ป่วยด้วยโรค ป่วยด้วยโรค บรรเทาด้วยหมอ ฆ่าด้วยเงิน รักษาด้วยประกัน เสียงตึงตังโวยวายไปทั้งบ้าน แม้ครอบครัวนี้จะอยู่กันเพียงแค่ 2 คนแม่ลูกเท่านั้น แต่เสียงที่ดังมาออกมาจากปากของแม่ กลับตื่นเต้น และตระหนักกลัว นอกจากลูกชายจะท้องเสียแล้ว ดูเหมือนจะอาเจียนด้วย เพราะหลังจากท้องร่วงมาก็ทานน้ำส้มคั้นไป แต่กลับอาเจียนในเวลา 2 ชั่วโมงต่อมา แม่ตัดสินใจพาลูกไปโรงพยาบาลทันที แม้จะเป็นเวลาตี 4 ก็ตาม ลูกชายวัย 8 ขวบ เป็นสิ่งเดียวที่แม่มีอยู่ หลังจากพ่อของลูกเสียชีวิตไปเนื่องจากอุบัตเหตุเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ยังดีที่ทางพ่อไม่ได้ก่อหนี้สินอะไรไว้ให้ แต่ก็ไม่มีทรัพย์สินไว้ให้เหมือนกัน "ดูเหมือนอาหารจะเป็นพิษครับ ช่วงนี้เด็กท้องร่วงเยอะมาก ควรจะนอนโรงพยาบาลเพื่อดูอาการของโรคก่อน " หมอกล่าวเช่นนั้น โชคดีที่เป็นคืนวันศุกร์พอดี ซึ่งเป็นวันหยุดของแม่ และเป็นวันหยุดเรียนของลูก จึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการขาดงานและขาดเรียน ลูกชายวัย 8 ขวบโดนเจาะน้ำเกลือที่มือซ้าย ดูเหมือนเขาจะไม่มีความสุขนัก นอกจากหมดแรงแล้ว ยังมีอาการตัวร้อนเป็นของแถม เย็นวันเสาร์ แม่กำลังป้อนข้าวให้กับลูก ตอนนี้ลูกอาการดีขึ้นหลังจากนอนอยู่โรงพยาบาลมาเกิน 12 ชม . พรุ่งนี้ ลูกคงออกจากที่นี่ได้ เมื่อลูกทานยาคล้อยหลับไป แม่ก็ออกมาติดต่อกับฝ่ายการเงินของโรงพยาบาล " ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเท่าไหร่ค่ะ ? " ผู้เป็นแม่ถาม ใจก็นึกกังวลกับเงินในกระเป๋า เพราะอีก 3 วันต้องจ่ายค่าไฟแล้ว เมื่ออาทิตยย์ที่แล้วก็เพิ่งจะจ่ายค่าเทอมลูกไปหยกๆ ตอนนี้เงินไม่น่าจะพอแหงๆ สำหรับค่ารักษาที่โรงพบายาลเอกชนที่ไม่ต่างกับโรงแรม " มีประกันหรือเปล่าค่ะ " สาวการเงินถามด้วยน้ำเสียงที่น่าฟัง แต่ความหมายกับเสียดแทงผู้เป็นแม่ ก่อนที่พ่อจะเสียชีวิต แม่ไม่ชอบการทำประกันชีวิตเลย เธอคิดว่าเป็นการจมเงินไว้เฉยๆ ไม่ค่าตอบแทน ถึงจะมีค่าตอบแทนในตอนหลัง แต่ก็คงโดนเงินเฟ้อกินหมด ดีไม่ดี ถ้าไม่ป่วย หรือเสียชีวิตขึ้น ก็ไม่เห็นจะมีประโยนช์ แต่ ณ ตอนนี้แล้ว ถ้าเธอมีประกันก็คงจะดีไม่น้อย " ไม่มีค่ะ " แม่ตอบสาวการเงินเสียงเรียบๆ สาวการเงินเริ่มชี้แชงค่าใช้จ่ายทั้งหมด พร้อมปริ้นท์เอกสารนำให้คุณแม่ได้ไปจ่ายเงินที่ช่องชำระเงิน ก่อนพรุ่งนี้เที่ยง .. ค่าใช้จ่ายทั้งหมด 6,320 บาท ประกอบไปด้วยค่าต่างๆมากมายที่เธอนึกไม่ถึง ค่าพยาบาล 1,200 ที่เธอแปลกใจ เพราะเห็นพยาบาลแค่เข้ามาตรวจไข้แล้วก็ไปทุก 2 ชม. เท่านั้นเอง การเปลี่ยนเสื้อผ้า และเช็ดตัวเป็นหน้าที่ของแม่ ไม่น่าเชื่อว่าทำแค่นั้นมีมูลค่าถึง 1,200 บาท หยิบโทรศัพท์ เริ่มโทรหาเพื่อนที่ทำงาน ไม่ค่อยมีใครอยากจะให้ยืมเงินนัก จริงสินะนี่มันวันที่ 22 แล้วนิ ใครๆก็ไม่มีเงิน และกำลังรอเงินเดือนที่จะออกในสิ้นเดือน ไม่อยากจะติดหนี้ทางโรงพยาบาลเท่าไหร่นัก ถึงจะแบ่งจ่ายเป็นงวดๆก็เถอะแต่พอรวมกับดอกเบี้ยแล้ว จ่ายเกือบหมื่นแนะ เปลี่ยนใจ โทรหาญาติที่ไม่อยากจะคุยเท่าไหร่นัก ถ้าไม่ใช่จำเป็น แม่ก็จะไม่รบกวนพวกเขาหรอก " มีเงินให้ยืม 6,000 ไหม หลานป่วยน่ะ เสียงแม่กลั้นใจพูด " ไม่มี " เสียงปลายสายตอบทันที ไม่ใช่เพราะไม่มีหรอก มีแต่ไม่อยากให้มากกว่า .... เสียงปลายสายพูดต่อว่า " ถ้าป่วย ? ถ้าจำไม่ผิด ฉันเคยขายประกันกลุ่มให้ไว้กับครอบครัวของเธอนะ เพียงมีแต่ประกันสุขภาพ ไม่ได้ทำประกันชีวิต สามีเธอไม่ได้บอกหรอ ? ของบริษัทนี้ไง ? " แม่ฟังแล้วแปลกใจ สามีของเธอทำประกันเมื่อไหร่ เธอไม่เคยรู้เรื่อง สามีของเธอเคยปรึกษาเรื่องการทำประกันกับเธอและเธอไม่เห็นด้วย อย่างไรก็ตาม เธอลองติดต่อไปที่บริษัทประกันนั้นทันที โชคดีที่สามีของเธอทำไว้ด้วยจริงๆ แม้จะเป็นประกันกลุ่ม และมีวงเงินค่ารักษาแค่ 5,000 เท่านั้น เช้าวันต่อมา ทางบริษัทติดต่อกับทางโรงพบาบาล เพื่อดำเนินการตามขั้นตอน ไม่เกินเที่ยง ทั้งแม่และลูกก็ออกจากโรงพยาบาล แม่จูงมือลูกเข้าบ้านคิดในใจ บางที เราน่าจะกันเงินส่วนหนึ่งไว้ทำประกันบ้างก็ดีนะ สำคัญครับ เพราะเรามักจะป่วยช่วงเวลาที่ไม่ค่อยมีเงิน แต่เรามักจะไม่ชอบใจเวลาต้องจ่ายค่าประกันทั้งๆที่ไม่ได้ป่วย
แต่ว่าจริงๆแล้ว ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมากในปัจจุบัน ยิ่งไป รพ เอกชน แค่เป็นหวัด ก็โดนเป็นพันแล้ว ไม่ต้องพูดหรอกเรื่องป่วยช่วงอายุเยอะๆ ทำงานทั้งชีวิต ได้ บ้าน ที่ดิน รถ แต่ทั้งหมดนี้ จะหมดไปเพียงแค่อยู่ ICU ไม่กี่สิบวัน จะเพิ่งประกันสังคมก็ไม่ค่อยดี เพราะการที่เราใช้สิทธิ์ ประกันสังคม ก็เหมือนเราไปใช้งบประมาณโรงพยาบาล ทำให้อาจจะได้ยาที่ประสิทธิภาพด้อยกว่ายาที่ได้จากสิทธิ์ประกันชีวิต สรุป ทำเหอะ ทำเวลาที่เราไม่ต้องการ เพื่อที่จะได้มีในเวลาที่จำเป็น ![]() โดย: eggies
![]() |
บทความทั้งหมด
|
น่าสนใจครับ
เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันอย่างหนึ่ง