Reviewed: Bric country and a comparison of BRIC to global market cap. เมื่อเช้า ฟังรายการ Money talk หัวข้อ megatrend มีการพูดถึง ศัพท์คำหนึ่ง ประเทศ กลุ่ม bric เลยมาอ่านข้อมูลคร่าวๆ ก็เลยสรุปไว้เพื่อการทบทวนในอนาคต ![]() Goldman Sachs เป็นสถาบันการเงินเพื่อการลงทุนสำคัญของโลก โดยมี Jim ONeill หัวหน้าคณะวิจัยเศรษฐกิจโลกเป็นผู้ทำการศึกษาวิเคราะห์พบว่ากลุ่มประเทศประกอบด้วยประเทศบราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน หลังจากผ่านความลำบากด้านเศรษฐกิจจากระบบการเมืองในอดีต จนปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงระบบโครงสร้างทางการเมืองเพื่อปรับเข้ากับเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันทำให้ประเทศเหล่านี้เริ่มมีจุดเน้นด้านเศรษฐกิจเป็นสำคัญมากขึ้น และน่าจะมีศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจที่เร็วมาก อีกทั้งยังพยากรณ์ไปถึงปี 2593(2050) ว่า BRIC จะมีขนาดเศรษฐกิจขึ้นมาใหญ่แซงหน้ากลุ่มประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลายได้ ดังเช่น ภาพทำพยากรณ์ทำนายGDP ระหว่าง ประเทศ G6 กับ กลุ่มประเทศBRIC ![]() จากภาพขอตั้งข้อสังเกตดังนี้ 1. จะเห็นว่า GDP ของประเทศในกลุ่ม bric จะเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ และภายในปี 2040 เราจะเห็น GDP ของประเทศในกลุ่มนี้เริ่มแซงหน้า กลุ่มในประเทศG6ได้ และในปี 2050ก็จะเป็นผู้นำในด้านเศรษฐกิจมากกว่า G6 2. GDP ในกลุ่ม G6 มีอัตราการเติบโตที่ slowly โดยเฉพาะในช่วง20ปีข้างหน้านี้ (ระหว่าง 2010-2030) จะมีอัตราการเติบโตที่น้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับ bric แล้วประเทศในกลุ่ม BRIC มีอะไรโดดเด่นจนทำให้นักเศรษศาสตร์ต่างๆทั่วโลกมองกันเป็นตาเดียวกัน ผมขอยกเอาบทความ(REF.)มาลงด้วย Brazil - GDP สูงที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ - มีทรัพยากรธรรมชาติและแรงงานเป็นจำนวนมาก - ผู้ส่งออกหลักในด้านวัตถุดิบเพื่อการผลิต เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม - แหล่งผลิตสินค้าเกษตรที่ใหญ่ที่สุดของโลก เช่น กาแฟ ข้าวโพด ถั่วเหลือง Russia - GDP สูงเป็นอันดับ 9 ของโลก - มีทรัพยากรธรรมชาติทางด้านพลังงานมหาศาล มีแหล่งถ่านหินอันดับ 2 ของโลก ก๊าซธรรมชาติ 35% ของโลก น้ำมัน 20% ของโลก - เป็นแหล่งผลิตถ่านหินอันดับ 2 ของโลก India - ประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก และคาดว่าในปี 2040 จะมีประชากรมากที่สุดในโลก- ประชากรมีคุณภาพ มีการศึกษาดี มีความพร้อมทางภาษาอังกฤษ ในขณะที่อัตราค่าแรงไม่สูงนัก จึงเป็นแหล่งการให้บริการในลักษณะ Outsource ให้กับบริษัทในสหรัฐและยุโรปและเป็นผู้ส่งออกหลักในส่วนของสินค้าซอฟต์แวร์ ไอที China - ประชากรมากที่สุดในโลก ทำให้เป็นผู้บริโภคสินค้าและทรัพยากรธรรมชาติรายใหญ่ของโลก - แหล่งผลิตสินค้าอุปโภคและบริโภค รวมทั้งสินค้าอุตสาหกรรมรายใหญ่ของโลก - มีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 4 ของโลกรองจากอเมริกา ญี่ปุ่น และเยอรมนี ........ ในแง่ของตลาดการลงทุนทั่วโลก (จากข้อมูลใน bespokeinvest ) ![]() The current value of all stocks around the world based on Bloomberg data is $46.8 trillion. Even in this post-Collapse age where we have become numb to numbers in the billions and trillions, $46.8 trillion is high. On the day that US equity markets hit their all-time highs in 2007, world market cap stood at $61.26 trillion. At the lows in March 2009, that number stood at $25.6 trillion -- an astonishing one and a half year decline in value of $35.67 trillion, or 58.2%. Since the lows last March, the total value of stocks around the world has risen by $21.2 trillion (82.9%). Global markets need to gain another $14.4 trillion (+31%) to get back to all-time highs. และเมื่อเราเอา Market cap. ของล่าสุด เดือนมีนาคม(จำนวน 46,827 พันล้าน US ) มาแยกประเทศดังนี้ ![]() The US makes up 30% of the total world with over $14 trillion in stock market cap. The top ten markets account for 73% of total pie. Interestingly, the much talked about BRIC economies (Brazil, Russia, India, China) total just over $6 trillion in stock market cap, less than half of America. จากข้อมูลนี้จะเห็นว่า ประเทศในกลุ่ม BRIC ยังมีขนาดของมูลค่าในตลาดหุ้นแค่เพียง ครึ่งเดียวของประเทศสหรัฐหรือเทียบเท่ากับ ราวๆ20 เปอร์ของทั่วโลก แต่จากการศึกษาของ Goldman Sachs นี้ คาดว่าขนาดของมูลค่าตลาดหุ้นในกลุ่ม BRIC จะเพิ่มขึ้นถึงกว่า 50% ในปี 2050 Goldman Sachsก็ยังคาดการณ์ว่า ในอีก 10 ปีข้างหน้าจะเป็นช่วงที่มีการขยายตัวสูงสุดของเศรษฐกิจโลก ด้วยแรงผลักดันจาก ปรากฏการณ์ BRIC หรือ BRIC Phenomena ปรากฏการณ์นี้เกิดจากการขยายตัวของกำลังซื้อในกลุ่มคนชั้นกลางที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากถึง 4 เท่า นอกจากนี้ความต้องการใช้พลังงานและน้ำมันก็คาดว่าน่าจะสูงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์ขั้นพื้นฐานและพลังงานทั้งหลาย โดยคาดว่าโลกจะยังมีความต้องการในอัตราสูง ซึ่งหากไม่มีการลงทุนขุดค้นเพิ่มปริมาณการผลิตกันอย่างต่อเนื่องขนานใหญ่แล้วบราซิล และรัสเซียก็น่าจะเป็นผู้ได้รับอานิสงส์แบบเต็มๆจากภาวะขาดแคลนพลังงานและน้ำมันในโลกครับ และสุดท้าย โอกาสรับผลตอบแทนจากค่าเงินครับ โดยจากโมเดลประมาณการค่าเงินในปี 2050 แสดงว่าค่าเงินที่แท้จริงของจีนมีโอกาสแข็งมากถึง 289% ในขณะที่อินเดียแข็งขึ้น281% ส่วนรัสเซียก็ไม่น้อยหน้าครับ คาดว่าจะแข็งขึ้นถึง 208% โดยมีค่าเงินแซมบ้าตามมาห่างๆแค่ 129% เองครับ! Reference 1. //www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9500000131441 2. //www.bespokeinvest.com/thinkbig/2010/3/22/world-market-cap-at-468-trillion.html 3. //www.depthai.go.th Thanks for your information krub
โดย: Mr.Messenger
![]() ." BRIC Phenomena " จะเกิดขึ้น อีก 10 ปี ฃ้างหน้า
น่าจะเป็น อีกทางเลือกหนึ่ง ของการลงทุน ^o^ ฃอบคุณ น่ะค่ะ...อยากกด ถูกใจ สัก100 ครั้ง 555 โดย: patchanee tan IP: 110.164.247.74 วันที่: 11 ตุลาคม 2553 เวลา:0:08:48 น.
|
บทความทั้งหมด
|