ทัศนคติ ความเชื่อ ตื่นตระหนก ในตลท. และ การเมือง
ปล. บทความนี้เป็นแค่ความคิดเห็นเชิงวิชาการ ไม่ได้มีส่วนในการสนับสนุนหรือแนวคิดของการแบ่งแยกทางการเมือง ณ ปัจจุบัน
วันนี้ อยากเขียนอีกแง่มุมหนึ่งของการเมือง และตลท. ซึ่งคงหายากที่จะมีคนเขียนถึงกัน....

Panic sell/buy ในตลท. กับเหตุการณ์ที่มีคนหมู่มากมารวมตัวกัน เพื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเหมือนในเชิงวิชาการอย่างหนึ่ง ...
ผมเคยเขียนถึง Critical mass หรือ ภาษาไทยเรียกว่า มวลวิกฤติไว้แล้ว (ใครไม่รู้จักตามอ่านในบล็อกผม)
เหตุที่นำสู่มวลวิกฤติ น่าจะมี จุดเปลี่ยน หรือปัจจัยบางอย่าง ที่เราตอบชัดๆไม่ได้ว่า ตรงไหน
แต่ท้ายสุดแล้ว จุดๆนั้น ทำให้มี ความเชื่อ บางอย่าง ที่ทำให้ทุกๆคนคิดไปในทางเดียวกัน ...
และนำไปสู่ Panic ในตลท. หรือการรวมกลุ่มของเสื้อเหลือง/แดง หรือรวมตัวของกลุ่มใดๆก็ตาม
......
ผมขอเขียนบางอย่างคร่าวๆให้ดู

ทัศนคติเชิงบวก/ลบ + ข้อมูลที่ได้รับ ---> ความเชื่อ --> นำไปสู่การกระทำหรือแสดงออก

อันดับแรก....สิ่งสำคัญของการเกิดเหตุการณ์ต่างๆ เริ่มต้นที่ ทัศนคติต่อข้อมูลที่ได้รับ
คนๆหนึ่ง ซื้อหุ้นมาตัวหนึ่ง มีความคิดอยู่ในใจว่า หุ้นตัวนี้มีโอกาสที่จะลงดิ่งจนยากจะขึ้นมาได้ ในเวลาใกล้ๆหรืออะไรก็แล้วแต่ ตรงนี้ก็เป็นทัศนคติที่เป็นลบ เมือมีข้อมูลที่ได้มา(ตรวจสอบหรือไม่ก็ตาม) ในทางสนับสนุนกับสิ่งที่คิด ก็เชื่อข้อมูลตามนั้น สุดท้าย ก็เทขายหุ้นออกมา...

อีกกรณี การเมือง มีความคิดในใจว่าไม่ชอบเสื้อแดง หรือรัฐบาล ได้ข้อมูลมาสนับสนุน ความคิดตรงนี้ ก็เชื่อในสิ่งที่เป็นข้อมูลนั้น เราก็จะแสดงออกในทางที่เราคิด


อันดับสอง... ข้อมูลที่ได้รับ
อันนี้เป็นตัวสำคัญที่สุดสำหรับความคิดผม
ใครเคยได้ยินสุภาษิต นี้บ้าง ตาบอดคลำช้าง
ในความคิดของผม ระบบการศึกษาเราเป็น ระบบที่เรียกว่า ตาบอดคลำช้าง
คุณเรียน แล้วคุณอ่านหนังสือ นั้น คุณเชื่อหนังสือเล่มนั้น โดยไม่ได้คิดว่ามันถูกต้องไหม....พิสูจน์ได้อย่างไร
แล้วทำไมถึงเป็นเช่นนั้น และนั้นคือความจริงหรือเปล่า...
คุณเรียน แล้วถูกระบบความรู้ของประเทศสร้างความเชื่อโดยไม่รู้ตัว ด้วยการ ท่องจำ ...

ผมยกตัวอย่าง – คุณถูกสร้างความเชื่อว่าทฤษฎีต่างที่เขียนในหนังสือถูกต้องเสมอ แต่ต่อมาเราก็พบว่าไม่ถูกเสมอไป ก็มีมาเรื่อยๆ
เราถูกสอนว่า ในหนังสือ คือความจริง...แล้วก็ยัดเยียดความรู้ใส่ในสมองเราตั้งแต่ประถมจนจบมหาลัยอย่างมากมาย. และความรู้เหล่านั้นก็ถูกกลืนเข้าสู่ลิ้นชักความจำของเราอย่างหนาแน่น


ทักษะ ของการค้นหาความจริง เราหายไป ด้วยระบบการศึกษาของเรา....
เพราะเราเชื่อ ว่าเป็นความจริง เราเลยไม่ขวนขวายที่จะค้นหา มัน หรือเพราะเรามีแต่ข้อมูลในสมองมากเกินจนเราไม่สามารถดึงทักษะอื่นๆมาใช้ง่ายๆเหมือนทักษะการจำ
สุดท้าย เรากลายสภาพเป็น ประชาชน ที่เป็นคนตาบอดคลำช้าง


เจอภาพ เจอวีดีโอ เจอตัวหนังสือ ที่คนป้อนกันเข้ามา เราใช้ทัศนคติของเราบวกเข้าไป(หรือบวกกับคนโน้นพูดคนนี่พูด) แล้ว เราก็เชื่อตามข้อมูลเหล่านั้น โดยไม่ลังเลมากนัก
-แม่ค้าด่า ตัวร้ายในละคร ด้วยความอินกับเรื่องราวต่างๆ ว่า นางร้ายนั้นเป็นเช่นนั้น
-คนแห่ขายหุ้นกันอย่างหนัก เพราะมีข่าวร้ายของหุ้นนั้น
-เราเห็นภาพหรือข้อเขียนที่เสื้อแดง /ทหาร เสียชีวิตหรือโดนทำร้าย เราก็เชื่อว่าจริง และเชื่ออีกว่า เป็นจากฝีมือใครด้วยทัศนคติของเรา (ในขณะถ้าทัศนคติที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม ก็จะมองอีกแบบ)
ทั้งหมดนี้ จะเห็นในปัจจุบันคือ เชื่อก่อน ไม่ตอ้งพิสูจน์อะไรทั้งสิ้น แล้วก็รีบแสดงออกกัน


สำหรับแนวคิดผม น่าจะเปลี่ยนระบบการศึกษาของบ้านเรา ที่ไม่เน้นเนื้อหาให้มากนัก แต่เน้นที่จะให้นักเรียนค้นหาเนื้อหาเหล่านั้นด้วยตัวเอง ฝึกการค้นหาข้อมูลด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นรูปธรรมชัดเจน

ก็หวังว่า อนาคต เราจะเจอกระทู้ต่างๆ/คำอธิบายที่เต็มไปด้วยเหตุผล การค้นหาความจริงของข้อมูลต่างๆ มากกว่า การใส่อารมณ์ หรือการ เขียนโดยไม่ได้คิดว่า ข้อมูลเหล่านั้น ถูกหรือไม่ จริงหรือไม่ เห็นหรืออ่านแล้วก็เชื่อโดยไม่ไตร่ตรอง

......................
ปัจจุบันเรา โดน สื่อครอบงำ ความคิดเรา (ไม่ว่าจะสื่อทางใดก็ตาม รัฐบาล เสื้อแดง เหลือง หลากสี หรือไรก็ตาม )
ข้อมูลจากสื่อต่างๆที่เข้าสู่สมองเรา เราเชื่อกันโดยเราไม่ได้ใช้ทักษะของตัวเราในการพิสูจน์นัก

แต่ก็หวังว่า ถ้ามีผู้มีอำนาจในอนาคต คิดถึงระบบการศึกษาของเรา
อนาคต เราจะใช้ความคิดควบคุมสื่อ ได้มากขึ้น
และมวลวิกฤติที่จะเกิดในอนาคต จะไม่ใช่ การนำไปสู่ความรุนแรงหรือกระทบต่อสังคมเช่นปัจจุบัน
แต่นำไปสู่การพัฒนา เพื่อต่อยอดแนวความคิดเหล่านั้น

ขอแสดงความคิดเห็นแค่นี้ก่อนครับผม




Create Date : 16 พฤษภาคม 2553
Last Update : 16 พฤษภาคม 2553 11:19:24 น.
Counter : 2945 Pageviews.

10 comments
  
หวัดดีคับพี่โจ้ เขียนดีนะคับพี่
..ช่วงนี้เป็นไงบ้าง ผมไม่ได้ออกจากจุฬาฯไปไหนเลย กลัวออกไปแล้วกลับเข้ามาไม่ได้ T.T
โดย: rongpong (ไม่ได้ login) IP: 161.200.104.140 วันที่: 16 พฤษภาคม 2553 เวลา:11:45:10 น.
  
มีเหตุผลมากๆ
โดย: เอกนนท์ IP: 124.122.192.229 วันที่: 16 พฤษภาคม 2553 เวลา:11:53:05 น.
  
สวัสดีค่ะ..แวะมาทักทายค่ะ
โดย: nootikky วันที่: 16 พฤษภาคม 2553 เวลา:11:59:28 น.
  
เขียนได้ดีครับ จริงๆนักการเมืองไทยหลอกใช้ประชาชนในการปลุกระดมง่ายๆ ด้วยสุภาษิต น้ำหยดลงหินทุกวันๆหินมันยังกล่อน วิธีใช้ได้ผลเสมอโดยใช้สื่อเป็นเครื่องมือกระทำการค่อยๆเปลี่ยนความคิดของประชาชนทีละน้อยแต่จะได้ผลจะต้องตรอกย้ำทุกวันและสามารถใช้ได้กับประชาชนทุกระดับการศึกษาด้วยสำหรับผมทั้งเกลียดและกลัวนักการเมืองมากกว่าหุ้นตกซะอีก
โดย: ไม้แดง IP: 125.27.126.54 วันที่: 16 พฤษภาคม 2553 เวลา:16:31:41 น.
  
เขียนได้ดีครับ อิอิ

ถ้าจะมีหนึ่งเรื่องที่รัฐบาลควรทำอย่างเร่งด่วน ผมว่า "คน" น่าจะสำคัญที่สุด ซึ่งส่วนที่เกี่ยวกับคนคือการศึกษานั่นเอง

ถึงโครงการเรียนฟรีจะเป็นโครงการที่ดี แต่ถ้าหากเราไม่พัฒนาบุคลากรทางการศึกษา ระบบการศึกษา ความคิดความเชื่อและทัศนคติที่ปลูกฝังอยู่ในคนไทย คงจะพัฒนา "คน" ได้ยากครับ

อีกอย่างที่อยากจะฝากถึงคนรุ่นใหม่ คนรุ่นเก่า ก็คือ "วิจารณญาณ" ในการรับชมครับ ปัญหาการเมืองในขณะนี้ และทัศนคติของคนที่รับชม แล้วแสดงออกมา ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ เรายังขาดไปการตั้งคำถามไปอย่างนึงคือ "เราจะเชื่อสื่อได้อย่างไร ในเมื่อเราไม่ได้เห็นด้วยตา ฟังด้วยหู ตริตรองด้วยสมอง" ครับ
โดย: NongArt IP: 58.9.158.222 วันที่: 16 พฤษภาคม 2553 เวลา:20:30:54 น.
  
เห็นด้วยครับ
ระบบการศึกษาบ้านเราไม่ได้เน้น
ให้เราเป็นนักวิเคราะห์ เพื่อหาข้อเท็จจริง
อันนี้อันตรายมาก
โดย: chat156 IP: 110.164.249.82 วันที่: 17 พฤษภาคม 2553 เวลา:5:35:43 น.
  
เราจะแก้การศึกษาอย่างไรดี ผมไปปราจีนพบว่าครู,อาจารย์ปลุกระดมเสื้อเหลืองซะเอง ไปอีสาน ส.สปลุกระดมเสื้อแดงไปทั่ว จริงๆแล้วการปกครองไม่ว่าประชาธิปไตยจะเต็มใบหรือครึ่งใบหรือคอมมิวนิสค์ผมว่าไม่สำคัญหรอก เพราะจะดีไม่ดีมันอยู่ที่คนครับ เราต้องสอนคนให้วิเคราะห์แล้วยังต้องแก้วัฒนธรรมการใช้กฎหมู่ซึ่งมีพื้นฐานจากลักษณะนิสัยคนไทยที่ทำอะไรตามใจตนเองและพวกพ้องโดยไม่ยอมรับเหตุผลหากเหตุผลเหล่านั้นทำให้ตนเองและพวกเสียประโยชน์ เราต้องสร้างคนให้ยอมรับประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัวให้ได้ประเทศเราจึงจะสงบสุขครับ
โดย: ไม้แดง IP: 125.27.126.54 วันที่: 17 พฤษภาคม 2553 เวลา:8:44:45 น.
  
ขอบคุณมากสำหรับคอมเมนท์ต่างๆครับ

เห็นด้วยว่า นิสัยของคนไทยก็เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้การพัฒนาระบบการศึกษาเรายากเย็น

แต่ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่าเมื่อใดก็ตามสมดุลของระบบเริ่มเอนเอียงไปทางใดทางหนึ่ง
มันจะต้องหาทางปรับเข้าสู่สมดุลนั้น อีกครั้ง
วิกฤติของประเทศเรา ตอนนี้เป็นช่วงของการปรับตัวเพื่อเข้าสู่สมดุล เมื่อเราก้าวพ้นมาแล้ว เราจะพบการเปลียนแปลงของสังคมไทย ที่แตกต่างจากสมัยก่อน

ก็หวังว่า การเปลี่ยนแปลงนี้จะเป็นในทิศทางที่ดี

และก็ไม่แน่ เราอาจจะได้เห็นระบบการศึกษาในฝันของเรา อีกไม่ช้า

โดย: kunjoja IP: 125.24.7.203 วันที่: 17 พฤษภาคม 2553 เวลา:18:44:56 น.
  
ระบบการศึกษาของเราต้องพัฒนาตั้งแต่แม่แบบเลยหล่ะครับ งานใหญ่ที่สำคัญแต่รัฐมักมองข้ามมันไป

ถามเด็กๆ ยังตอบได้เลยว่าระบบที่เขากำลังเรียนอยู่มันเน่าแค่ไหน อิอิ ขอให้มันพัฒนาไปบ้างแล้วกัน
โดย: mod IP: 125.27.217.167 วันที่: 19 พฤษภาคม 2553 เวลา:0:18:56 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Kunjoja.BlogGang.com

kunjoja
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]

บทความทั้งหมด