Review : Japan Trip [Part 6] วันที่ 11 ศาลเจ้าFushimi Inari & วันที่ 12 ข้าวหน้าปลาไหล ,วัดNittaiji ![]() My Makeup TodaY วันที่สิบเอ็ดในญี่ปุ่น [4/11/2013] จัดให้เป็นมินิฮาวทูขั้นตอนตามนี้ฮับ 1. ทาสีส้มในแนวชั้นตาเบลนให้ฟุ้ง 2. ทาสีชมพูอ่อนเหนือแนวชั้นตา 3. ทาสีเหลืองครีมที่หัวตา 4. คัดเบ้าตาด้วยสีน้ำตาลเข้ม 5. เขียนขอบตาด้วยไลน์เนอร์แบบปากกา Kate สีดำเน้นหางตาเส้นหนาลากยาวแต่ไม่ตวัดให้เชิด 6. เขียนขอบตาล่างด้วยดินสอ Cosluxe สีเงิน 7. ทาหางตาล่างด้วยสีน้ำตาลเข้มผสมสีส้ม 8. ทาหัวตาล่างด้วยสีเหลืองครีม 9. ดัดขนตาปัดมาสคาร่าติดขนตาปลอมบน-ล่าง ***ขนตาซื้อที่ญี่ปุ่นฮะ ขนตาบนของ Vanilla Birthday No.2 ขนตาล่าง Dolly Wink #8 ***อายแชโดวพาเลท Shu Uemura 6Princess Collection #Pink ***คอนแทคเลนส์ DreamColor1 Sky #Violet ***รองพื้น Shu Uemura Lightbulb #764 แป้งฝุ่น Candy Doll ***แก้มสีชมพูจากพาเลทShu Uemura 6Princess Collection #Pink ผสมสีส้มอ่อนCanmake ***ปาก Clinique #RunwayCoral + Candy Doll #ApricotBeige + Coffret D'Or Liquid Lip สีชมพู ![]() ชุดยูกาตะที่โรงแรมไว้ให้ใส่เป็นชุดนอน ไม่รู้ว่านี่ไซส์มาตรฐานของเค้ามันยาวไปหรืออิชั้นเตี้ย ใส่ออกมายาวกรอมเท้าเป็นแมกซี่เดรสเลยฮร้า 555 เค้าชอบชุดยูกาตะนะใส่นอนสบายดีแต่คือแบบนอนดิ้น เช้ามาสภาพอาจจะดูไม่ได้นิดนึง กร๊ากกกก ![]() ![]() มื้อเช้าวันนี้รองท้องด้วยขนมปังไส้ยากิโซบะ เหมือนจะไม่เข้ากันแต่กินๆไปมันก็อร่อยดีน้า รสยากิโซบะเค้าจะผัดรสจัดหน่อยกินกับขนมปังจะกำลังดี ซื้อมาจากร้านในสถานีเกียวโตแต่จะชื่อร้านบ่ได้ฮับ ![]() จุดมุ่งหมายของเราในวันนี้ก็คือ ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ (Fushimi Inari Shrine) หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในชื่อ ศาลเจ้าพ่อจิ้งจอกขาว การเดินทางสามารถนั่งรถไฟสาย JR มาลงที่สถานี Inari ได้เลย หรือถ้านั่งรถไฟสาย Local ให้มามาลงที่สถานี Fushimiinari ฮับ ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริเป็นศาลเจ้าในศาสนาชินโต สร้างขึ้นเพื่อถวายให้แด่เทพเจ้าแห่งการกสิกรรมที่ช่วยให้พืชพรรณอุดมสมบูรณ์ คือ เทพเจ้าอินาริ และในบริเวณรอบๆศาลเราจะพบรูปปั้นของสุนัขจิ้งจอก ซึ่งสุนัขจิ้งจอกเหล่านี้ก็คือผู้ส่งสารไปให้เทพเจ้าอินารินั่นเอง ![]() แผ่นป้ายเขียนคำขอพรที่นี่จะเป็นต้นเสาโทริอิ (อันละ 800 yen) ทำไมถึงเป็นเสาโทริอิเดี๋ยวมาดูกัน ![]() ![]() ความโด่งดังของศาลเจ้าแห่งนี้คือมีเสาโทริอิตั้งเรียงรายเป็นทางยาวขึ้นไปบนหุบเขา เป็นระยะทางกว่า 4 กม. ถ้าจะใช้เวลาเดินจนสุดทางต้องใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงแน่ะ มีจำนวนเสาโทริอิมากที่สุดในญี่ปุ่นเรียงกันเป็นอุโมงนับหมื่นต้น ซึ่งได้มาจากการสร้างบริจาคของคนที่ศรัทธา หรือมาขอพรไว้ เมื่อพรสมดังที่หวังก็มาสร้างถวายเหมือนเป็นการแก้บนของบ้านเราอ่าเนอะ เสาโทริอิ (Torii) มักจะพบในวัดหรือศาลเจ้าของนิกายชินโตเปรียบเสมือนทางเข้าสู่สวรรค์ ![]() ราคาการบริจาคสร้างเสาแต่ละต้นขึ้นอยู่กับความใหญ่สตาร์ทราคาที่ 175,000 yen OMG!!! ซึ่งบนเสาจะมีการสลักชื่อคนหรือบริษัทองค์กรที่บริจาคนั้นๆเอาไว้ ![]() ถ้าจะถ่ายรูปเค้าแนะนำถ่ายด้านที่มีตัวหนังสือสลักไว้ จะดูสวยและดูได้บรรยากาศกว่าถ่ายด้านที่เป็นเสาเปล่าๆฮับ ยิ่งได้แสงแดดลอดๆหน่อยแจ่ม! แต่ทำใจว่าภาพมันจะติดส้มๆแดงๆหน่อยเพราะเราอยู่ในอุโมงค์เสาอ่าน้าสีมันสะท้อนรอบตัว ![]() ทางเดินจะค่อยๆไต่ขึ้นไปบนเขามีแผนที่ให้ด้วยระยะทางรวมกว่าสี่กิโลเมตร แต่มันเป็นการเดินขึ้นง่ะ เดินมาพักนึงแล้วพึ่งได้เสต็ปแรก! You are here อยู่จุดแดงๆมุมขวาล่าง นี่เป็นแค่เพียงการเริ่มต้น ![]() ![]() ในจุดพักเสต็ปแรกคือจุดศาลเจ้าโอะคุฉะ จะมีป้ายขอพรเป็นรูปสุนัขจิ้งจอกน่ารักเชียว แต่ละคนแต่งเติมหน้าตาซะเฟี้ยวเลย ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะแผ่นละ 800 yen เท่าเสาโทริอิด้านล่างฮะ ![]() เสต็ปพักต่อมาเป็นจุดชมวิวสวยสงบแต่แอบน่ากลัวนิดนึง จะเป็นเสาหรือศาลเจ้าเก่าๆมีตะไคร่ขึ้นด้วยง่า บริเวณนี้ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่เดินแล้วแอบหลอน แหะๆ ![]() ณ จุดนี้เค้าจะมีบอกเวลาไว้เลยว่าจะไปจุดถัดไปใช้เวลาเท่าไหร่ จุดถัดไปใช้เวลา 18 นาที และจะขึ้นไปยอดสุดใช้เวลา 54 นาที!!! ขอบพระคุณป้ายนะคะที่ทำให้ตัดสินใจได้ว่าควรหยุดแต่เพียงเท่านี้ 555 ไม่ไหวจริงๆคร๊าบเดินขึ้นลงงานนี้ไม่รอดแน่เลยขอเดินย้อนกลับไปด้านล่างดีกว่า แหะๆ ![]() ขาเดินลงบังเอิญได้อี๊กกกกก เจอสองสาวในชุดกิโมโนหน้าคุ้นเชียว 555 ปอเช่ Porscerta และ นิชา Minipandaz นั่นเองจ้า แหม่ญี่ปุ่นมันแคบ ที่เก๋คือทางเดินตรงที่เจอกันมันแยกเป็นสองอุโมงค์ ดันเลือกเดินอุโมงค์เดียวกันเลยได้เจอกัน พรหมลิขิตบันดาลชักพา ฮริ้วววว ![]() ![]() ดีนะที่เลือกเดินกลับลงมาเพราะจากที่ฟ้าแดดเปรี้ยงกลับมีฝนปรอยซะงั้น ดีที่แค่ปรอยเบาๆพอจะเดินเม้าสวยๆกลางสายฝนได้ 555 ![]() ออกจากศาลเจ้ากลับไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่โรงแรม แล้วขึ้นชินคันเซ็นบึ่งไปนาโกย่ากันใช้เวลาจากเกียวโตไปนาโกย่าแค่ชั่วโมงเดียวฮับ ไม่ลืมที่จะแวะซื้อข้าวกล่องก่อนขึ้นรถ อิอิ รอบนี้ให้คุณแฟนเลือก นางเลือกข้าวหน้าเนื้อมาอร่อยง่ะเนื้อนุ๊มนุ่มรสหวานๆเค็มๆกลมกล่อม อัดแน่นเต็มกล่องแบ่งกันหม่ำสองคนกล่องละ 1,000 yen ประมาณสามร้อยนิดๆแหล่ม! ปิดท้ายด้วยของหวานสารพันขนมที่ซื้อจากใน 7-11 ตุนไว้เต็มเป้ แหะๆ ![]() ระหว่างทางจากเกียวโตไปนาโกย่าจะเห็นวิวเป็นแปลงผักหรือนาข้าวสองข้างทางเลย ![]() ออกจากสถานี้มุ่งหน้าไปเช็คอินโรงแรมก่อนเลย ชื่อโรงแรม Business Hotel SHINMEI ทำเลที่ตั้งตามสไตล์เค้าต้องติดกับสถานีหลักเดินทางง่าย อิอิ ตั้งอยู่ตรงข้ามสถานีนาโกย่าเลยอยู่ติดกับตึก Tsutaya เดินข้ามถนนมาสังเกตง่ายมีร้าน Yoshinoya อยู่ด้านล่างจ้า ![]() Business Hotel เป็นโรงแรมที่มีหลายแห่งทั่วญี่ปุ่น สำหรับที่นี่เค้าจองผ่าน ได้ราคาคืนละ 7,350 yen (2,230บาท) เช็คอินแล้วจะได้ของที่ระลึกซองเล็กๆติดไม้ติดมือมาด้วย เป็นพวกสบู่ แชมพู มาส์กหน้า หรือฟองน้ำขัดตัวฮะ ![]() ห้องแคบหน่อยแต่อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครันเตียงนุ่มสบายดีเค้าชอบ โรงแรมในญี่ปุ่นเท่าที่ไปพักมาเค้าชอบตรงที่พวกสบู่แชมพูมีไว้ให้ในห้องน้ำเลย เป็นแบบขวดใหญ่ๆหัวปั๊มกดใช้ได้แบบไม่อั้น เวิร์คกว่าให้แบบชิ้นจิ๋วๆนะ ซึ่งจะใช้เป็นยี่ห้อดีๆด้วยอย่าง Shiseido , Pola เริ่ดอ้ะ ไม่ต้องพกไปให้หนักกระเป๋า ![]() จัดแจงเก็บกระเป๋าล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้วออกมาเดินเล่นสำรวจเมืองกัน นาโกย่าเป็นเมืองที่อยู่ระหว่างเกียวโตกับโตเกียว อดีตเลยเป็นเมืองท่าเป็นจุดแวะพัก เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสี่ของญี่ปุ่น เป็นเมืองที่อาร์ตมาก สถาปัตยกรรมในเมืองจะดูเก๋ๆ มีรูปปั้นศิลปะแนวๆอยู่รอบเมืองเดินชมได้เพลินๆ ![]() ตระเวนเดินหาจุดที่เป็น Landmake ของเมืองนาโกย่า เริ่มจากชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่กลางเมือง ซึ่งเจอแทบทุกเมืองใหญ่ๆเลยนะเจ้าชิงช้าสวรรค์เนี่ยสงสัยคนญี่ปุ่นจะชอบมาก อิอิ ถัดไปหน้าตาคล้ายหอไอเฟล คือ Nagoya TV Tower ตั้งอยู่ในพื้นที่ของสวนสาธารณะ Central Park อยู่ในย่านซาคาเอะ (Sakae) ซึ่งเป็นย่านธุรกิจของเมือง เป็นหอกระจายสัญญาณคลื่นวิทยุโทรทัศน์ หอสูง 180 เมตร มีจุดชมวิวอยู่ด้านบนที่ความสูง 100 เมตร แต่เค้ามิได้ขึ้นไปเน่อ การเดินทางนั่งรถไฟใต้ดินมาลงสถานี Sakae ได้เลยแต่เค้าค่อยๆเดินมาจากสถานีนาโกย่า เดินได้ชิลๆไม่ได้ไกลมากประมาณ 3 กม. แต่ขอบอกว่านาโกย่าลมแรงมว๊ากกกก อุณหภูมิ 14-15 องศาพอๆกะเมืองอื่นแต่รู้สึกหนาวกว่ามากลมสะท้านทรวงหัวกระเจิดกระเจิงสุดๆ ![]() ติดกันกับ TV Tower คือ Oasis 21 เป็นอาคารทรงวงรีหน้าตาล้ำมาก ซึ่งเป็นศูนย์รวมของร้านค้า ร้านอาหาร สวนสนุกในร่ม Spaceship Aqua ห้างสรรรพสินค้า Milky Way Plaza และต้นทางสถานีรถบัสและรถเมล์(Bus Terminal) รวมทั้งรถ Airport Bus ![]() ชั้นบนสุดของ Oasis 21 จะเป็นจุดชมวิวขึ้นลิฟต์ไปได้เลยไม่เสียตัง เก๋นะทำเป็นสระน้ำใหญ่ๆไว้บนดาดฟ้า เวลาถ่ายภาพแล้วจะสะท้อนเห็นตึก TV Tower อยู่ด้านหลังด้วย งามมมมั่ก แต่ขอบอกว่าบนนั้นหนาวมากกลมพัดตัวแทบปลิว ![]() ![]() ขากลับเดินมิไหวแร้นหนาวเลยนั่งรถไฟใต้ดินแทน มาถึงสถานีนาโกย่าเดินผ่านเครปร้าน Dipper Dan Crepe กลิ่นหอมยั่วมากกก ต้องจัดมาลองอันละ 350 yen (110 บาท) อูยยยมันเริ่ดอ้ะ แป้งหอมนุ่มหนึบ ครีมเข้มข้น สตรอเบอร์รี่ฉ่ำๆฟินนาเร่ ถ่ายคลิปตอนทำมาฝากด้วย ฮี่ๆ >>>CLICK<<< ![]() มาถึงนาโกย่าร้านดังหนึ่งร้านที่ห้ามพลาดได้แก่ "ร้านไก่ทอดยามะจัง" (yamachan) แค่รอบๆสถานีนาโกย่าก็มีเป็นสิบสาขาแล้วหาไม่ยาก เค้าเดินมั่วๆมาก็เจอสาขาที่เค้ากินหันหน้าออกจากสถานีแล้วเดินเลียบไปทางขวา หรือเข้า Google Map แล้วเสิร์ชว่า Yamachan Nagoya เจอตรึมเลยจ้า ![]() วิธีสังเกตร้านยามะจังให้สังเกตโลโก้ผู้ชายชูสองนิ้วแบบในรูปเลย เมนูเด็ดร้านนี้ก็คงไม่พ้น ปีกไก่ทอด(Tebasaki) แต่ก็มีเมนูอื่นๆให้เลือกอีกมากมายซาซิมิก็น่าหม่ำ ![]() Maborishino Tebasaki : ปีกไก่ทอดรสออริจินอล จานนึงมี 5 ชิ้น ราคา 420yen (133 บาท) เป็นเมนูเบสิกที่มาแล้วต้องสั่งรสชาติแบบออริจินอลคือรสเค็มๆเผ็ดๆพริกไทย สำหรับคนไทยเผ็ดพริกไทยแค่นี้เรียกว่าเด็กๆ แต่ความเค็มนี่จัดว่าแสบลิ้นเลย ทอดมาใหม่ๆร้อนๆกรอบๆก็อร่อยดีฮะแต่กินแล้วหิวน้ำสำหรับเค้ามันเค็มไปหน่อยอ่านะ ![]() เมนูเคียงเยอะกว่าเมนูหลักอีก แหะๆ รวมๆเค้าว่าโอเคหล่ะรสจัดจ้านดี มานาโกย่าแล้วก็ควรลองทาน ใครว่าอาหารญี่ปุ่นจืดจะเปลี่ยนความคิด....ว่ามันเค็ม 555 ![]() เดินกลับมาสถานีเจอขนมอบกรอบรสไก่ยามะจัง ยังไม่เข็ดซื้อมาลองอีก อู้วเค็มเหมือนไก่ทอดเป๊ะ เผ็ดๆพริกไทยดีแต่ต้องกินน้ำเปล่าตามเรื่อยๆเค็มแสบลิ้นจุงเบย ![]() My Makeup TodaY วันที่สิบสองในญี่ปุ่น [5/11/2013] ทาเปลือกตาด้วยสีเบจแล้วกรีดไลน์เนอร์หางยาวเฟื้อย อัดขนตาปลอมทั้งบนและล่างแน่นตึ้บ เกิดการเสพย์ติดขนตาล่างแบบไม่รู้ตัว555 ขนตาบนขนมาจากไทยจำมิได้ว่ายี่ห้ออะไรเบอร์อะไร แต่ขนตาล่างซื้อที่นี่ของ Dolly Wink เบอร์ 8 (บ้านเราก็มีขายใน Tsuruha ฮับ) ![]() My Outfit TodaY เห่อเสื้อคลุมกิโมโนสีแดงแซ่บๆสอยมาจากศาลเจ้าพ่อจิ้งจอก เท่านั้นเป็นชาวบ้านมาขายเองมีชุดกิโมโนด้วยสวยมากแต่ซื้อมาแล้วใส่บ่เป็น เลยช่วยอุดหนุนเสื้อคลุมกิโมโนมาสองตัวราคาน่ารักน่าคบตัวละ 1,500yen (475 บาท) ขอบอกว่าอุ่นมากกกก แต่ผ้าก็หนักมากเช่นกัน แหะๆ ด้านในเค้าใส่ Heattech แขนยาวตัวเดียวเองเอาอยู่ ส่วนกระโปรงหนังสีเบจแบรนด์ GU ตัวละไม่ถึงสามร้อยบาท รองเท้า Forever21 ฮะ ![]() เป้าหมายวันนี้ที่ตั้งใจว่าต้องมาให้ได้คือร้านข้าวหน้าปลาไหลชื่อดัง "Houraiken" ซึ่งเค้ามีทั้งหมด 4 สาขาในห้างก็มี แต่มาถึงนี่ต้องไปลองที่ร้านต้นตำรับเนอะถึงจะได้ฟิล ขึ้นรถไฟไปลงที่สถานี Temma-Cho แถวๆสถานีนี้จะมีอยู่ 2 ร้าน ร้าน A คือร้านต้นตำรับ ![]() ตอนแรกเค้าเดินมาผิดดันไปออกทางออก Exit 1 แล้วเดินไปร้านที่ตำแหน่ง C ร้านนี้จะอยู่ติดกับศาลเจ้า ซึ่งไปถึงแล้วเกิดอาการกรีดร้องร้านปิด!!! แต่เค้าหยิบโบชัวร์มาให้แล้วบอกว่ามีอีกร้านนึงใกล้ๆซึ่งอีกร้านคือร้านต้นตำรับ โชคดีมีคนญี่ปุ่นมาผิดเหมือนกันเลยเดินตามๆเค้าไปอีกร้านนึง 555 ![]() ร้าน Houraiken ต้นตำรับอยู่ตรงตำแหน่ง A ตามแผนที่ ต้องเดินข้ามสะพานลอยมา มาถึงมั่นใจละว่าถูกเห็นควันและปลาไหลลอยมา บรรยากาศหน้าร้านคลาคล่ำไปด้วยผู้คนถูกต้องแน่นอน เดินเข้าไปลงชื่อต่อคิว อื้อหือ คิวที่เราได้คือต้องรออีกหนึ่งชั่วโมงเอาฟระมาถึงนี่ละรอก็รอ คนญี่ปุ่นนี่มีความอดทนในการรอหม่ำอาหารมากๆนั่งกันชิลๆรอบๆร้านเป็นเพื่อนกันไม่มีอิดออด ![]() ยุทธการรอคิวหลอกล่อให้หิวก่อนของทางร้านสัมฤทธิ์ผล เข้าไปแล้วหิวมากกกอ่านเมนูตาลายกะจะสั่งแหลกพอเห็นราคาสติมาทันใด 555 บรรยากาศร้านเป็นบ้านแบบญี่ปุ่นสองชั้นโต๊ะแบบนั่งพื้น ![]() สั่งอาหารไปนั่งรออีกประมาณเกือบยี่สิบนาทีหิวโฮกกกก เย้ๆปลาไหลมาแว๊ว เค้าสั่งข้าวหน้าปลาไหล Hitsu-mabushi ขนาดปกติ แม้จะหิวปางตายแต่มิกล้าสั่งไซส์พิเศษเพราะขนาดปกติ ก็ราคา 3,100yen แล้วง่า (985บาท) นี่ราคายังไม่รวม Vat 5% นะ! ร้านนี้เป็นร้านต้นตำรับเจ้าแรกของนาโกย่าที่คิดค้นข้าวหน้าปลาไหล แบบ Hitsu-mabushi ซึ่งจะเสิร์ฟมาในหม้ออบโปะด้วยปลาไหลย่างแบบอัดแน่น ![]() ในเมนูจะมีสอนวิธีการกินแบบ Hitsu-mabushi ไว้ด้วย แต่ ณ จุดนั้นวิธีไหนก็ได้จัดการตักแบ่งใส่ถ้วยเล็กแล้วโซโล่โลด จะกินเดี่ยวๆก็ได้ กินกับต้นหอมก็ได้ หรือราดน้ำซุปที่ต้มจากกระดูกปลาไหลลงไปก็ได้ เนื้อปลาไหลที่นี่ยอมรับว่าทำดีมากไม่มีกลิ่นคาวเลยเนื้อนุ๊ม นุ่ม ไม่มีก้างปนมาแม้แต่น้อย ซอสที่ใช้ย่างก็รสเข้มข้นกลมกล่อมคือลงตัวทุกอย่างติดตรงราคากินบ่อยไม่ไหวจนพอดี555 แต่คุณแฟนเค้าเป็นคนไม่ทานของย่างที่ติดไหม้ๆเลยกินแบบไม่ค่อยฟิน เพราะเค้าจะย่างมาเกรียมนิดๆ คุณแฟนเค้าเลยชอบร้านข้าวหน้าปลาไหล แถวๆศาล Osaka Temmangu ที่โอซาก้ามากกว่า ส่วนเค้าชอบทั้งสองร้านอร่อยคนละแบบฮะ ![]() ปลาไหลฟินในระดับปกติแต่ที่เค้าฟินมว๊ากกกก็คือ "ไข่เจียวไส้ปลาไหล" ลักษณะเป็นไข่หวานเนื้อหนาๆสอดไส้ปลาไหลย่างเนื้อนุ่มๆ เสิร์ฟมาในน้ำซุปกลมกล่อม อร๊ากกกกเขียนบล็อคไปหิวไปติดใจเมนูนี้ฝุดๆๆๆ ![]() แต่ราคาแรงใช้ได้เลยจานนี้มีไข่มาแค่สองชิ้น 950 yen (300 บาท)ไม่รวม Vat 5%นะฮร้า ![]() ท้องอิ่มเที่ยวต่อได้ จุดหมายนี้คุณแฟนอยากมาสุดๆ "TOYOTA Automobile Museum" ซึ่งปรากฏว่า "ปิด" นางถึงขั้นหงุดหงิดเพราะวันที่ไปปิดแบบไร้สาเหตุ เป็นวันธรรมดาที่ไม่ใช่วันหยุดราชการอะไรแค่อยากจะปิด โว๊ะ! มันน่าโมโหตรงที่ต้องนั่งรถรถไฟออกมานอกเมืองอย่างไกลเลย ต้องนั่งรถของบริษัท Limino ไปลงที่ Geidai-dori Station จำว่าค่ารถแพงด้วยเลยยิ่งพาลให้หงุดหงิด หุหุ ประเด็นอาจจะอยู่ตรงที่นั่งรถแพงนี่หล่ะ 555 ![]() มุ่งสู่เป้าหมายต่อไปนั่งรถไฟใต้ดินไปลงสถานี Kakuozan ก่อนอื่นต้องหาของหวานทานให้หายหงุดหงิดก่อน อิอิ หาเรื่องกินไปงั้นแหละ หม่ำๆขนมไทยากิ หรือขนมปลาไทปกติจะเป็นแป้งแบบแพนเค้ก แต่เค้าลองซื้อแบบแป้งโมจิอร่อยไปคนละแบบน้าอันนี้แป้งหนึบหนับ ไส้ครีมทะลักมากครีมเค้าเข้มข้นชอบตรงที่ไม่หวานมาก ชิ้นละ 140 yen (45บาท)จ้า ![]() เป้าหมายของเราก็คือ วัดนิตไตจิ (Nittaiji Temple) ตั้งอยู่ สถานี Kakuozan ออก Exit 1 แล้วเดินตามถนนใหญ่ เป็นเนินเดินขึ้นไปประมาณ 600 เมตร จะเห็นทางเข้าวัดอยู่ตรงสามแยกจ้า ![]() ตั้งใจมาที่วัดนี้เพราะเป็นวัดที่แสดงถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ที่มีอายุกว่า 100 ปี ซึ่งชื่อของวัด Ni มาจากคำว่านิฮงหรือนิปปอนที่แปลว่าญี่ปุ่น , Tai มาจากคำว่าไทย และ Ji แปลว่าวัด รวมแล้วเลยเป็นชื่อที่เรียกกันทั่วไปว่า วัดไทย-ญี่ปุ่น โดยสร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้พระราชทานแก่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2443 เพื่อเป็นมิ่งขวัญแก่ชาวพุทธในญี่ปุ่น ในวัดมีพระบรมราชานุสาวรีย์ของเสด็จพ่อร.5 ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าพระวิหารด้วย ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อฉลองวัดครบรอบ 100 ปีเมื่อพ.ศ. 2530 ดีใจได้มาไหว้เสด็จพ่อร.5 ถึงญี่ปุ่น ![]() นอกจากนี้ด้านหน้าวิหารยังมีป้ายหินจารึกพระปรมาภิไธยย่อ จปร. และ ภปร.ของในหลวงด้วย ไม่ว่าอยู่ที่ใดลูกก็ภูมิใจที่ได้เกิดใต้ร่มพระบารมีของพ่อ ดีใจที่ได้เกิดเป็นคนไทยค่ะ ![]() ก่อนออกจากนาโกย่าขอแวะซื้อขนมหม่ำแป๊บเห็นเค้าว่าที่นี่มี Laduree ด้วย ตั้งอยู่ในสถานีนาโกย่าอยู่บนห้าง JR Takashimaya ขึ้นบันไดเลื่อนไปเจอร้านเลย มากาฮองของเด็ดร้านนี้ได้ยินชื่อเสียงมานานในที่สุดก็ได้ลองเสียที ราคาแรงตามชื่อเสียงเลย ชิ้นละ 270 yen ประมาณ 86 บาท รสที่คนนิยมคือรสกุหลาบเค้าลองแล้วเฉยๆ แต่ที่ชอบคือราสป์เบอร์รี่กะวานิลลา เนื้อแป้งเค้ากรอบเบาๆเปลือกแป้งด้านนอกละลายในปาก ไส้หอมฟุ้งๆ แต่รสก็หวานแหลมตามสไตล์มากาฮองต้องทานคู่กับชาถึงจะเวิร์ค สรุปก็โอเคจัดว่าอร่อยมากหล่ะ แต่เคยกินที่ซิดนีย์ร้านบ้านๆ รสชาติอร่อยกว่านี้ หวานน้อยกว่านี้ เค้าเลยไม่ได้ประทับใจมากมายฮะ ![]() ได้เวลากลับโตเกียวแล้วหลังจากลั้นลาอยู่คันไซหลายวัน ก่อนขึ้นรถยังมิวายซื้อถั่วรสไก่ทอดยามะจังมาลองอีก บ่นว่าเค็มๆแต่ก็ซื้อไม่เลิกเอ๊ะอย่างไรหรือจะติดใจ 555 จากนาโกย่ากลับโตเกียวใช้เวลาประมาณ 1.40 ชั่วโมงจ้า ![]() ถึงสถานีโตเกียวเค้านั่งรถต่อมายังสถานีชินจูกุ เพราะบ้านเพื่อนเค้าต้องต่อรถที่สถานีนี้อยู่แล้ว มาแวะที่นี่เพื่อมาหาอะไรหม่ำก่อนเข้าบ้านเพื่อน เลยหาที่ฝากกระเป๋าในล็อคเกอร์ก่อน ซึ่งมีอยู่หลายจุดเลยในตัวสถานีชินจูกุ ค่าฝากช่องใหญ่ใส่กระเป๋าเดินทางไซส์ใหญ่สุดของเค้าได้ ราคา 500 yen (160 บาท) ฝากได้ตั้งแต่ 7.00-22.30 น. วิธีการแสนง่ายเปิดล็อคเกอร์ยัดกระเป๋าเข้าไปหยอดเหรียญจนครบจำนวน ไขกุญแจเพื่อล็อคตู้แล้วดึงกุญแจออก ขาเอากระเป๋าออกก็แค่ไขกุญแจเป็นอันเรียบร้อย ถ้าฝากกระเป๋าไว้เกินเวลาที่กำหนดตอนไขออกเค้าจะแจ้งจำนวนเงินที่ต้องหยอดเพิ่มจ้า ![]() เดินออกจากสถานีมึนๆเจอร้านนี้น่าหม่ำดีอยู่ไม่ไกลจากสถานีก่อนถึงร้าน Forever 21 ![]() พึ่งนึกได้ว่ามาญี่ปุ่นเป็นสิบวันแล้วยังไม่ได้ลองราเม็งเลยได้โอกาสละ อิอิ คือว่าเมนูเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วนเลยต้องใช้วิชาดัชนีอรหันต์จิ้มๆภาพในการสั่ง ภูมิใจอ้ะราเม็งมื้อแรกอร่อยจังเล้ยยยย เส้นหนึบหนับน้ำซุปเข้มข้นกลมกล่อม ชอบไข่ต้มซีอิ๊วร้านนี้มากเป็นยางมะตูมด้วย ชามซ้ายบน 730 yen (230 บาท) แถมไข่ให้อีกฟอง ส่วนชามล่างเป็นแบบแห้งมีน้ำซุปข้นๆแยกมาต่างหากเด็ดไม่แพ้กัน 780 yen (245 บาท)ฮับ ![]() ของหวานล้างปากปิดท้ายบล็อคนี้ด้วยสตรอเบอเร่อ (สตรอเบอร์รี่ลูกเบ้อเร่อ555) ซื้อตรงร้านขายผลไม้ในย่านชินจูกุนั่นแลแต่บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าตรงไหน แหะๆ สามลูกเสียบไม้ไม้ละ 200 yen (64 บาท) แอบแพงนะตกลูกละยี่สิบกว่าบาท แต่หวาน กรอบ ฉ่ำ และกลิ่นหอมมากกกก สรุปว่าอร่อยแพงแต่ฟินฮ้าฟฟฟ ![]() ----------------------------------------------------------------------------- แล้วอย่าลืมติดตามภาคสุดท้ายใน [PART 7] นะคร้าบ ใครยังไม่ได้อ่านภาค 1-5 เข้าไปชมได้ตามลิงค์ด้านล่างจ้า Review : Japan Trip [Part 1] เปิดฉากตะลุยประเทศในฝัน ต้องเตรียมอะไรบ้าง & วันที่สอง ณ Akihabara Review : Japan Trip [Part 2]วันที่3หม่ำโซบะชื่อดัง ณ วัดJindai-ji & วันที่4ตะลุยชินจูกุชมวิวบนตึกสูง Review : Japan Trip [Part 3] วันที่5 ศาลเจ้า Meiji Jingu@Harajuku & วันที่ 6 นั่งชินคันเซ็นไปโอซาก้า Review : Japan Trip [Part 4] วันที่7 ตะลุยUniversalวันฮาโลวีน, หม่ำโอโคโนมิยากิร้านดัง Mizuno & วันที่8 ปราสาทโอซาก้า, ศาลเจ้า Temmagu และ Osaka Aquarium Kaiyukan Review : Japan Trip [Part 5] วันที่9 ไปเกียวโตพักเรียวกัง , วัดทอง , ซูชิเวียนจานละ 137 yen & วันที่10 เช่ากิโมโนใส่ตะลุยศาลเจ้าเ วัดเงิน , ย่านกิอง , หม่ำทงคตสึเจ้าดัง Katsukara ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชมล่วงหน้าคร๊าบ ![]() ตามมาอ่านอีกแล้ว ^^
โดย: หนีแม่มาอาร์ซีเอ IP: 101.109.219.64 วันที่: 13 มกราคม 2557 เวลา:14:45:08 น.
This information is priceless. Where can I find out more?
le site officiel de Remise Louis Vuitton //bmasl.com/bdatos/popups/hho.cfm โดย: le site officiel de Remise Louis Vuitton IP: 94.23.252.21 วันที่: 22 สิงหาคม 2557 เวลา:8:11:12 น.
|
บทความทั้งหมด
|