1.อย่าทำลายความหวังของใคร ... เพราะอาจเหลืออยู่แค่นั้น...
2.รู้จักฟังให้ดี ... โอกาสทองบางทีมันก็มาถึงแบบแว่วๆ เท่านั้น...
3.จะคิดการใด ... จงคิดการให้ใหญ่เข้าไว้ ...แต่เติมความสนุกสนานลงไปด้วยเล็กน้อย...
4.หัดทำสิ่งดีๆ ให้กับผู้อื่นจนเป้นนิสัย ..โดยไม่จำเป้นต้องให้เขารับรู้...
5.จำไว้ว่าข่าวทุกชนิดถูกบิดเบือนมาแล้วทั้งนั้น...
6.ใครจะวิจารณ์อย่างไรก็ช่าง... ไม่ต้องเสียเวลาโต้ตอบ...
7.ให้โอกาสผู้อื่นเป็นครั้งที่ "2" แต่อย่าให้ถึง"3"...
8.เราไม่ได้ต่อสู้กับ คนโหดร้าย แต่เราต่อสู้กับ ความโหดร้าย ในตัวคน...
9.เมื่อมีใครสวมกอดคุณ ... ให้เขาเป็นฝ่ายปล่อยก่อน...
10.อย่าไปหวังเลยว่าชีวิตนี้จะมีความยุติธรรม...
11.ประเมินตัวเองด้วยมาตรฐานของตัวเองไม่ใช่มาตรฐานของคนอื่น...
12.คงไว้ซึ่งความเป้นคนเปิดเผย ...อ่อนโยนและอยากรู้อยากเห็น...
13.ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้ายเพียงใดยสุขุมเยือกเย็นเข้าไว้...
14.อย่าวิจารณ์นายจ้าง ... ถ้าทำงานกับเขาแล้วไม่มีความสุข ก็ลาออกซะ...
15.คำนึงถึงการมีชีวิต "กว้างขวาง" มากกว่าการมีชีวิต "ยืนยาว"...
คงไม่มีข้อคิดไหนจะดีเท่าข้อคิดนี้แล้วแหละ
ที่มา :: //www.netcafethai.com/modules.php?op=modload&name=PNphpBB2&file=viewtopic&t=3736
>
>พิษณุ นิลกลัด
>
>แง่คิดดีๆ จากชายชราผู้จากไป
>
>สัปดาห์สุดท้ายของปี 2548 ผมไปงานสวดและงานเผาศพผู้ชายวัย 81
>ปีที่ผมรู้จักเขามายาวนาน 30 ปี
> ไม่ใช่ญาติ แต่สนิทนักรักใคร่เสมือนญาติ
>
>ก่อนเสียชีวิตไม่กี่วันเขาสั่งลูกและภรรยาแบบคนไม่ครั่นคร้ามความตายว่าสวดสาม
>วันแล้วเผา
>ไม่ต้อง
> บอก
>ใครให้วุ่นวาย อย่าเศร้า อย่าร้องไห้ ทุกคนต้องมีวันนี้
>เพียงแต่เขาอยู่หัวแถวเลยต้องไปก่อน
> แล้วลูกเมียก็ทำตามคำสั่ง สวดสามวันเผา งานสวด 3 คืนมีคนฟังพระสวดคืนละ 14
>คนคือเมีย ลูก
> หลาน เขย สะใภ้ และผมซึ่งเป็นคนนอก
>เป็นงานศพที่มีคนไปร่วมงานน้อยที่สุดเท่าที่ผมเคยไปฟังสวด
> วันเผามีเพิ่มเป็น 17 คน
>สามคนที่เพิ่มเป็นเพื่อนบ้านที่เคยคุยด้วยเกือบทุกเย็นคนหนึ่ง เป็นแม่ค้า
> ล็อตเตอรี่ที่เคยยืมเงินแล้วไม่มีสตังค์จ่าย
>เลยเอาล็อตเตอรี่ทยอยผ่อนใช้หนี้แทนเงินงวดละสองใบคน
> หนึ่ง
>และคนสุดท้ายเป็นหญิงที่ผู้ตายเคยผูกปิ่นโตทุกมื้อเย็น
>ทั้งสามคนบอกว่าเกือบมาไม่ทันเผา เคราะห์ดีที่
> แวะไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่บอกว่าเสียชีวิตไปแล้ว 3 วัน
>
>หลังฌาปนกิจพระกระซิบถามเจ้าหน้าที่วัดว่าเจ้าของงานจ่ายเงินค่าศาลาสวดพระ
>อภิธรรมแล้วหรือยัง
> พระท่านคงไม่เคยเห็นงานศพที่มีคนน้อยแบบที่ผมก็รู้สึกตั้งแต่สวดคืนแรก
>จริงๆ แล้วผู้ตายเป็นคนค่อน
> ข้าง
>มีสตังค์ ทำงานธนาคารแห่งประเทศไทยจนเกษียณอายุที่ตำแหน่งหัวหน้าหน่วย
>แต่ด้วยความที่รักและ
> ศรัทธา อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตผู้ว่าการแบงค์ชาติ
>จึงดำเนินชีวิตแบบไม่ปรารถนาให้ใครเดือน
> ร้อน
>- แม้กระทั่งวันตาย
>
>ผมสนิทกับเขาเพราะเขามีความฝันในวัยเด็กอยากเป็นนักประพันธ์แบบ ไม้ เมืองเดิม
>ที่เขาเคยนั่ง
> เหลา
>ดินสอและวิ่งซื้อโอเลี้ยงให้ เมื่อตัวเองเป็นนักเขียนไม่ได้
>พอมาเจอะผมที่เป็นนักข่าวก็เลยถูกชะตา
> และให้ความเมตตา การมีโอกาสได้พูดได้คุยกับเขาตามวาระโอกาสตลอด 30
>ปีทำให้ได้แง่คิดดีๆ มา
> ใช้ในการดำรงชีวิต
>
>วันหนึ่งเขารู้ว่าขโมยยกชุดกอล์ฟของผมไปสองชุดราคา 4 แสนกว่าบาท เขาปลอบใจผมว่า
> "ของที่หายเป็นของฟุ่มเฟือยของเรา
>แต่มันอาจเป็นของจำเป็นสำหรับลูกเมียครอบครัวเขา คิดซะว่าได้
> ทำบุญ จะได้ไม่ทุกข์" เขามีวิธีคิด "เท่ๆ" แบบผมคิดไม่ได้มากมาย
>เป็นต้นว่าสุขและทุกข์อยู่รอบตัว
> เรา อยู่ที่ว่าเราจะเลือกหยิบเลือกคว้าอะไร
>
>คงเป็นเพราะเขาเลือกคว้าแต่ความสุข ช่วงปีสุดท้ายของชีวิตเขาต่อสู้กับโรคชรา
>เบาหวาน หัวใจ
> ความดัน เกาต์ และไตทำงานเพียง 5 เปอร์เซ็นต์โดยไม่ปริปากบ่น
>แถมยังสามารถให้ลูกชายขับรถพา
> เที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์โดยที่ตัวเองต้องหิ้วถุงปัสสาวะไปด้วยตลอดเวลาเนื่อง
>จากไตไม่ทำงาน
> ปัสสาวะเองไม่ได้
>
>6 เดือนสุดท้ายของชีวิตต้องนอนโรงพยาบาลสามวันนอนบ้านสี่วันสลับกันไป
>เวลาลูกหลานหรือเพื่อนของ
> ลูกรวมทั้งผมด้วยไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล เขามีแรงพูดติดต่อกันไม่เกิน 10 นาที
>แต่ 10 นาทีที่พูดมีแต่
> เรื่องสนุกสนานเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนไปเยี่ยมไข้ ทุกคนพูดตรงกันว่า
> "คุณตาไม่เห็นเหมือนคนป่วยเลย ตลกเหมือนเดิม" พอแขกกลับ
>ลูกหลานถามว่าทำไมคุยแต่เรื่องตลก
> เขาตอบว่า "ถ้าคุยแต่เรื่องเจ็บป่วย วันหลังใครเขาจะอยากมาเยี่ยมอีก"
>เขาเป็นคนชอบคุยกับผู้คน
> ไม่ว่าจะอยู่บนเตียงคนไข้หรืออยู่บนรถแท็กซี่
>บ่อยครั้งที่นั่งรถถึงหน้าบ้านแล้ว แต่สั่งให้โชเฟอร์ขับวน
> รอบ
>หมู่บ้านเพราะยังคุยไม่จบเรื่อง แล้วจ่ายเงินตามมิเตอร์ !
>
>4เดือนสุดท้ายของชีวิตแพทย์ที่รักษาโรคไตมาตั้งแต่สมัยเป็นแพทย์อินเทิร์นจน
>กระทั่งเป็นหัวหน้าแผนกแนะ
> นำให้พักรักษาตัวในโรงพยาบาลให้แข็งแรงแล้วค่อยกลับบ้าน แต่อยู่ได้ 4
>วันเขาวิงวอนหมอว่าขอกลับ
> บ้าน หมอซึ่งรักษากันมา 16 ปีไม่ยอม เขาพูดกับหมอด้วยความสุภาพว่า
>"ขอให้ผมกลับบ้านเถอะ ผม
> อยากฟังเสียงนกร้อง คุณหมอไม่รู้หรอกว่าคนคิดถึงบ้านมันเป็นอย่างไร
>เพราะพอเสร็จงานหมอก็กลับ
> บ้าน" หมอได้ฟังแล้วหมดทางสู้ ยอมให้คนไข้กลับบ้าน
>แต่กำชับให้มาตรวจตรงตามเวลานัดทุกครั้ง
>
>1 เดือนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
>เขาสูญเสียการควบคุมอวัยวะของร่างกายเกือบทั้งหมด เคลื่อนไหวได้
> อย่างเดียวคือกะพริบตา แต่แพทย์บอกว่าสมองของเขายังดีมาก
>เวลาลูกเมียพูดคุยด้วยต้องบอกว่า "ถ้า
> ได้ยินพ่อกะพริบตาสองที" เขากะพริบตาสองทีทุกครั้ง !
>เห็นแล้วทั้งดีใจและใจหาย เขายังรับรู้
> แต่
>พูดไม่ได้ นี่กระมังที่เรียกว่าถูกขังในร่างของตนเอง
>
>สิบวันก่อนพลัดพราก ภรรยากระซิบข้างหูว่า "พ่อสู้นะ"
>เขาไม่กะพริบตาซะแล้วทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้สอง
> เดือนเคยตอบว่า "สู้" เขาสู้กับสารพัดโรคด้วยความเข้าใจโรค
>สู้ชนิดที่หมอออกปากว่า
> "คุณลุงแกสู้จริงๆ"
>
>ตอนที่วางดอกไม้จันทน์ ผมนึกถึงประโยคที่แกพูดกับลูกเมื่อสี่เดือนก่อนว่า
>"โรคภัยมันเอาร่างกายของพ่อ
> ไปแล้ว อย่าให้มันเอาใจของเราไปด้วย"