมทั้งการขายทรัพย์สมบัติสาธารณะ เช่น รัฐวิสาหกิจให้เป็นของเอกชนทั้งต่างชาติและนายทุนใหญ่ นโยบายที่เน้นแต่เรื่องการค้า การลงทุน การบริโภค และใช้สื่อโหมเรื่องนี้ตลอดเวลา ทำให้ประชาชน และโดยเฉพาะเยาวชนถูกครอบงำเรื่องการบริโภค การเป็นหนี้ การแสวงหาเงินทองทุกวิถีทาง จนเกิดปัญหาสังคม และความเสื่อมเสียทางด้านจริยธรรม ศีลธรรมไปทั่วประเทศ เป็นความเสียหายร้ายแรงทั้งด้านทรัพยากร และจิตใจของผู้คน ซึ่งไม่อาจแก้ไขแบบแยกส่วน เช่น เพิ่มงบประมาณให้พระ หรือโรงเรียนอบรมศีลธรรมเพิ่มขึ้นได้ เพราะตัวนโยบายการบริหารแบบทักษิณ คือตัวการสร้างปัญหาความเสื่อมโทรมทางศีลธรรมให้เยาวชน และประชาชนทั้งประเทศ

ความเสียหายอย่างน้อย 7 ข้อที่กล่าวมาข้างต้นเป็นความเสียหายที่ร้ายแรงกว่าเรื่องการซุกหุ้น และการเลี่ยงภาษี ประชาชนที่ตื่นตัว รู้ข้อมูลข่าวสารดีต้องช่วยกันศึกษา และอธิบายให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่า คนที่เชื่อว่า คุณทักษิณทำให้เศรษฐกิจดี นั้นเป็นเพียงการเร่งรัดถลุงทรัพย์สินของชาติเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้โตระยะสั้น และกลุ่มนายทุนที่เป็นพวกรัฐบาลได้กำไรสูงกว่าประชาชนหลายร้อยเท่า การยุบสภาเป็นเพียงยุทธวิธีที่จะฟอกตัวคุณทักษิณเท่านั้น ถ้าประเทศไทยยังไม่รู้จักเปลี่ยนนโยบายการบริหารแบบทักษิณเป็นนโยบายทางเลือกอื่น เช่น เศรษฐกิจพอเพียง ระบบสหกรณ์ ทุนนิยมที่มีการแข่งขันเป็นธรรม และรัฐสวัสดิการแล้ว ประเทศไทยมีโอกาสเกิดวิกฤตรอบ 2 ได้ในไม่ช้า และเศรษฐกิจไทยจะตกต่ำไปเป็นประเทศเมืองขึ้นสมัยใหม่ที่มีความขัดแย้งและปัญหาสังคมเลวร้ายกว่าที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้อีกหลายเท่า

วิทยากร เชียงกูล
วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต

Ref :: //www.manager.co.th/lite/ViewNews.aspx?NewsID=9490000029149



Create Date : 03 มีนาคม 2549
Last Update : 3 มีนาคม 2549 8:56:42 น.
Counter : 756 Pageviews.

3 comments
BookWalker Taiwan ประกาศอันดับ BL e-Book ขายดี ประจำปี 2024 iamZEON
(12 ม.ค. 2568 18:59:46 น.)
Fukuoka Dream Destination : Day 14 รถไฟ รถบัส เฟอร์รี่ ดั้นด้นจนพบเธอ "ไอโนะชิมะ" mariabamboo
(14 ม.ค. 2568 14:33:16 น.)
3 M E A L S_ A D A Y ป้ายเหลืองสไตล์ nonnoiGiwGiw
(8 ม.ค. 2568 15:18:41 น.)
ทนายอ้วนจัดดอกไม้ - จัดดอกไม้ง่ายๆ – แจกันแวนด้าหลายสี ทนายอ้วน
(6 ม.ค. 2568 15:58:07 น.)
  
“สรยุทธ” หัวอะไร?
โดย สุรวิชช์ วีรวรรณ 2 มีนาคม 2549 19:29 น.
ปกติผมเป็นคนตื่นเช้า แต่โชคร้ายเช้าวันพฤหัสบดีที่ผ่านมากว่าจะลุกจากเตียงก็เกือบจะแปดโมงเช้าเข้าไปแล้ว จึงไม่ได้เปิดดูรายการเล่าข่าวของ “นักธุรกิจข่าว” ที่ชื่อ สรยุทธ สุทัศนะจินดา

มาถึงที่ทำงานแล้วมีคนมาบ่นถึงพฤติกรรมของสรยุทธให้ฟังเต็มสองรูหู มีคนโทรศัพท์เข้ามาบ่นว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนที่เรียกตัวเองว่า สื่อมวลชน วันนี้ทีวีทุกช่องแทบจะไม่สามารถพึ่งพาได้แล้ว บรรดานักเล่าข่าวยังทำตัวเป็นประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลไปเสียหมด

เสียงจากปลายสายรายหนึ่งบอกว่า ให้คอยดูการรายงานข่าวของทีวีแต่ละช่องในการนัดปราศรัยใหญ่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ท้องสนามหลวง ในศุกร์ที่ 3 มี.ค.นี้ให้ดี พนันกันได้เลยว่า ทีวีแต่ละช่องจะมีรายงานกันถี่ยิบ ต่างกับการรายงานข่าวการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่มีรายงานข่าวกะปริบกะปรอย ที่ประชาชนที่ไม่ได้ติดตามข่าวจากหนังสือพิมพ์หรือ เอเอสทีวีแทบจะไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นในบ้านเมือง

ข้ออ้างในการเสนอข่าวของฝ่ายพันธมิตรแบบกะปริบกะปรอยของสื่อมวลชนส่วนหนึ่ง คือ ต้องวางตัวเป็นกลาง ซึ่งผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ความเป็นกลางระหว่างความดีกับความชั่วอยู่ตรงไหน ถ้าเราเห็นบ้านเพื่อนบ้านถูกขโมยขึ้นบ้าน เราควรต้องวางตัวเป็นกลางใช่หรือไม่

ไม่ทันสิ้นเสียงโทรศัพท์ เสียงบ่นของเพื่อนฝูงผมก็ได้รับอีเมลจากเพื่อนอีกคนซึ่งหากเอ่ยชื่อแล้วก็ต้องร้องอ๋อกันทั้งประเทศ เพื่อนคนนี้ถ้าไม่เหลืออดจริงๆ ก็คงไม่ออกมาร้องแรกแหกกระเฌอ แต่หลังจากดูรายการของสรยุทธเมื่อเช้าวันพฤหัสฯ แล้วเพื่อนคนนี้ก็ระบายมาทางโทรศัพท์ที่ร่อนตามหลังอีเมลมาว่า เขาทนไม่ได้จริงๆ ครับ

อีเมลที่ผมได้รับจั่วหัวว่า

“สรยวย ......”

ลองอ่านความเห็นในอีเมลของเพื่อนผมคนนี้ดูนะครับ

“ระยะนี้ผมดูทีวีรายการข่าวช่วงเช้าโทรทัศน์สีช่องสามทีไร เป็นต้องได้วิ่งกลับเข้าห้องน้ำใหม่ ทั้งๆ ที่อาบน้ำแปรงฟันเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้เข้าไปทำอะไรซ้ำๆ ซากๆ แต่กลับเข้าไปอ้วกแตกอ้วกแตน เนื่องจากเสียดายบุคลากรสายข่าวที่เคยเป็นที่ชื่นชอบ

คุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา เป็นตัวอย่างที่น่าชื่นชมของผู้ที่เคยเป็นนักข่าว แล้วพัฒนาตัวเองขึ้นสู่ระดับนักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่ที่แปลงข่าวเป็นทุนได้อย่างเยี่ยมยอด สอดคล้องกับระบบการเมืองไทยปัจจุบันในยุคทักษิโณมิกส์อย่างยิ่ง

คุณสรยุทธนับว่าเป็นนักธุรกิจการข่าวที่น่ายกย่อง ในหลายๆ ด้าน ล่าสุดได้มีการพัฒนาไปอีกสเต็ป จากนักเล่าข่าว ไปสู่นักอ่านข่าวกึ่งนักประชาสัมพันธ์ที่สนับสนุนการบริหารงานของรัฐบาล เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติภายใต้การบริหารงานของนายกฯทักษิณ ชินวัตร

เช้าวันนี้ เช้าวันรับสมัครรับเลือกตั้งวันแรก 2 มีนาคม ผมเปิดทีวีดูรายการเรื่องเล่าเช้านี้ เผลอเดินไปเดินมาโดยไม่ได้จับจ้องหน้าจอ ได้ยินเสียงจากทีวี แปลบแรกได้ยินเสียงแว่ว เข้าใจผิดว่ามีการสัมภาษณ์นายกรัฐมนตรี มีการอธิบายรายละเอียดต่างๆ และเจตนารมณ์ในการคงอยู่ของนายกฯ โดยไม่สนใจเสียงขับไล่ประชาชนนับแสนให้ลาออกจากตำแหน่ง โดยมีการระบุแผนการที่จะปราศรัย ร่ายยาวหลักการและเหตุผล ตลอดจนแผนการต่างๆ รวมถึงยุทธศาสตร์ในการมุ่งปฏิรูปการเมือง

อ้าว หันกลับไปดูจออีกที ไม่ใช่นายกฯทักษิณนี่นา กลายเป็นสุดหล่อสรยุทธ สุทัศนะจินดา ไปเสียนี่”

++++++


ยังมีอีกยืดยาวครับ แต่หลังอ่านอีเมลของเพื่อนแล้ว ผมก็ได้โทรศัพท์กลับไปปลอบใจเพื่อนคนนี้ว่าให้ทำใจเสียเถอะ เพราะยุคนี้เป็นยุคที่มือใครยาวสาวได้สาวเอา มีโอกาสก็กอบโกยกันไว้ก่อน จะให้นั่งขายชาขายกาแฟเก็บน้อยกินน้อยอย่างอาชีพที่เพื่อนผมทำอยู่คงจะรวยช้า ดีไม่ดีจะถูกสรรพากรมานั่งนับถ้วยกาแฟให้เจ็บกระดองใจเสียอีก

ผมบอกเพื่อนไปว่า คืนวันพุธ ผมนั่งดูรายการที่สรยุทธ เชิญคุณโภคิน พลกุล มาออกทีวี ผมก็ได้แต่นอนเอาส้นตีนชี้จอโทรทัศน์อยู่ที่บ้านเหมือนกัน

เส้นทางของสรยุทธนั้นเติบโตมาจากนักข่าวฝึกหัด ที่ต้นสังกัดเห็นหน่วยก้านรับเข้ามาทำงานข่าวทันทีหลังเรียนจบจากนั้นก็เติบโตเรื่อยมาเป็น “นักเล่าข่าว” ก่อนจะแปลงโฉมมาเป็น “นักธุรกิจข่าว” (แปลงข่าวเป็นทุน) อย่างที่เราเห็นอยู่ในหน้าจอโทรทัศน์ในวันนี้

นักข่าวต้องการจิตวิญญาณนักข่าวสูง ลงทุนลงแรงมากในการหาข่าวแต่ละชิ้น ในขณะที่ผลตอบแทนน้อย ถ้าต้นสังกัดดีก็จะเป็นเบ้าหลอมให้นักข่าวคนนั้นกลายเป็นผลิตผลที่ดีของสังคมด้วย

แต่นักเล่าข่าวได้รับค่าตอบแทนสูง ไม่ต้องลงทุนมากในการทำข่าว แต่ตีกินจากคนอื่นที่ทำข่าวมาแล้ว เอาหนังสือพิมพ์มาอ่าน ดังนั้น เรื่องของจิตวิญญาณนั้น บางคนก็มีอยู่ บางคนก็ลืมมันไปเพราะไม่ใช่ปัจจัยที่จำเป็น

นักธุรกิจข่าวเป็นพัฒนาการอีกขั้นของนักเล่าข่าว คือแปลงข่าวเป็นทุนไปเรียบร้อยแล้ว เป็นนายทุนข่าว เจ้าของรายการ และข่าวที่เอามาก็ยังเป็นข่าวของคนอื่น ที่คนอื่นทำมาเสียอีก การหยิบข่าวเอามาอ่านในรายการที่ตัวเองเป็นเจ้าของ นักธุรกิจข่าว ทำข่าวน้อย ใช้ลีลาเยอะหน่อยก็อยู่ได้ การหยิบเอาข่าวมาอ่าน ก็จะอยู่ในยุทธศาสตร์รักษาพื้นที่ที่เป็นองค์ประกอบในการหาเงินของตัวเอง ดังนั้นจิตวิญญาณนักข่าว จึงเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกับการเป็นนักธุรกิจข่าวอย่างภาพมาออกหน้าจอ จะต้องใช้ลีลาที่เนียนๆ อย่าให้ประชาชนคนดูจับได้

---------
ในอีเมลบ่นเรื่องของสรยุทธออกมาอีกมากมาย แต่เหมือนเพื่อนกลัวว่า ผมจะไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงจั่วหัวในอีเมลมาอย่างนั้น ก็เลยมีคำอธิบายให้เสร็จสรรพ ผมก็เลยเอามาเล่าให้ผู้อ่านฟังถึงเหตุผลของเพื่อนผมอีกต่อหนึ่ง

ลองอ่านดูนะครับ

“สรยุทธน่าชื่นชมที่พัฒนาตัวเองสู่ระดับสูงของนักธุรกิจข่าว แต่ในส่วนของจิตวิญญาณนักข่าวถือว่า อ่อนย้วยไปมาก ดังนั้น น่าจะเปลี่ยนชื่อเรียกที่เราคุ้นเคยสมัยเขาเป็นนักข่าว “สรยุทธ” ไปเป็น “สรยวย” และให้ฉายาต่อท้าย เหมือนผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย ว่า “หัวคุด” เหมือนกับเวลาขนคุด หรือเล็บคุด ประมาณว่า วิญญาณการทำข่าวที่อยากจะยืดออกมาสูดอากาศภายนอก ต้องโดนปัจจัยหลายต่อหลายอย่างที่จะรักษาสถานภาพ “นักธุรกิจข่าว” โดนสภาพภายนอกให้ “หัวสมอง” ที่รักในการทำข่าว และจิตวิญญาณของนักข่าว ไม่สามารถงอกเงยเจริญเติบโตออกมา จึง “คุด” อยู่ข้างใน

ดังนั้น คุณสรยุทธ จึงน่าจะเรียกชื่อและฉายาใหม่ว่า “..........”

Ref :: //www.manager.co.th/lite/ViewNews.aspx?NewsID=9490000028769
โดย: naigod วันที่: 3 มีนาคม 2549 เวลา:9:03:30 น.
  
“สรยุทธ” หัวอะไร?
โดย สุรวิชช์ วีรวรรณ 2 มีนาคม 2549 19:29 น.
ปกติผมเป็นคนตื่นเช้า แต่โชคร้ายเช้าวันพฤหัสบดีที่ผ่านมากว่าจะลุกจากเตียงก็เกือบจะแปดโมงเช้าเข้าไปแล้ว จึงไม่ได้เปิดดูรายการเล่าข่าวของ “นักธุรกิจข่าว” ที่ชื่อ สรยุทธ สุทัศนะจินดา

มาถึงที่ทำงานแล้วมีคนมาบ่นถึงพฤติกรรมของสรยุทธให้ฟังเต็มสองรูหู มีคนโทรศัพท์เข้ามาบ่นว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนที่เรียกตัวเองว่า สื่อมวลชน วันนี้ทีวีทุกช่องแทบจะไม่สามารถพึ่งพาได้แล้ว บรรดานักเล่าข่าวยังทำตัวเป็นประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลไปเสียหมด

เสียงจากปลายสายรายหนึ่งบอกว่า ให้คอยดูการรายงานข่าวของทีวีแต่ละช่องในการนัดปราศรัยใหญ่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ท้องสนามหลวง ในศุกร์ที่ 3 มี.ค.นี้ให้ดี พนันกันได้เลยว่า ทีวีแต่ละช่องจะมีรายงานกันถี่ยิบ ต่างกับการรายงานข่าวการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่มีรายงานข่าวกะปริบกะปรอย ที่ประชาชนที่ไม่ได้ติดตามข่าวจากหนังสือพิมพ์หรือ เอเอสทีวีแทบจะไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นในบ้านเมือง

ข้ออ้างในการเสนอข่าวของฝ่ายพันธมิตรแบบกะปริบกะปรอยของสื่อมวลชนส่วนหนึ่ง คือ ต้องวางตัวเป็นกลาง ซึ่งผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ความเป็นกลางระหว่างความดีกับความชั่วอยู่ตรงไหน ถ้าเราเห็นบ้านเพื่อนบ้านถูกขโมยขึ้นบ้าน เราควรต้องวางตัวเป็นกลางใช่หรือไม่

ไม่ทันสิ้นเสียงโทรศัพท์ เสียงบ่นของเพื่อนฝูงผมก็ได้รับอีเมลจากเพื่อนอีกคนซึ่งหากเอ่ยชื่อแล้วก็ต้องร้องอ๋อกันทั้งประเทศ เพื่อนคนนี้ถ้าไม่เหลืออดจริงๆ ก็คงไม่ออกมาร้องแรกแหกกระเฌอ แต่หลังจากดูรายการของสรยุทธเมื่อเช้าวันพฤหัสฯ แล้วเพื่อนคนนี้ก็ระบายมาทางโทรศัพท์ที่ร่อนตามหลังอีเมลมาว่า เขาทนไม่ได้จริงๆ ครับ

อีเมลที่ผมได้รับจั่วหัวว่า

“สรยวย ......”

ลองอ่านความเห็นในอีเมลของเพื่อนผมคนนี้ดูนะครับ

“ระยะนี้ผมดูทีวีรายการข่าวช่วงเช้าโทรทัศน์สีช่องสามทีไร เป็นต้องได้วิ่งกลับเข้าห้องน้ำใหม่ ทั้งๆ ที่อาบน้ำแปรงฟันเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้เข้าไปทำอะไรซ้ำๆ ซากๆ แต่กลับเข้าไปอ้วกแตกอ้วกแตน เนื่องจากเสียดายบุคลากรสายข่าวที่เคยเป็นที่ชื่นชอบ

คุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา เป็นตัวอย่างที่น่าชื่นชมของผู้ที่เคยเป็นนักข่าว แล้วพัฒนาตัวเองขึ้นสู่ระดับนักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่ที่แปลงข่าวเป็นทุนได้อย่างเยี่ยมยอด สอดคล้องกับระบบการเมืองไทยปัจจุบันในยุคทักษิโณมิกส์อย่างยิ่ง

คุณสรยุทธนับว่าเป็นนักธุรกิจการข่าวที่น่ายกย่อง ในหลายๆ ด้าน ล่าสุดได้มีการพัฒนาไปอีกสเต็ป จากนักเล่าข่าว ไปสู่นักอ่านข่าวกึ่งนักประชาสัมพันธ์ที่สนับสนุนการบริหารงานของรัฐบาล เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติภายใต้การบริหารงานของนายกฯทักษิณ ชินวัตร

เช้าวันนี้ เช้าวันรับสมัครรับเลือกตั้งวันแรก 2 มีนาคม ผมเปิดทีวีดูรายการเรื่องเล่าเช้านี้ เผลอเดินไปเดินมาโดยไม่ได้จับจ้องหน้าจอ ได้ยินเสียงจากทีวี แปลบแรกได้ยินเสียงแว่ว เข้าใจผิดว่ามีการสัมภาษณ์นายกรัฐมนตรี มีการอธิบายรายละเอียดต่างๆ และเจตนารมณ์ในการคงอยู่ของนายกฯ โดยไม่สนใจเสียงขับไล่ประชาชนนับแสนให้ลาออกจากตำแหน่ง โดยมีการระบุแผนการที่จะปราศรัย ร่ายยาวหลักการและเหตุผล ตลอดจนแผนการต่างๆ รวมถึงยุทธศาสตร์ในการมุ่งปฏิรูปการเมือง

อ้าว หันกลับไปดูจออีกที ไม่ใช่นายกฯทักษิณนี่นา กลายเป็นสุดหล่อสรยุทธ สุทัศนะจินดา ไปเสียนี่”

++++++


ยังมีอีกยืดยาวครับ แต่หลังอ่านอีเมลของเพื่อนแล้ว ผมก็ได้โทรศัพท์กลับไปปลอบใจเพื่อนคนนี้ว่าให้ทำใจเสียเถอะ เพราะยุคนี้เป็นยุคที่มือใครยาวสาวได้สาวเอา มีโอกาสก็กอบโกยกันไว้ก่อน จะให้นั่งขายชาขายกาแฟเก็บน้อยกินน้อยอย่างอาชีพที่เพื่อนผมทำอยู่คงจะรวยช้า ดีไม่ดีจะถูกสรรพากรมานั่งนับถ้วยกาแฟให้เจ็บกระดองใจเสียอีก

ผมบอกเพื่อนไปว่า คืนวันพุธ ผมนั่งดูรายการที่สรยุทธ เชิญคุณโภคิน พลกุล มาออกทีวี ผมก็ได้แต่นอนเอาส้นตีนชี้จอโทรทัศน์อยู่ที่บ้านเหมือนกัน

เส้นทางของสรยุทธนั้นเติบโตมาจากนักข่าวฝึกหัด ที่ต้นสังกัดเห็นหน่วยก้านรับเข้ามาทำงานข่าวทันทีหลังเรียนจบจากนั้นก็เติบโตเรื่อยมาเป็น “นักเล่าข่าว” ก่อนจะแปลงโฉมมาเป็น “นักธุรกิจข่าว” (แปลงข่าวเป็นทุน) อย่างที่เราเห็นอยู่ในหน้าจอโทรทัศน์ในวันนี้

นักข่าวต้องการจิตวิญญาณนักข่าวสูง ลงทุนลงแรงมากในการหาข่าวแต่ละชิ้น ในขณะที่ผลตอบแทนน้อย ถ้าต้นสังกัดดีก็จะเป็นเบ้าหลอมให้นักข่าวคนนั้นกลายเป็นผลิตผลที่ดีของสังคมด้วย

แต่นักเล่าข่าวได้รับค่าตอบแทนสูง ไม่ต้องลงทุนมากในการทำข่าว แต่ตีกินจากคนอื่นที่ทำข่าวมาแล้ว เอาหนังสือพิมพ์มาอ่าน ดังนั้น เรื่องของจิตวิญญาณนั้น บางคนก็มีอยู่ บางคนก็ลืมมันไปเพราะไม่ใช่ปัจจัยที่จำเป็น

นักธุรกิจข่าวเป็นพัฒนาการอีกขั้นของนักเล่าข่าว คือแปลงข่าวเป็นทุนไปเรียบร้อยแล้ว เป็นนายทุนข่าว เจ้าของรายการ และข่าวที่เอามาก็ยังเป็นข่าวของคนอื่น ที่คนอื่นทำมาเสียอีก การหยิบข่าวเอามาอ่านในรายการที่ตัวเองเป็นเจ้าของ นักธุรกิจข่าว ทำข่าวน้อย ใช้ลีลาเยอะหน่อยก็อยู่ได้ การหยิบเอาข่าวมาอ่าน ก็จะอยู่ในยุทธศาสตร์รักษาพื้นที่ที่เป็นองค์ประกอบในการหาเงินของตัวเอง ดังนั้นจิตวิญญาณนักข่าว จึงเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกับการเป็นนักธุรกิจข่าวอย่างภาพมาออกหน้าจอ จะต้องใช้ลีลาที่เนียนๆ อย่าให้ประชาชนคนดูจับได้

---------
ในอีเมลบ่นเรื่องของสรยุทธออกมาอีกมากมาย แต่เหมือนเพื่อนกลัวว่า ผมจะไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงจั่วหัวในอีเมลมาอย่างนั้น ก็เลยมีคำอธิบายให้เสร็จสรรพ ผมก็เลยเอามาเล่าให้ผู้อ่านฟังถึงเหตุผลของเพื่อนผมอีกต่อหนึ่ง

ลองอ่านดูนะครับ

“สรยุทธน่าชื่นชมที่พัฒนาตัวเองสู่ระดับสูงของนักธุรกิจข่าว แต่ในส่วนของจิตวิญญาณนักข่าวถือว่า อ่อนย้วยไปมาก ดังนั้น น่าจะเปลี่ยนชื่อเรียกที่เราคุ้นเคยสมัยเขาเป็นนักข่าว “สรยุทธ” ไปเป็น “สรยวย” และให้ฉายาต่อท้าย เหมือนผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย ว่า “หัวคุด” เหมือนกับเวลาขนคุด หรือเล็บคุด ประมาณว่า วิญญาณการทำข่าวที่อยากจะยืดออกมาสูดอากาศภายนอก ต้องโดนปัจจัยหลายต่อหลายอย่างที่จะรักษาสถานภาพ “นักธุรกิจข่าว” โดนสภาพภายนอกให้ “หัวสมอง” ที่รักในการทำข่าว และจิตวิญญาณของนักข่าว ไม่สามารถงอกเงยเจริญเติบโตออกมา จึง “คุด” อยู่ข้างใน

ดังนั้น คุณสรยุทธ จึงน่าจะเรียกชื่อและฉายาใหม่ว่า “..........”

Ref :: //www.manager.co.th/lite/ViewNews.aspx?NewsID=9490000028769
โดย: naigod วันที่: 3 มีนาคม 2549 เวลา:9:04:20 น.
  
เมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ ควรจะมีเอกสารแสดงหลักฐานด้วยนะคับ เพราะว่าเขียนลอย ๆ อย่างนี้ ก้อเห็นมีเกลื่อนเยอะแยะ หากมีข้อมูล การขายหุ้นต่าง ๆ มาประกอบจะก้อจะดีกว่านี้คับ
โดย: x-Japan IP: 203.113.51.73 วันที่: 3 มีนาคม 2549 เวลา:12:04:05 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Naigod.BlogGang.com

naigod
Location :
นนทบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด