Review : Japan Trip [Part 1] เปิดฉากตะลุยประเทศในฝันต้องเตรียมอะไรบ้าง & วันที่สอง ณ Akihabara กรี้ดดดๆๆมาแล้วคร๊าบกับรีวิวทริปประเทศในฝันภาคแรก เมื่อหมูตะลุยแดนปลาดิบ JAPAN!!! ประเทศนี้เป็นประเทศอันดับหนึ่งที่ฝันไฝ่ไว้ตั้งแต่เด็กๆ ว่าจะต้องไปให้ได้ กว่าจะเก็บหอมรอมริบจนมีเงินพอก็เล่นเอาเข้าวัยชรา แอร๊ยยังไม่แก่ขนาดนั้น 555 เป็นทริปท่องเที่ยวที่นานที่สุดไปเต็ม MAX แบบไม่ต้องขอวีซ่า คือ 15 วันฮับ โดยการนับ 15 วันของทางสถานฑูตคือนับวันแรกหลังจากวันเดินทาง เค้าไปวันที่ 25 ตุลากลับวันที่ 9 พฤศจิ ถ้านับเองตอนแรกมันดูเหมือนเป็น 16 วัน แต่ได้ทำการโทรถามทางสถานฑูตเรียบร้อยให้เค้าเช็คให้ เค้าบอกว่ายังอยู่ในเกณฑ์ไม่ต้องยื่นเรื่องขอวีซ่าฮับ เอาหล่ะพร้อมกันแล้วมาลุยญี่ปุ่นไปพร้อมๆกันเลย ทริปนี้เค้าเที่ยวกันเองกะคุณแฟน วางแผนเที่ยวกันแบบมั่วๆนัวๆ ไม่เน้นอัดสถานที่ท่องเที่ยวมากนัก เน้นชิลๆสบายๆ แพลนเปลี่ยนได้เสมอตามสถานการณ์ ลองอ่านดูเป็นแนวทางในการท่องแดนปลาดิบกันดูนะค้า ทริปนี้เค้าจองตั๋วเครื่องบินของสายการบิน United Airline โดยจองผ่านเอเจนท์ www.tg191.com ให้เค้าเช็คให้ว่าช่วงที่จะไปสายการบินไหนถูกสุด เน้นประหยัดไว้ก่อน ฮี่ๆ พอดีจองโปรการบินไทยมิทันมาได้ราคาอันนี้ถูกกว่าจึงจองโลด เค้าจองล่วงหน้ากันประมาณ 5-6 เดือน ได้ราคาไปกลับ BKK-NRT กรุงเทพ-นาริตะ(โตเกียว) อยู่ที่คนละ 18,130 บาท ราคาแบบไม่มีโปรส่วนใหญ่จะสองหมื่นอัพๆฮับ วันไปบินไฟลท์เช้า 6.00 น. ไปถึงสนามบินตอนตีสี่ไปเช็คอินเสร็จสรรพเรียบร้อย สำหรับ United Airline เค้าฟิกซ์เรื่องกระเป๋าว่าสามารถโหลดได้แค่คนละ 1 ใบเท่านั้น ขนาดใบใหญ่แค่ไหนไม่ซีเรียส แต่ใบนึงต้องไม่เกิน 23 กิโลจ้า ถ้าจะโหลดกระเป๋ามากกว่า 1 ใบ ต้องจ่ายเพิ่ม $75 (ประมาณ2,250บาท) แต่ว่าก็จะได้เป็นน้ำหนักเพิ่มไปอีก 23 กิโลไปเลย เค้าว่าก็แฟร์ดีนะเพราะขากลับได้ใช้บริการแน่ๆ555 ขาไปก็ซัดไป 22.5 กิโลละ แหะๆ เช็คอินไปเรียบร้อยขอลงมาหาอะไรหม่ำกันก่อน ทิ้งทวนอาหารไทยก่อนบิน อิอิ ณ ศูนย์อาหาร Magic Food Point ที่ชั้นล่างสุดตรงชั้นที่เรียกแท็กซี่ของสนามบินสุวรรณภูมิ บอกเลยว่าเป็นฟู้ดคอร์ทที่อาหารราคาถูกมว๊ากกกกก มีอาหารราคานี้ในสนามบินด้วยหรือไร??? ข้าวจานละ 30 - 45 บาทเท่านั้น ถูกกว่าฟู้ดคอร์ทหลายแห่งในห้างอีกง่า ซัดราดหน้ากะก๋วยจั๊บไปสองคนไม่ถึงร้อยบาทเยี่ยมค่ะ อิ่มอร่อยเริ่ด เกือบตีห้าใกล้เวลาขึ้นเครื่องก็ไปรอที่เกจ สำหรับ United Airline จะมีการเช็คกระเป๋าก่อนขึ้นเครื่องอีกครั้งนะคะ เค้าระบุเลยว่าหนึ่งคนสามารถหิ้วกระเป๋าขึ้นเครื่องได้แค่หนึ่งใบ เครื่องออกตามเวลาหกโมงตรงพอดิบพอดีเที่ยวบิน UA838 บินด้วยเครื่อง Boing777-200 แถวที่นั่งแบ่งแบบ 3-4-3 เค้าจองที่นั่งไว้ตั้งแต่ตอนจองตั๋วเค้าขอแบบ Window Seat ไว้ฮับ เก้าอี้กว้างใช้ได้นั่งสบาย เค้าว่าเหมือนจะกว้างกว่าการบินไทยนิดนึงหล่ะ อาหารบนเครื่อง United Airline ขอบอกว่าอร่อยมว๊ากกกก!!! ซัดข้าวแกงเขียวหวานไก่ รสชาติเข้มข้นเผ็ดกำลังดีนัวมั่กๆ ผลไม้ก็หวานฉ่ำ เออเริ่ดอ้ะ ก่อนเครื่องลงมีแจกขนมปังแฮมชีสให้ทานเล่นอีกหนึ่งก้อนด้วย อ้วนกันตั้งแต่ขึ้นเครื่อง 555 หนังท้องตึงหนังตาหย่อนหลับยาวเลยจร้าาาา ขาไปใช้เวลาประมาณหกชั่วโมงนิดๆ ถึงญี่ปุ่นตอน 14.15 น. ตามเวลาที่นู่นซึ่งจะเร็วกว่าไทย 2 ชั่วโมงค่ะ ลงจอดแล้ววู้วฮูววว แต่แหม่สภาพอากาศอึมครึมน่าดู มีฝนตกปรอยๆพื้นแฉะๆอากาศเย็นๆอุณหภูมิประมาณ 15 องศา วันที่เค้าไปเป็นวันที่พายุใต้ฝุ่นฟรานซิสโกเข้าญี่ปุ่นพอดีจึงจะมีฝนตกเป็นช่วงๆ แต่ไม่ได้ซัดเข้าโตเกียวตรงๆจึงไม่อันตรายอะไรจ้า เครื่องบินไม่มีการเลื่อนไฟลท์ใดๆ ***สภาพอากาศของญี่ปุ่นเค้าเช็คจากเว็ปนี้แม่นเป๊ะฮับ www.jma.go.jp/en/week/ สิ่งที่กลัวเกรงที่สุดของการไม่ต้องขอวีซ่าคือด่านตรวจคนเข้าเมือง ได้ยินกิตติศัพท์มามากมายว่าแอบน่ากลัว เนื่องด้วยคนไทยหนีเข้าไปทำงานเยอะมากกก เค้าจึงจะเข้มงวดเป็นพิเศษ เดินเข้าตม.ด้วยใจตุ๊มๆต่อมๆ แต่ปรากฎว่า............เค้าไม่ตรวจอะไรเลยจ้า ไม่ถาม ไม่ขอเอกสาร ไม่อะไรทั้งนั้น ปล่อยผ่านเข้าไปแบบงงๆ แถมยิ้มแย้มดูใจดีมากด้วย แอร๊ยยยยโล่ง เค้าคิดว่าคงเป็นเพราะพาสปอร์ตเค้าเคยไปหลายประเทศอยู่ และมีวีซ่าเชงเก้นที่กำลังจะเดินทางเดือนหน้าอยู่ด้วยซึ่งดูก็รู้ว่าไม่แอบมาอยู่ญี่ปุ่นแน่ๆ เลยผ่านฉลุย เฟี้ยว ฟึ่บ ปี๊บๆ ง่ายจนน่าตกใจ ดีใจอ้ะ หลุดรอดตม.มาปุ๊บ เปิดอินเตอร์เน็ตใช้ยังชีพเป็นปัจจัยที่ห้าก่อนเลย เค้าเช่า Pocket Wifi มาจากไทย ของ //www.bs-mobile.jp/th รับและคืนเครื่องได้ที่ไทยสะดวกมาก ในกทม.มีบริการแมสเซนเจอร์มาส่งและมารับฟรีฮะ ราคา 1-7 วันแรกวันละ 280 บาท วันที่ 8 เป็นต้นไปวันละ 100 บาท เค้าเลือกแบบไม่เอาประกันรวมแล้ว 16 วัน ราคารวมภาษีอยู่ที่ 3,061 บาท ใช้เน็ต 4G ในญี่ปุ่นได้แบบไม่จำกัด แชร์ wifi ได้หลายเครื่อง เปิดใช้ต่อเนื่องจะอยู่ได้ประมาณ 5-6 ชั่วโมง ก็อาศัยพก Power Bank ไปชาร์จระหว่างวันเอาค่า แนะนำเลยของอันนี้เค้าว่าสะดวกดี และขอบอกว่าเน็ตในญี่ปุ่นไวเว่อร์คลิกปุ๊บมาปั๊บ แต่ในสนามบินนาริตะเค้าก็มีบริการ Free Wifi ให้น้า แต่ต้องไปขอรับพาสเวิร์ดตรงจุดที่กำหนดฮะ หน้าตาปลั๊กไฟของญี่ปุ่นจะเป็นแค่สองขาแบนๆแบบนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีแค่สองรูไม่มีรูสายดินนะฮะ พกตัวแปลงหัวปลั๊กมาด้วยอย่าลืม แต่พวกที่ชาร์ตไอโฟนไอแพดมิต้องห่วงเสียบใช้ได้เลย กระแสไฟของที่นี่จะเป็น 110V ซึ่งบ้านเราคือ 220V กระแสไฟที่ต่ำกว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าที่นำไปจากบ้านเราสามารถใช้ได้ตามปกติฮะไม่มีปัญหา แต่อย่างเค้าใช้ที่ม้วนผมจะรู้สึกว่ามันใช้เวลานานกว่าในการวอร์มเครื่องให้ร้อน ไม่แน่ใจกว่าเกี่ยวกันไหม แต่สัมผัสได้จริงๆว่าร้อนช้ากว่าใช้ที่บ้านเรามาก ภารกิจแรกเมื่อไปถึงญี่ปุ่นของการหาหนทางไปที่พัก ซึ่งทริปนี้ในโตเกียวเค้าไปพักบ้านเพื่อนคนญี่ปุ่นเซฟค่าโรงแรมไปเยอะเลย ฮี่ๆ เพื่อนบอกลายแทงมาว่าให้นั่งบัสมา ซึ่งบัสจะจอดตรงใกล้ๆทางไปบ้านเลย สะดวกกว่านั่งรถไฟเพราะต้องไปต่อหลายสถานีซึ่งอาจจะเกิดการหลงทางได้ 555 ตั๋วรถซื้อได้ที่ Airport Limousine Bus Ticket นั่งไปลง Chofu Station ราคาคนละ 3,200 เยน (ประมาณ 1,020 บาท) ค่าบัสแรงใช้ได้เลยจ้าถูกกว่าค่ารถไฟนิดเดียว รถบัสมาแล้วได้รถเที่ยว 16.25 น. ใช้เวลาไป Chofu ประมาณสองชั่วโมงนิดๆ นั่งหลับยาววววเลย ช่วงใกล้เข้าหน้าหนาวพระอาทิตย์ตกไวมากยังไม่ห้าโมงดีมึดซะละ บนรถมี Free Wifi และมีห้องน้ำ ด้วยฮะ สะดวกสบาย ขึ้นรถปุ๊บเจ้าหน้าที่จะเดินเช็คให้รัดเข็มขัดนิรภัยทุกคนรถถึงจะออก ตุเรงๆไปจนถึง Chofu Station ได้สำเร็จเจอเพื่อนที่สถานีอุ่นใจแล้วเย้ๆ จากสถานีเข้าไปบ้านเพื่อนนั่งแท็กซี่ไปอีกไม่ไกล ถ้าไม่มีสัมภาระและฝนไม่ตกก็เดินไหวอยู่ ค่าแท็กซี่ที่นี่สตาร์ทที่ 710 เยน (ประมาณ 230 บาท) แรว๊งงงง!!! เก็บสัมภาระที่บ้านเพื่อนเรียบร้อยเพื่อนก็พาเดินออกมาหาอะไรหม่ำง่ายๆใกล้ๆบ้าน ณ ร้าน Cafe Restaurant Gusto เป็นร้านที่มีหลายสาขาทั่วญี่ปุ่น ปิดตีสองดึกดีฮะ ในร้านจะมีโซนที่นั่งสำหรับคนสูบบุหรี่ด้วยกันไว้เป็นโซนฝั่งนึงเลย ซึ่งจากการสังเกตของเค้าพบกว่าผู้ชายที่นี่สูบบุหรี่เยอะมากกกกนะ และชอบสูบเวลาทานอาหารหรือขับรถ สูบบุหรี่กันจัดน่าดู ผู้หญิงก็ไม่เบาแต่ไม่เยอะเท่าผู้ชาย มื้อแรก ณ แดนปลาดิบ ชีสแฮมเบิร์ก กะ อุด้งกิมจิ เอ๊ะมันใช่เหรอญี่ปุ่นเหรอ555 ร้านนี้อาหารจะออกแนวอาหารฝรั่งนิดๆปนเกาหลีหน่อยๆไม่ใช่อาหารญี่ปุ่นอ่าจ้า ไม่เป็นไรรสชาติดีราคารับได้ ตกจานละประมาณ 600-800 เยน (ราคาไม่เกิน 250 บาท) ระหว่างทางเดินกลับเข้าบ้านเพื่อนพาแวะไหว้ศาลเจ้าเล็กๆ บรรยากาศตอนกลางคืน ฝนพรำๆ แสงสลัวๆบอกเลยว่าแอบกลัว แหะๆ แวะสวรรค์ของหมูตอนอยู่ญี่ปุ่น ท๊า ดา 7-11 นั่นเอ๊ง!!! อยู่ไทยได้ฉายาเจ้าแม่ 7-11 ชวนชิมของอร่อยในเซเว่นอยู่เสมอ มาญี่ปุ่นไม่ยอมให้เสียชื่อทัวร์เซเว่นมันซะเกือบทุกวัน คือของกินเยอะมากหมูฟิน เซเว่นเค้าเน้นของกินจริงจังนะมีผักผลไม้สดขายด้วย ข้าวกล่องหน้าตาอลังการ ความเด็ดอีกหนึ่งอย่างคือ "โอเด้ง" ราคาไม่แรงด้วยชิ้นละ 75-110 เยน หลายคนการันตีมาว่าโอเด้งเค้าอร่อยจริงจัง ยิ่งกินตอนอากาศหนาวๆนะยิ่งเด็ด! จากการทดลองของเค้าพูดได้เลยว่าสำหรับโอเด้ง 7-11 ชิคุวะชนะเลิศ!!! ติดใจเรียกได้ว่าใกล้จะเสพย์ติด เดินเข้าทีไรมือจะไปคว้าชิคุวะมาจ่ายตังเรื่อยเลย 555 ฝั่งตรงข้ามเซเว่นมีอีกหนึ่งร้านเด็ด Lawson100 อันนี้จะกึ่งเป็นซุปเปอร์มาเก็ตเล็กๆ ของข้าวของเครื่องใช้ของกินทุกสิ่งอย่าง เด็ดตรงมีมันเผาขายด้วยฮะ ตอนนี้เค้าเห็นบ้านเราก็มีร้าน Lawson แล้วนะ เป็นการร่วมทุนระหว่าง 108Shop ของสหพัฒฑ์ กับ Lawson ของญี่ปุ่น จึงออกมาเป็น Lowson108 ซึ่งจะมาแทน 108Shop ทั้งหมดฮะ เค้าเห็นตรงริมถนนเพชรบุรี กะตรงรถไฟฟ้าใต้ดินพระรามเก้า มีพวกเบเกอรี่ของตัวเองด้วยน่าลองๆ และของติดไม้ติดมือที่สอยมาจากเซเว่นก็คือ.........โยเกิร์ตเมจิเจมส์จินั่นเอง อิอิ ได้ยินหลายคนบอกว่าของญี่ปุ่นอร่อยกว่า มาถึงปุ๊บจัดมาลองปั๊บ ถ้าเป็นรสปกติที่นี่จะมีแค่สีฟ้าสีเดียวไม่เหมือนบ้านเราที่มีรสธรรมชาติกับรสกลมกล่อม เค้าว่าเนื้อก็เนียนนุ่มคล้ายๆกับของบ้านเรานะ แค่ของเค้าสีฟ้าจะเป็นแบบใส่น้ำตาล แต่รสจะหวานน้อยกว่าสีเขียวรสกลมกล่อมของบ้านเรา ราคาถ้วยละ 110 เยน (35 บาท) ไม่แพงเลยเพราะถ้วยใหญ่กว่าบ้านเราซัดคนเดียวหนึ่งถ้วยอิ่มจุใจอาหย่อยชอบตรงไม่หวานมาก อีกอย่างที่แนะนำคือพุดดิ้งของ 7-11 นี่แหละ สี่ถ้วยราคาแค่ 198 เยน (63 บาท) เนื้อเนียนนุ่มหวานมันที่สำคัญเฉลี่ยแล้วตกถ้วยละแค่ 16 บาทเองอ้ะ เริ่ดตรงเน้ๆ 555 อิ่มแปร้หมดหนึ่งวันกับการเดินทางจากสนามบินมาบ้านเพื่อนและหาอะไรหม่ำ บอกแล้วว่าทริปนี้เน้นชิลๆ อิอิ ห้องนอนคืนนี้ปูฟูกนอนพื้นซุกตัวใต้ผ้าห่มอุ่นๆหลับสบาย お休みなさい : oyasuminasai : Good Night : ราตรีสวัสดิ์ค่า...Zz.ZzZ お早よう : Ohayō : Good Moring : สวัสดีตอนเช้าค่า เช้าวันนี้ตื่นมาพบสายฝนโปรยปรายกับอุณหภูมิ 13 องศา ถ้าวันไหนมีฝนอุณภูมิจะลดต่ำลงเล็กน้อยหรือไม่ก็รู้สึกหนาวกว่าปกติ เทียบกับวันที่อุณหภูมิเท่ากัน หนาวฝนอ่าเนอะ เย็นๆแฉะๆ My Makeup TodaY [26/10/2013] ใสๆเบาๆแบ๊วๆกับตาโทนสีน้ำตาลเบสิกๆ เวลาไปเที่ยวถ้าต้องไปเมืองที่อากาศเย็นเค้าจะจัดสกินแคร์เน้นชุ่มชื่นแบบจัดเต็ม เพราะเค้าผิวแห้งต้องอัดมอยส์เจอร์หนักๆไว้ผิวจะได้ชุ่มอยู่เสมอทำให้แต่งหน้าง่ายขึ้นฮับ My Outfit TodaY อากาศเย็นๆด้านในใส่ Uniqlo Heattech แขนขาว ทับด้วยเสื้อแขนยาวสีแดงทับแจ็กเก็ตหนังยี่ห้อ Yishion ซื้อที่โรบินสันพระรามเก้า ตอนเซลล์ 20% เหลือตัวละประมาณ 1,9XX บาท ด้านในบุขนนุ่มนิ่ม เฟอร์ที่คอถอดออกได้ ใส่แล้วอุ่นมากชอบๆแต่ใส่บ้านเรามิได้ร้อนเกิน555 เลกกิ้ง Heattech ทับด้วยกระโปรงลายสก็อตสีเทา หมวกของ H&M ซื้อที่ฮ่องกงร้อยกว่าบาท รองเท้าของ Maxstar สั่งจากเว็ปของเกาหลี //www.maxstarstore.com/ ค่ารองเท้า+ค่าส่ง+ภาษีตกคู่ละสองพันต้นๆ พื้นหนาเท่ากันหมดใส่สบายมากๆๆไม่เมื่อยเลยเลิฟๆ กระเป๋า Charles & Keithสอยมาจากสิงคโปร์ใบละประมาณสองพันกว่าบาท ดูเหมือนใบไม่ใหญ่มากแต่จุสุดๆใส่กล้อง กระเป๋าตัง ไอแพด คสอ. ยัดลงไปได้ครบหมดฮับ ***กล้องที่เค้าใช้ Sony NEX-F3 ส่วนกล้องตัวใหญ่ที่คุณแฟนใช้ Nikon D300 เลนส์ Sigma 17-50 + Nikkor 85mm f1.8 + Nikkor 10.5mm ภาพที่ลงในบล็อคจะปนๆกันมีทั้งภาพจากกล้องเค้าและกล้องคุณแฟนจ้า วันนี้จะเข้าไปลุยในเมืองด้วยการนั่งรถไฟครั้งแรก ฮี่ๆ รถไฟในญี่ปุ่นจะแบ่งตามบริษัทซึ่งที่เราจะเห็นบ่อยๆก็มี - Japan Railways (JR) - Tokyo Metro (Subway) - Toei Subway - Keio Railways - Tokyu Railways - Odakyu Railways ซึ่งบ้านเพื่อนเค้าอยู่นอกเส้น JR จะเป็นรถไฟของ Keio วิธีการซื้อตั๋วรถใช้การกดตู้อัตโนมัติไม่ยากเลยจ้าเพราะมีปุ่มให้เลือกภาษา English กดเลือกตั๋วโดยดูตามราคา ทำการหยอดเงินเข้าไปก็จะได้บัตรออกมาพร้อมเงินทอน แต่ประเด็นความยากอยู่ที่การหาว่าสถานีที่เราจะลงเนี่ยราคาเท่าไหร่??? เพราะบางสถานีผังเส้นทางรถไฟเค้าจะมีภาษาอังกฤษตัวจี๊ดๆ แต่บางสถานีภาษาญี่ปุ่นล้วนเลยจร้า แต่ปัญหานี้จะหมดไป เค้ามีทางออกที่ง่ายที่ซู้ดดดดในการนั่งรถไฟในญี่ปุ่นมาฝากกัน บอกเลยว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด ประหยัดเวลา ชัวร์แม่นเป๊ะ ไม่มีพลาดและไม่มีหลง วิธีการที่ว่าคือ.........ถามเจ้าหน้าที่สถานีรถไฟเลยคร๊าบบบ ไม่ต้องอายไม่ต้องกลัวเจ้าหน้าที่ใจดีเค้าพร้อมช่วยเหลือเราเสมอ เจ้าหน้าที่จะอยู่ตรงตู้ข้างช่องเสียบตั๋ว ภาษาที่ใช้ง่ายๆสั้นๆ บอกจุดมุุ่งหมายสถานี้ปลายทางพร้อมถามว่า How Much? and Which Station? แค่นี้เลยเราจะได้ราคาตั๋วที่ต้องซื้อและหมายเลขชานชลาที่จะต้องขึ้น รับประกันว่าไม่มีพลาดไม่มีหลง ไม่ต้องยืนจ้องผังรถไฟที่วกวนยังกะเขาวงกตจนตาลาย เค้าใช้วิธีนี้เซฟเวลาในการเดินทางไปอีกเยอะ จากตอนแรกที่หลงมั่วมาแล้วหลายครา555 ตั๋วรถไฟเค้าจะเป็นกระดาษใบเล็กๆแสดงราคาที่เราเลือกกดออกมา ก่อนเข้าเสียบบัตรเข้าไปเครื่องจะคืนตั๋วออกมาอีกฝั่งโดยจะเจาะรูที่บัตร ส่วนทางออกก็เสียบบัตรเข้าไปเครื่องจะดูดบัตรปรื้ดเข้าไปเลยจบข่าวง่ายนิดเดียว ถ้าเรากดผิดหรือนั่งเกินสถานีอันนี้ไม่มีปัญหา ตอนก่อนออกให้ยื่นตั๋วให้เจ้าหน้าที่ แล้วถามเค้าว่าต้องจ่ายเพิ่มเท่าไหร่ How much do I have to pay more? จ่ายเพิ่มแล้วออกตรงช่องข้างตู้ของเจ้าหน้าที่สถานีได้เลยไม่ต้องเสียบบัตรฮับ รถไฟของที่นี่ค่อนข้างเก่าแต่สะอาดสะอ้านดีมาก บนรถเค้าไม่มีทานอาหาร พูดคุยกันได้แต่ไม่พูดคุยเสียงดัง ไม่คุยโทรศัพท์ (โดยเด็ดขาด) การรับโทรศัพท์บนรถไฟ สำหรับคนญี่ปุ่นถือกว่าเสียมารยาทมากๆจ้า มาถึงสถานีเป้าหมายของเราวันนี้ย่าน "Akihabara" เป็นย่านดังศูนย์รวมเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลาย รวมถึงเป็นแหล่งรวมตัวของชาวโอตาคุ เพราะเป็นแหล่งของเกมส์ การ์ตูน อนิเมะ สาวเมด โดจิน เฮนไต สาววาย ฯลฯ ฮี่ๆ สาเหตุที่มาย่านอะกิฮะบะระวันนี้เพราะร้านนี้เลย ร้านขายอุปกรณ์เครื่องบินบังคับ สวรรค์ของคุณแฟนอิชั้น หุหุ ได้มาสวรรค์วันเดียวนี่แหละ วันที่เหลือของอิชั้นล้วนๆ555 ใครมาเดินเล่นย่านนี้แนะนำลองแวะร้านของฝาก Chabara ดูนะค้าบ ของในร้านจะเป็นขนม&อาหารแบบญี่ปุ๊น ญี่ปุ่น เริ่ดตรงที่ชิมได้แทบจะทุกอย่าง เดินวนๆรอบร้านเรียกได้ว่าอิ่ม 555 ถั่วเคลือบอันนี้เค้าชอบบบบบ เคลือบหลากรสมว๊ากกก ไม่ว่าจะเป็นช็อคโกแล็ต ชาเขียว ชีส คาราเมล กาแฟ ส้มยูสุ ชีสเค้ก ฯลฯ มีให้ชิมทุกรสชิมครบทุกรสอิ่มพอดี แต่เค้าก็อุดหนุนกลับมาน้าชอบรสคาราเมล กะ ช็อคโกแลต ความเด็ดอยู่ตรงแป้งที่เคลือบถั่วกรอบๆฟูๆอธิบายไม่ถูกไปลองชิมกันดูน้า อีกหนึ่งอย่างที่พลาดแล้วถือว่าผิด!!! นั่นก็คือมันหวานเผา กรี้ดดดดดดดดดดดสุดๆของโปรดเค้าเลยอ้ะเนื้อมันหนึบๆ ความหวานนี่อย่าให้เซ่ด นึกว่ามันเชื่อม อากาศหนาวๆได้มันอุ่นๆฟินมว๊าก จาก Akihabara ย้ายไปสู่ย่าน Shinjuku นี่หล่ะตัวอย่างผังรถไฟไร้ภาษาอังกฤษ แต่หาใช่ปัญหาไม่เดินไปถามเจ้าหน้าที่โลดไม่มีหลงหมูคอนเฟิร์ม! มาถึงย่านชอปปิ้งชื่อดังแหล่งรวมแฟชั่นอันแสนขวักไขว่ ชินจูกุ..กุ....กุ.......กุ มื้อเย็นวันนี้ฝากท้องไว้ที่ร้าน Asahisushi ณ Tokyo Tower, Shibuya เป็นร้านที่เพื่อนชาวญี่ปุ่นของเค้าบอกว่าอร่อยและราคาไม่แรงมากมาชิมกันเล้ยยย เค้าสั่งเซ็ตนี้มาแบ่งกันหม่ำกะคุณแฟน เซ็ตนี้ราคา 2,730 yen (866 บาท) ในเซ็ตมีไข่ตุ๋นเสิร์ฟมาให้ด้วยถ้วยนึง อูยยยย....ไข่ตุ๋นเนื้อเนียนนุ่มเว่อร์ การทานซูชิในญี่ปุ่นครั้งแรกทำให้รู้ว่าเนื้อส่วนท้องของทูน่า(โทโร่) มันอร่อยมว๊ากกกก!!! ปกติปลาดิบที่เค้าทานจะคือแซลมอน แต่มานี่สะบัดบ๊อบใส่แซลมอนเลยอ้ะ โทโร่ชนะเลิศเข้าใจแล้วคำว่าละลายในปากคืออะไร นอกจากทูน่ากุ้งยักษ์ตัวตรงกลางจานก็เริ่ดฝุดๆ เนื้อหวานกร๊อบ กรอบ อร๊ากกกกเขียนบล็อคไปน้ำลายเยิ้มไป การทานซูชิแบบญี่ปุ่นใช้มือจับหรือใช้ตะเกียบคีบก็ได้ ตอนสั่งเค้าจะให้เราเลือกว่าจะให้ปั้นแบบใส่วาซาบิมาเลยหรือให้แยกมา โดยคนญี่ปุ่นเค้าจะไม่เอาวาซาบิไปละลายในโชยุกันนะฮ้าฟ และเวลาจิ้มโชยุจะเอาด้านเนื้อปลาหรือด้านที่ไม่ใช่ข้าวลงไปจิ้ม ที่ไม่เอาด้านข้าวจิ้มเพราะข้าวจะแตกและละลายกลายเป็นข้าวแกง555 จานนี้ของเพื่อนเค้าราคา 1,680 yen (533 บาท) น่าหม่ำม๊ายยย ท้องอิ่มได้เวลาย่อยด้วยการชอปปิ้ง ฮี่ๆ เดินข้ามห้าแยกอันโด่งดังแห่งชิบูย่า ที่ได้ชื่อว่าเป็นแยกที่มีคนเดินสวนกันบนทางม้าลายมากที่สุดในโลก!!! เป้าหมายของเค้าคือ "Uniqlo" โฮ๊ะ! บ้านเราก็มีมาทำไมถึงนี่เนี๊ย คือเค้าตั้งใจแล้วว่าจะมาสอยฮีทเทคกะเสื้อหนาวที่นี่ ราคาที่นี่ถูกกว่าไทยพอควรเลยโดยเฉพาะราคาเซลล์ ฮุฮิๆๆๆ ซึ่งมีคนบอกเค้ามาว่าจะเซลล์มากสุดในวันเสาร์ อุ๊ตายมาได้จังหวะวันเสาร์พอดีเลย เริ่ด! เสื้อฟรีซคอเต่าบ้านเราราคาปกติ 390 บาท ที่นี่ราคาปกติ 300 บาท เสื้อมิชลิน Light Down แบบไม่มีเฟอร์ บ้านเราราคาปกติตัวละ 2,450 บาท เค้ามาสอยที่นี่เจอแจ็คพ็อตลดราคาพอดีเหลือตัวละแค่ 4,990 yen หรือ 1,500 บาทเท่าน้านนน เดินวนไปวนมาอยู่ชั่วโมงนึงได้มาตะกร้าพูนๆหมดไปสองหมื่นกว่าเยน แหะๆเบาๆโนะ พระเจ้าแม่คุณเอ๊ย! นี่แค่วันที่สองของทริปหอบมาซะสามถุงใหญ่ๆ เค้าไปช่วงก่อนฮาโลวีนประมาณสี่ห้าวัน ที่ญี่ปุ่นคึกคักมากเริ่มแต่งตัวต้อนรับฮาโลวีนกันแล้ว แซ่บอ้ะได้ใจไปเลย แต่งแบบนี้ ณ อากาศ 13 องศา!!! อยากจะแกะเสื้อกันหนาวที่สอยจากยูนิโคล่ไปคลุมไหล่ให้เบาๆ 555 อีกหนึ่งภารกิจสำหรับวันนี้คือการตามหารองเท้าผ้าใบให้คุณแฟนเพื่อใช้ใส่เที่ยวในทริปนี้ บอกแล้วว่ามาชิลๆไปตายเอาดาบหน้าไม่มีอะไรมาซักกะอย่าง กรั่กๆ เจอร้านแรกดูรองเท้าเยอะดีเดินเข้าไปส่องซักกะหน่อย ร้าน ASBEE ขวามือในรูปฮับ ของเค้าดีจริงเข้าร้านแรกได้เลยจร้า NB คู่แรกในชีวิตของคุณแฟน ไม่เคยใส่กะเค้าหรอก ไม่รู้จักรุ่น ไม่รู้จักอะไรทั้งนั้น รู้แต่เจอคู่นี้เห็นแล้วปิ๊ง วัสดุเป็นหนังเลอะแล้วเช็ดได้ สีสันโดนใจ ใส่แล้วพอดีรูปเท้าจัดมาโลด 9,345 เยน (2,992 บาท) กลับมาไทยเพิ่งจะรู้ว่ารุ่นนี้หายาก พื้นรองเท้าไม่เหมือนรุ่นอื่น เป็นพื้นแบบรองเท้าวิ่ง ซึ่งคุณแฟนพิสูจน์แล้วจากทริปนี้ว่าเดินสบายจริงจัง จัดได้ว่าตาถึงนะนี่ อิอิ มาถึงญี่ปุ่นต้องจัด "พุริคุระ" แต่ให้ตายเถอะตู้ภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ เพื่อนคนญี่ปุ่นเค้ายังงงๆแบบว่าวัยเกินกันทั้งสามคนเป็นการถ่ายตู้ที่เงอะๆงะๆ 555 ถ่ายออกมาใส แบ๊ว แอ๊วเว่อร์ ตาโต หน้าเนียน วีเชฟกันทุกคน เจ๋งอ้ะติดใจนะแต่ไปเองถ่ายไม่เป็นชัวร์ ทักษะการมั่วเค้าต่ำเกิ๊น แหะๆ ภารกิจสุดท้ายของวันนี้ รอเวลาจนใกล้เที่ยงคืน (27ตุลา) ก็เดินถือเค้กวันเกิดมาเซอร์ไพรส์คุณแฟน ฮี่ๆ ปีนี้พิเศษนะนี่ได้มาฉลองถึงญี่ปุ่น Happy Birthday นะคร๊าบบบ เพื่อนใจดียกโหลยาดองลำยองมาให้ แอร๊ยมิใช่ 555 อันนี้เหล้าพีชแบบดองเองคล้ายๆอุเมะชูแต่เป็นกลิ่นพีช เอามาให้ฉลองวันเกิดคุณแฟนกันแบบกรุบกริบ บอกเลยว่ารสชาติชนะเลิศ ดองจากพีชสดกลิ่นหอมติดจมูกสุโค่ยยยย!!! จบวันที่สองไปแบบแฮปปี้มีฟามสุข โอยาสุมินาไซค่า ------------------------------------------------------------------------ อย่าลืมติดตามตอนต่อๆไปกันน้าทริปนี้ยังอีกยาวไกล ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชมล่วงหน้าค้าบ อ่านตามยังสนุกเลยค่ะ อยากไปบ้างงง
โดย: Tatae IP: 171.5.250.155 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2556 เวลา:0:55:33 น.
ติดตาม
โดย: ตูน IP: 125.25.200.189 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2556 เวลา:2:58:04 น.
เป็นประเทศในฝันเหมือนกันค่ะต้องไปให้ได้ คุณทรายเขียนข้อมูลไว้ละเอียดดีมากเลยค่ะ รอติดตามตอนต่อไปนะค๊ะ
โดย: Nattaya Foy IP: 46.7.187.71 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2556 เวลา:4:58:06 น.
ชอบมากค่ะ สนุกจังเลย ประเทศในฝันเช่นกันค่ะ ขอคำแนะนำคุณทรายถ้าจะศึกษาข้อมูลจะเริ่มจับจุดจากตรงไหนดีคะ
ปล.มาต่อไวๆนะคะ โดย: Potey_da IP: 180.180.177.88 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2556 เวลา:8:57:49 น.
รอชมต่อนะคะ สนุกมากเลย ต้องเก็บเงินไปเที่ยวให้ได้เลยเรา
โดย: mint14 IP: 49.49.149.94 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2556 เวลา:8:59:03 น.
อยากไปม้วกกกกกกกกก
โดย: แหม่ม IP: 180.183.172.160 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2556 เวลา:11:13:59 น.
อยากไปมากกกกก เก็บตังค์ๆ
รออ่านตอนต่อไปนะจ๊ะ คาดว่ากว่าจะอ่านครบต้องลงแดงก่อนแน่ๆ ^^ โดย: หนีแม่มาอาร์ซีเอ IP: 125.25.8.228 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2556 เวลา:11:40:12 น.
อ่านแล้วอยากจะไปบ้างเลยค่ะ
เขียนได้ละเอียดมว้ากกกก ถ้าไปเองคงจะตามรอยตามที่เขียนไว้ในบล็อกนี่แหละ ฮ่าๆๆ โดย: ปอย IP: 202.28.78.241 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2556 เวลา:16:58:36 น.
ข้อมูลแน่นมากเลยค่ะ
อ่านสนุกสุดๆ รอรีวิวภาคต่อนะคะ โดย: Enjoydaworld IP: 223.204.248.73 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2556 เวลา:21:36:42 น.
ชอบค่า รออ่านตอนต่อไปค่ะ
โดย: tuinui IP: 113.53.13.17 วันที่: 21 พฤศจิกายน 2556 เวลา:0:24:01 น.
ตามจากในไอจีมาถึงนี่ สนุกมากๆ
โดย: Puzon IP: 101.109.220.65 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2556 เวลา:12:40:11 น.
ขอบอ่านคร้า สนุกเหมือนได้ไป อยากอ่านอีกคร้า
โดย: วิลาสินี IP: 27.130.212.112 วันที่: 11 มิถุนายน 2558 เวลา:22:28:35 น.
|
บทความทั้งหมด
|