ลั้นลาสุดๆกับ Etude Korea TriP 23-27 Oct 2010 Part 3 The End Ja ><

...Part 3 ภาคสุดท้ายในไตรภาคมาแล้วคร๊าบบบ วันนี้อากาศเย็นแบบสุดๆกันเลยทีเดียวตอนเช้าทรายตื่นมาเห็นแสงอาทิตย์กำลังขึ้นเลยเปิดประตูจะออกไประเบียงแค่มือจับประตูเท่านั้นมันเย็นวาบ บรื๋อส์ พอเปิดประตูบานเลื่อนเท่านั้น โอ้วววอากาศที่ประทะใบหน้าฆ่ากันเลยดีกว่า เสื้อผ้าที่ใส่มีแค่ชุดนอนชุดเดียวชั้นเดียว ออกไปแชะภาพมาได้สามภาพทนไม่ไหววิ่งเข้าห้องปิดประตูเลย 555 มาเช็คดู ณ ตอนนั้นมัน -2 องศาแล้วคร๊าบบ



และนี่คือภาพที่เอาชีวิตไปแลกมา 555 เว่อร์จริงๆ แต่มันหนาวจริงในสภาวะที่เราอยู่ในห้องที่มีฮีทเตอร์ให้ความอบอุ่นมาทั้งคืน มื้อเช้าที่ Lake Hills Resort อร่อยถูกใจ มีอเมริกันเบรคฟาสต์ให้เลือกตามอัธยาศัยและมีโจ๊กแบบเกาหลีด้วย ลักษณะเป็นโจ๊กเนื้อละเอียดเนื้อข้นๆหนึบๆรสเค็มอ่อนๆมีกลิ่นเหมือนสมุนไพรเครื่องเทศบางๆอร่อยๆอุ่นสบายท้องจ้า บรรยากาศในห้องที่ทานอาหารเช้าราวกับอยู่ยุโรปมองออกไปเป็นสนามกอล์ฟสุดไฮโซวกลางวิวขุนเขา ><



       ท้องอิ่มก็เก็บของเพื่อออกเดินทางเพราะเราย้ายโรงแรมกันทุกคืน อิอิ ขึ้นรถมาพี่ๆทีมงานมีกิจกรรมสนุกสนานมาให้ได้เล่นบนรถด้วยคือการทดสอบแฟนพันธุ์แท้ Etude โดยการให้เราแยกว่าอันไหนเป็นสินค้าจริง อันไหนเป็นสินค้าปลอม โอ้วแล้วไอ้หมูจะรู้ม๊ายยยแต่ไม่เป็นไรเรามีแบรนด์แอมบาสเตอร์มาในทริปนี้ด้วยคือ น้องติ-ติศักดิ์ นั่นเองคร๊าบบบ คู่ทรายกับเจ๊โอ๋เลยรอดตัวไปด้วยความกรุณาของน้องติสุดน่ารัก และเราก็ได้ของรางวัลเป็นกระเป๋าและน้องแมวเหมียวเกาะบ่า Etude จ้า ระหว่างเล่นเกมส์บนรถมีเหตุระทึกขวัญเล็กน้อยคือคุณลุงคีซานิมหรือคุณลุงขี้สนิม คนขับรถชาวเกาหลีของเราเกิดโวยวายขึ้นมาเสียงดัง พี่ไฟไกด์คนสวยได้แปลให้เราฟังว่าให้นั่งลงๆพี่ๆที่ยืนเล่นเกมส์อยู่ก็ตกใจเพราะคุณลุงพูดเสียงดังและดูโมโหมาก สรุปได้ใจความคือในระหว่างที่ผ่านบนเส้นทางด่วนรถจะวิ่งด้วยความเร็วตามกฎหมายคือห้ามยืนเพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้นั่นเองจ้า พอผ่านจุดนั้นแล้วก็เลยแอบหงอยกันทั้งรถไม่กล้ายืนไม่กล้าเล่นกันเลยทีเดียว แหะๆ



        ตามแพลนเช้าวันนี้เราเริ่มกันที่แรกคือ ศูนย์รัฐบาลโสม ที่รัฐบางรับรองให้ว่าเป็นแหล่งที่ผลิตโสมคุณภาพดีที่สุดของเกาหลี ภายในห้ามถ่ายรูปเลยอด แหะๆ เข้าไปด้านในจะมีห้องจัดแสดงรายละเอียดที่มาของโสมโดยมีเจ้าหน้าที่สุดน่ารักเป็นสาวเกาหลีแต่พูดไทยได้คล่องปรื๋อ มาอธิบายให้เราฟังว่าโสมจะมีคุณภาพดีสุดเมื่อมีอายุ 6 ปี ซึ่งเราสามารถดูออกได้ไม่ยากเลยเพราะโสมจะแตกกิ่งออกมาปีละหนึ่งก้านเท่านั่น ถ้าครบ 6 ก้านเมื่อไหร่ก็ตัดโช๊ะเอาไปทำโสมทานได้เลยจ้า โสมที่นี่เป็นโสมที่ดีที่สุดและราคาก็เริ่ศมากเริ่มต้นที่ 15,000 บาท (บาทนะคะมิใช่ won 555) แต่ก็ถือว่าถูกกว่าเราไปซื้อยี่ห้อนี้ที่อื่นถ้าใครชอบและมีทุนทรัพย์ก็ซื้อหาไปฝากกันได้จ้า พอออกจากรัฐบาลโสมเราก็ไปต่อกันที่ โรงเรียนสอนทำกิมจิซึ่งก่อนเข้าไปทำกิมจิกันด้านหน้ามีมุมให้เราใส่ ชุดฮันบก ซึ่งเป็นชุดประจำชาติของเกาหลีถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึกด้วยน๊า ชุดฮันบกเค้าจะจับคู่สีท่อนบนท่อนล่างแบบสีตัดกันเพื่อความสดใสสวยงาม ชุดนี้ใครใส่หุ่นแค่ไหนก็ดูตัวเท่ากันหมด อิอิ บ้านเราตามสถานที่ท่องเที่ยวน่าจะมีมุมให้ใส่ชุดไทยถ่ายรูปฟรีบ้างเนอะ


      


        มาถึงคลาสเรียนทำกิมจิกันแล้วจ้า ก่อนเรียนเราต้องใส่ผ้ากันเปื้อนให้เรียบร้อยและทานน้ำนมผสมโสมก่อนกลิ่นโสมมากกก กิมจิ หรือ ผักดองเกาหลีถือเป็นอาหารที่คนเกาหลีทานกันทุกมื้อและเป็นอาหารที่มีประโยชน์มากมาย มีแคลอรี่ต่ำ ให้วิตามินและแร่ธาตุมากมายโดยเฉพาะวิตามิน A และ C มีแบคทีเรียชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อลำไส้ และสามารถช่วยป้องกันโรคต่างๆเช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน มะเร็งในกระเพาะอาหาร ได้อีกด้วยจ้า ตั้งแต่มาเกาหลีทรายได้ทานกิมจิทุกมื้อจริงๆและแต่ละร้านก็จะมีรสชาติต่างกันไป คุณครูเริ่มสอนและทำให้เราชมหนึ่งรอบแล้วค่อยให้เราทดลองทำจริง ขั้นตอนเตรียมขั้นแรกอันนี้เค้าทำมาให้เราไม่ต้องทำคือ การเตรียมผักและเครื่องหมัก ผักที่ใช้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นผักกาด หรือหัวไชเท้าแต่เราสามารถใส่ผักอย่างอื่นเข้าไปได้ตามชอบ ผักที่เกาหลีนั้นด้วยการดูแลอย่างดีตามธรรมชาติผักที่นี่จึงมีความสดกรอบและขนาดที่ใหญ่มากๆๆ ผักกาดเค้าหัวนึงยาวเกือบฟุตเลยอ่าจ้า เริ่มจากการนำผักสดไปหมักเกลือจนนิ่ม จากนั้นเตรียมเครื่องหมักคือ ขิง กระเทียม เกลือ กุ้งตัวเล็ก (เหมือนเคยบ้านเรา) ฯลฯ มาขยำๆด้วยมือจะเหลวกลายเป็นซอสสีแดงๆ ถึงขั้นตอนที่เค้าให้เราทำแล้วคือการนำซอสหมักนั้นมาทาบนผักกาดที่ตัดแบ่งหัวเป็นสี่ส่วนทีละชั้นทีละใบจนชุ่มแล้วทำการห่อให้สวยงาม ขั้นตอนการห่อนี้เค้าบอกว่าผู้หญิงคนไหนห่อได้สวยงามก็ถือว่าพร้อมออกเรือน อิอิ ทรายห่อเสร็จคนแรกคุณครูเดินมาชมเลยว่าสวยมาก เอาวะจะได้ออกเรือนแล้ว 555 ก่อนออกจากโรงเรียนได้สั่งกิมจิไปหลายห่อเลยทีเดียวตั้งแต่มาเกาหลีทรายว่ากิมจิที่นี่แจ่มสุดโดยเฉพาะกิมจิปลาหมึก


     


        มื้อเที่ยงวันนี้จดชื่อเมนูไม่ทันหน้ามืดตามัวหม่ำอย่างเดียว แหะๆ มันมาเป็นกระทะที่มีส่วนย่างด้านบนและเป็นน้ำซุปที่ขอบเหมือนกระทะหมูย่างเกาหลีบ้านเราอ่าค่า แต่เค้าจะวางหมูและผักมาในกระทะเลยก็ย่างๆต้มๆตอนที่น้ำผักน้ำหมูซึมลงซุปได้ดีขอบอกอย่าให้เซ่ดหวานนุ่มกลมกล่อมอร่อยมั่กๆๆๆๆ มาเกาหลีรู้สึกระบบขับถ่ายจะเข้าที่เข้าทางกันมากเพราะเราได้ทานผักกันทุกมื้อเลย Healthy สุดๆ ^^



        และแล้วก็ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอย Shopping Time นั่นเองคร๊าบบบ โดยจุดแรกที่เราไปตะลุยกันคือย่าน ทงแดมุน มันคือย่านประตูน้ำแห่งเกาหลีนั่นเอง 555 ย่านนี้จะเป็นย่านค้าเสื้อผ้าขนาดใหญ่มากกกกมีหลายตึกบางตึกเปิดขายกัน 24 ชม.เลยทีเดียว ทรายเดินตึกเดียวก็ละลานตาสุดๆเสื้อผ้าน่ารักเกาหลีอย่างแรง แต่ว่าช่วงที่ไปมันหนาวมากเสื้อผ้าเลยเป็นแนว winter จ๋าขนเฟอร์กันสุดๆเลยได้แต่ดูตาละห้อยถ้าสอยกลับมาคงไม่มีทางได้ใส่แน่เลย แต่ก็ได้เสื้อแจ็กเกตหนังมาตัวนึงนะ อิอิ สวยในราคาไม่แพงตีเป็นเงินไทยประมาณ 1,400 บาท เสื้อผ้าที่นี่จะเริ่มต้นที่ราคา 10,000 won คือประมาณ 300 บาทไทย โดยราคาทั่วไปจะอยู่ที่ 500 up นะคะ แต่ทรายว่าเนื้อผ้าคัตติ้งมันก็สวยสมราคาน๊า สาวๆตัวเล็กไปแล้วต้องดีใจแน่ทรายลองแล้วมันช่างพอดีราวกับตัดมาเพื่อเรา ^^



       มื้อเย็นวันนี้มีเมนูเด็ด คือ ซัมเทกัง หรือ ไก่ตุ๋นโสม ซึ่งถือเป็นอาหารบำรุงร่างกายชั้นยอดเลยทีเดียว โดยเมนูนี้จะใส่มาในชามร้อน หนึ่งชามจะมีไก่ 1 ตัว(อย่าตกใจไปเป็นไก่ตัวเล็กจ้า ^^) ที่มาพร้อมเส้นขนมจีนอีกหนึ่งจาน มีเครื่องปรุงรสเป็นเกลือ พริกไทย ซิอิ๊วขาว และที่ขาดไม่ได้คือ โซจู คือเหล้าหมักเกาหลี(คล้ายเหล้าขาวเราเลย อิอิ) โดยวิธีทานจะซดโซจูก่อนหรือเทโซจูใส่ในชามไก่ก็ตามแต่ชอบจ้า เนื้อไก๋ตุ๋นมาในน้ำซุปโสมสีขาวน้ำนม เมื่อเอาตะเกียบแหวกพุงน้องไก่ออกจะพบกับข้าวเหนียว ธัญพืช อยู่ในพุงน้องไก่ซดทานจะเหมือนข้าวต้มไก่ พร้อมกับการนำเส้นขนมจีนใส่ลงไปทานเหมือนก๋วยเตี๋ยว เนื้อไก๋ตุ๋นมานุ่มๆ ซดน้ำซุปร้อนๆช่วยบรรเทาความหนาวได้ดีเลยจ้า



      จัดมื้อเย็นอย่างหนักเพื่อให้เรามีพลังวังชาในการตะลุยชอปปิ้งยามค่ำคืนกันที่ เมียงดง หรือสยามสแควร์เกาหลี ที่เป็นแหล่งชอปปิ้งของบรรดาวัยสะรุ่นทั้งหลาย ในย่านนี้จะมีร้านเครื่องสำอางยอดฮิตของเกาหลีทุกยี่ห้อ พร้อมเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายมากมาย ซึ่งราคา ถูก ราวกับแจก เพื่อความสะดวกในการชอปปิ้งทรายจึงไม่พกกล้องลงมา 555 ชมเป็นภาพบรรยากาศเล็กๆน้อยๆจากวิดีโอแทนนะค๊า ขอบอกว่ามันส์มากเป็นการชอปปิ้งที่จ่ายน้อยแต่ได้เยอะ ได้ไปในช่วงฮาโลวีนมีโปรเด็ดๆแบบสุดสวาทขาดใจเช่น ที่ร้าน Holika Holika ซื้อ 20,000 จ่าย 10,000 won โอ้วสอยแล้วสอยอีก ส่วน Etude สอยตั้งแต่วันแรกและก็ตามมาสอยต่อวันนี้อีก จัดหนักจริงๆ 555



      ชอปยาวกันเกือบห้าทุ่มก็เดินทางเข้าสู่โรงแรมคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่เกาหลี เราได้พักโรงแรมในเมืองชื่อโรงแรม “Hotel La Mir” คนเกาหลีอ่าน ลามีร์ ขอบอกว่าสำเนียงภาษาอังกฤษของเกาหลีฟังยากอย่างแรงและเค้าจะมีสำเนียงเป็นของตัวเองมากๆ เช่น คำว่าไทยแลนด์ เค้าจะไม่เข้าใจเพราะเค้าเรียกเราว่า ไทยแลนด์ดึ ไม่เข้าใจว่าจะเติม ดึ เข้าไปทำม๊ายยย แอบนอกเรื่องแหะๆมาดูห้องพักกันดีกว่าโรงแรมที่อยู่ในเมืองจะมีขนาดห้องกะทัดรัดกว่าโรงแรมสองแห่งแรกที่เราพักนอกเมืองอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังคงความสะดวกสบายไว้ครบครัน เย้ๆโรงแรมนี้มีผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ให้ด้วยหลังจากต้องใช้ผ้าผืนเท่าผ้าเช็ดผมเช็ดตัวมาสองคืน แอบกองของบนเตียง แหมชอปมานิดเดียวเอง อิอิ ไม่อยากบอกว่าที่เห็นนั้นมันไม่ใช่ทั้งหมด 555



       นอนหลับสลบเป็นตายกันไปเมื่อคืนเช้านี้ก็ตื่นมารับกับแสงอาทิตย์พร้อมวิวในเมืองของเกาหลี ว้า..วันนี้ได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นที่เกาหลีเป็นวันสุดท้ายแล้วเวลาผ่านไปเร็วจังเลย



       หลังจากหม่ำมื้อเช้าที่โรงแรมกันแล้วก็เดินทางไปยัง “N Seoul Tower” เป็นจุดหอคอยชมวิวที่ตั้งอยู่บนจุดที่สูงที่สุดของเกาหลีบนภูเขานัมซาน และเป็นที่ตั้งของ “Teddy Bear Museum” ที่ทรายกรี้ดดดดมากกก รถบัสจะต้องจอดด้านล่างและเราก็เดินขึ้นไปด้านบนระหว่างทางร่มรื่นสวยงามมากๆเลยจ้า วันนี้อากาศหนาวๆตอนเช้าติดลบแต่กลางวันก็ประมาณ 2-4 องศาจ้า



        มาถึงทีนี่พลาดไม่ได้กับจุดนี้คือ “Love Key Ceremony” หรือกำแพงยาวที่มีการคล้องกุญแจคู่รักโดยหนุ่มสาวเกาหลีหรือนักท่องเที่ยวจะเขียนชื่อคู่รักไว้บนแม่กุญแจแล้วนำไปล็อคไว้ที่กำแพงจากนั้นก็ปาแม่กุญแจทิ้งซึ่งเชื่อกันว่าจะทำให้รักกันยืนยาวไม่พรากจากกันจ้า แหมมาคนเดียวไม่มีคุณแฟนมาคล้องกุญแจด้วยวุ้ย ^^ และ ณ จุดนั้นก็ได้เจอหนุ่มๆที่กำลังเรียนเตรียมทหารกลุ่มใหญ่เลยขอถ่ายรูปไว้เป็นที่ระทึกใจซักหน่อย อิอิ ตัวสูงใหญ่กันจริงวุ้ยแต่ยังไงหนุ่มไทยก็มีสเน่ห์กว่าอยู่ดีละว้า



         และอีกหนึ่งมุมเด็ดคือเจ้าเก้าอี้รูปตัว V ที่นั่งแล้วจะไหลมาซับกันตรงกลางให้สวีทเล่น อิอิ สี่บลอคเกอร์เลยได้สวีทกันแบบอบอุ๊น อบอุ่น เรารักกัน >< แถมด้วยช็อตมันส์ๆของคุณซี-คุณเอมมี่



         เย้ๆ ถึงจุดสุดโปรดของไอ้หมูคือ Teddy Bear Museum ใครรักหมีต้องกรี้ดดดดตายไปเลยมันน่ารักมากๆๆๆๆๆ เค้านำน้องหมีมาจัดเรียงเป็นเรื่องราวต่างๆ ในโซนแรกจะเป็นวิถีชีวิตยุคปัจจุบันทั่วไป เช่น น้องหมีจัดคอนเสิร์ต น้องหมีเที่ยวสวนสัตว์ น้องหมีฮิปฮอป น้องหมีไฮโซวหิ้ว Prada ด้วย 555 น่ารักไปหมดอยากนอนอยู่นี่จังเลย น้องหมีขยับตัวได้ด้วยน๊า อร๊ายยย>0<



        และอีกหนึ่งโซนจะเป็นการเล่าประวัติความเป็นมาของกรุงโซลผ่านน้องหมีทั้งหลาย โซนนี้จะดูอลังการงานสร้างมากๆ คอสตูมน้องหมีหรูหราจริงๆจ้า



        เมื่อออกจาก N Seoul Tower เราได้ตีรถเข้าเมืองเพื่อไปชม คลองชองเกชอน เป็นคลองโบราณกลางกรุงโซลที่เกิดขึ้นจากกำลังคนขุดขึ้นเมื่อ 600 กว่าปีก่อน และเมื่อเวลาผ่านไปคลองนี้ก็เน่าเสียเต็มไปด้วยมลภาวะที่เป็นพิษของข้างคลองกลายเป็นสลัม แต่ในปี 2003 รัฐบาลเกาหลีได้มีโครงการฟื้นฟูคลองนี้โดยการใช้น้ำดีเข้าผลักน้ำเสียเป็นเวลาเกือบสองปีจนปัจจุบันน้ำในคลองนี้ใสสะอาดจนมองเห็นปลาที่แหวกว่ายในน้ำและเห็นก้นลำคลองกันเลยทีเดียว และสองข้างทางลำคลองก็กลายเป็นสวนสาธารณะ สถานที่จัดกิจกรรมต่างๆ หวังว่าอนาคตคลองแสนแสบบ้านเราจะเป็นแบบเค้าบ้างน๊า วันสุดท้ายทั้งทีขอถ่ายกับพี่ไฟไกด์คนสวยที่คอยเล่าประวัติและวัฒนธรรมต่างๆของชาวเกาหลีให้เราฟัง พร้อมกับพี่เอ๊ะไกด์จากเมืองไทยที่คอยดูแลอำนวยความสะดวกให้เราเป็นอย่างดี ขอบคุณนะค๊า ^^



         ก่อนหม่ำมื้อเที่ยงก็ได้แวะทำการละลายกะตังกันที่ “Dong Wha : Duty Free” กลางกรุงโซล ขนาดชอปมาอย่างหนักเมื่อคืนแต่เข้า Duty Free ก็ยังได้กระจุ๊กกระจิ๊กมาอีก Shopahoilc จริงๆค่า และมื้อเที่ยงของวันนี้คือ บิบิมบับ หรือ ข้าวยำเกาหลี และ สุกี้ซีฟู้ด ข้าวยำนี้จะมาให้ชามหินร้อนๆเมื่อมาถึงให้ใส่ซอส ใส่กิมจิ เครื่องเคียงต่างๆ แล้วคลุกทุกสิ่งอย่างเข้าด้วยกันก่อนที่ข้าวจะไหม้ติดขอบชาม รอบนี้เราได้กินสูตรพิเศษด้วยคือใส่น้ำพริกปลาป่น 555 กลายเป็นบิบิมบับสูตร Fusion Food กันเลยทีเดียว อร่อยจริงๆนะคร๊าขอบอก อิอิ และในหม้อสุกี้ก็จะมีกุ้ง หอย หมึก พร้อมน้ำซุปกลมกล่อม ที่เกาหลีนั้นจะนิยมทานปลาหมึกที่สุด กุ้ง หอยไม่ค่อยนิยมจ้า



        ปิดท้ายวันนี้ด้วยการชอปปิ้ง (อีกแล้ว อิอิ) ณ ย่านมหาวิทยาลัยฮงฮิก (Hongik) ย่านนี้จะเป็นร้านขายเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับ โดยที่จะจัดร้านกันเก๋ๆ ทรายเลิฟย่านนี้มากมันสวยไปหมด ราคาก็ไม่สูงมาก ได้กระเป๋า หมวก เสื้อมามากมายกว่าตอนไปย่านทงแดมุนอีก เลย์เอาทหน้าร้านของแต่ละร้านมันดึงดูดใจไปหมดเลย อร๊ายยยยหมดตัวๆๆๆๆ ละลายทรัพกันจนวินาทีสุดท้ายก่อนไปขึ้นเครื่องบินก็ได้แวะไปยังซุปเปอร์มาเก็ตที่ขายพวกขนมของฝากมากมาย ทรายขนกลับมาลังนึงเลยทีเดียวเชียว



       ภาพสุดท้ายของทริปนี้ กับแสงอาทิตย์สุดท้ายที่เกาหลี ถือเป็นการมาครั้งแรกที่ประทับในหลายๆอย่างทั้งเรื่องสภาพบ้านเมือง การใช้ชิวิต วัฒนธรรม ความเคารพในกฎหมาย ฯลฯ และทริปนี้ก็ผ่านไปอย่างสนุกสนานพร้อมกับความทรงจำของมิตรภาพดีๆที่เกิดขึ้น ต้องขอขอบคุณบริษัท Cosmega ที่ได้เชิญทรายซึ่งเป็นบลอคเกอร์น้อยๆไปได้สัมผัสกับประเทศที่ผลิตเครื่องสำอางดีๆอย่าง etude ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาทรายมองว่ามันเป็นแบรนด์ที่ดูเด็กๆด้วยภาพลักษณ์แต่แท้จริงแล้วผลิตภัณฑ์หลายตัวที่ได้ลองทำให้ทรายปลื้มและกลายเป็น Item must have ไปเลยทีเดียว ขอขอบคุณพี่ๆทีมงานทุกคนที่คอยดูแลพวกเราเป็นอย่างดีด้วยความเป็นกันเองตลอดระยะเวลาสี่วันในทริปนี้ ขอบคุณจริงๆคร๊าบบบบบ ขอจบทริปนี้แบบเกาหลีซักนิดด้วยการกล่าวคำว่า 정말 감사합니다.(ชองมัล คัมซาฮัมนีดา) ขอบคุณมากๆค่า


      



Free TextEditor



Create Date : 16 ธันวาคม 2553
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2555 1:45:31 น.
Counter : 3951 Pageviews.

6 comments
  
อิจฉาจังเลย ^^ ฝีมือถ่ายภาพเป็นเลิศมากมายจร้า
โดย: nu_pangzaa (payoonzaa1125 ) วันที่: 16 ธันวาคม 2553 เวลา:3:32:45 น.
  
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


โดย: นนนี่มาแล้ว วันที่: 16 ธันวาคม 2553 เวลา:10:02:47 น.
  
ยิ่งตามเที่ยว ยิ่งอยากไปมากๆเลยจร้า แอร๊ยยยย
โดย: jejeejajar IP: 125.25.12.145 วันที่: 16 ธันวาคม 2553 เวลา:10:06:18 น.
  
น่าไปจังงง อยากไปด้วยย งิงิ
โดย: Junenaka1 วันที่: 16 ธันวาคม 2553 เวลา:11:22:09 น.
  
รูปสวยดีค่ะ
โดย: fahtsuki วันที่: 22 ธันวาคม 2553 เวลา:18:16:21 น.
  
อยากไปด้วยทำไงคร๋ะ
โดย: แอน IP: 58.137.27.226 วันที่: 22 มิถุนายน 2554 เวลา:8:11:36 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Mhunoiii.BlogGang.com

SaRaY
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 535 คน [?]

บทความทั้งหมด