|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ขวัญข้าเอย บทที่ 1 (วิรมย์รดา)
ลมเย็นยามเช้าพัดโชยเข้าสู่ตัวเรือนเอ้อร์หลิว แดดอันอ่อนโยนเอื้อต่อทุกสรรพสิ่งชวนให้สมองปลอดโปร่งผ่อนคลาย ลงมือทำการใดก็เห็นจะเป็นผลดีไปตลอดวัน ทว่าเช้านี้ฟู่หลิงเฉินกลับต้องฟังเรื่องชวนให้จิตหมอง หลังมื้ออาหารบรรยากาศเบาละมุนของรุ่งอรุณพลันหม่นลงกับ ‘ธุระมงคล’ เร่งด่วนของมารดา นี่เป็นหนที่สิบในรอบปีแล้วกระมังที่มารดาเขาออกปากจะทาบทามหาคู่ดูตัวมาให้เขาเลือก “ขอท่านแม่ได้โปรดเข้าใจข้าสักนิด โรงเตี๊ยมของเราเพิ่งร่วมทุนและขยายกิจการที่เมืองเถา ท่านย่อมรู้ดีว่าจะต้องมีงานในมือข้ามากกว่าเดิม ข้า...” ยังมิทันที่คนเป็นลูกจะชักเหตุผลมาค้านต่อกิจธุระเร่งด่วนที่มารดาอ้างและกำลังจะหามาวางใส่มือ ฟูเหยิน แห่งบ้านสกุลฟู่ก็ร่ายเหตุผลของนางชุดใหญ่ “เจ้าก็ดีแต่อ้างนั่นอ้างนี่ไม่รู้หยุด แม่เห็นเจ้าบอกว่ายุ่งกับงานจนเจียนจื่อจะครบสี่ขวบอยู่ในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว ลูกเจ้ายังเล็กจะให้ขาดความรักจากแม่กินเวลาเนิ่นนานไปถึงเมื่อไหร่กัน พอแม่แนะนำให้รู้จักผู้หญิงดีๆ ที่เหมาะสม เจ้าก็ล้วนปฏิเสธหักหน้าหักไมตรีพวกนางไปเสียหมด” “ข้าต้องไปทำงานแล้ว ไว้กลับมาข้าจะคุยด้วย ลูกลาท่านแม่แล้วขอรับ” ฟู่หลิงเฉินตัดบทเร็วฉับ เขาน้อมกายต่อมารดา ก่อนจะรีบสาวเท้าก้าวยาวๆ เพื่อออกจากรัศมีสายตาของนางฟู่หลัน “กลับมาค่อยคุยรึ! ข้าเป็นแม่เจ้านะ เลี้ยงมาตั้งแต่หัวเท่ากำปั้น มีหรือจะไม่รู้ว่าวันนี้ทั้งวันข้าจะไม่ได้เห็นหน้าเจ้าอีก ต่อให้คืนนี้เจ้าก็คงจะค้างที่โรงเตี๊ยม เจ้าลูกคนนี้นี่!” นางฟู่หลันบ่นไล่หลัง นางถอนหายใจยาวเหยียดกับความไม่ได้ดั่งใจของบุตรชาย ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่อะไรก็ดีไปหมด เป็นเด็กแข็งแรงเลี้ยงง่ายไม่โยเย เคารพเชื่อฟัง พอโตเข้าหน่อยก็มีอยู่เรื่องเดียวเท่านั้นที่เขาจงใจจะฝืนคำสั่งนาง... เรื่องที่ฟู่หลิงเฉินขัดคำสั่งของนางนั้นมันเกิดขึ้นราวห้าปีก่อนที่สามีของนางฟู่หลันได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหันขณะฟู่หลิงเฉินอายุยี่สิบสามปี เขาจึงติดตามลุงใหญ่ผู้เป็นพี่ชายบุญธรรมของบิดาไปเรียนรู้และดูแลกิจการโรงเตี๊ยมไฉฟู่สาขาสองที่เพิ่งเริ่มกิจการยังเมืองกวงเจ๋อซึ่งบิดาเขาเป็นหุ้นส่วนอยู่ครึ่งหนึ่ง และที่นั่นบุตรชายคนเดียวของนางก็ได้พบรักกับหญิงสาวจากสกุลผาย นามว่าชิงซิน หญิงสาวผู้นั้นมีความงาม กิริยาแช่มช้อยสมกุลสตรีอย่างคนที่ได้รับการอบรม แต่คงจะดีกว่านั้นมาก ถ้าผายชิงซินมิใช่บุตรสาวของครอบครัวเศรษฐีตกยาก ครั้นพ่อแม่ตายจากญาติพี่น้องก็แย่งชิงสมบัติและซ่านเซ็นไปคนละที่ คงเหลือเพียงนางกับบ่าวสูงวัยหนึ่งคนอยู่เฝ้าเรือนเก่าซึ่งในตอนนั้นนางได้ไร้ความเป็นเจ้าของแล้ว หญิงต่างวัยสองคนทำได้เพียงรอรับเงินเลี้ยงดูน้อยนิดจากครอบครัวของพี่สาวที่แต่งออกเรือนไป ความงามของผายชิงซินนั้นต้องตาผู้ชายหลายคน ทั้งรุ่นหนุ่มและอายุแก่คราวพ่อ ที่ชราเฒ่าคราวปู่ก็ยังมี แต่ชายพวกนั้นยินดีจะรับนางเป็นเพียงแค่นางบำเรอหรือภรรยาน้อย เพราะฐานะนางไม่เอื้อประโยชน์ต่อตระกูลของฝ่ายชาย หญิงสาวมีความหยิ่งทะนงพอตัวจึงออกปากปฏิเสธน้ำใจจากผู้ชายมากรักทุกคน แม้สุขภาพนางจะไม่ดีเพราะมีโรคประจำตัวตั้งแต่เกิด แต่นางกับบ่าวชราก็รับงานปักผ้ามาทำเพื่อหารายได้อีกทาง ชีวิตนางเหมือนยังเลวร้ายไม่พอ ความสวยดั่งดอกไม้แรกแย้มของสาวอายุสิบแปดนั้นสร้างความพึงพอใจให้พี่เขย เขาผู้นั้นหวังจะรวบหัวรวบหางชิงพรหมจรรย์น้องเมียจึงล่อลวงนางมารับเงินที่โรงเตี๊ยมไฉฟู่ของฟู่หลิงเฉิน และที่โรงเตี๊ยมนั่นเองที่ชายหนุ่มได้พบและยื่นมือเข้าช่วยเหลือนางไม่ให้ตกเป็นทาสบำเรอของพี่เขย เขาจึงได้รับรู้ถึงความทุกข์ยากทั้งหมดของผายชิงซิน เพียงไม่นานทั้งสองคนก็เกิดความรักลึกซึ้งต่อกัน ด้วยความรักและสงสารอยากจะปกป้องนางจากการใส่ความของพี่เขยว่าตัวนางเป็นคนนัดแนะเสนอเอาตัวเข้าแลกเพื่อให้เขาแต่งนางเป็นภรรยาเทียมหน้าพี่สาวอีกคน ฟู่หลิงเฉินจึงขอให้ลุงใหญ่ออกหน้าทำการสู่ขอนางกับบ่าวชราที่นางนับถือประดุจมารดา สองหนุ่มสาวได้อยู่กินฉันท์สามีภรรยาที่โรงเตี๊ยม เพียงส่งข่าวกลับไปบ้านว่ายินดีรับความผิดทั้งหมดที่กระทำเรื่องใหญ่โดยพละการ ครึ่งปีต่อมาบุตรชายคนโตและเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูลก็พาภรรยาของเขากลับมาอยู่บ้านสกุลฟู่ ข่าวดีที่พอจะลดโทษของการออกเรือนโดยไม่ให้มารดาเป็นธุระก็คือผายชิงซินกำลังตั้งครรภ์ หกเดือนหลังจากนั้นหลานชายน่ารักน่าชัง ร่างกายอ้วนท้วนสมบูรณ์ที่ผายชิงซินมอบให้ก็ทำเอานางฟู่หลันคลายความมึนตึงเปิดใจรับสะใภ้คนยากได้หลายส่วน แต่ทว่าทารกน้อยเจียนจื่ออายุได้เพียงขวบครึ่งเท่านั้น ด้วยโรคหัวใจที่เป็นมาแต่กำเนิดก็พรากลมหายใจผายชิงซินไปจากสามีและลูกน้อยของนาง ***** เหงื่อเม็ดโตถูกปาดออกจากหน้าผากน้อยๆ ของจินป๋ายไช่ เด็กหญิงอายุสิบสามปีเดินทางมาถึงประตูเมืองอี้หยางเอาเมื่อเกือบเที่ยง นางไม่อยากจะเสียเวลาอยู่รอท่านยายที่นั่น เด็กน้อยอยากเห็นหน้าท่านยายที่ใจดียินยอมอุปการะนางแทบจะไม่ไหวแล้ว เพราะมาถึงเร็วกว่ากำหนดและเพื่อนของเพื่อนบ้านที่รับค่าจ้างจากญาติครอบครัวที่ห้าซึ่งรับอุปการะนางต้องรีบเดินทางไปยังอีกเมือง พวกเขาจึงไม่มีเวลาจะพานางไปส่งให้ถึงประตูบ้านสกุลฟู่ เด็กหญิงกางแผนที่ที่ท่านลุงท่านป้าวาดให้พอเข้าใจพร้อมแนบจดหมายฝากตัวมาพร้อมกัน “ข้ายินดีรับอุปการะป๋ายไช่” เนื้อความของจดหมายตอบรับจากท่านยายเหม่ยที่อยู่ในห่อผ้าแม้จะสั้น แต่นี่คือสายใยความเมตตาที่นางยินดีมอบให้แก่เด็กหญิงที่เป็นเพียงญาติทางสายเลือดสุดจะห่างเหินเช่นนาง เมื่อจดจำถนนหนทางได้บางส่วนแล้ว จินป๋ายไช่ก็พับเก็บแผนที่ไว้ในสาบเสื้อ เด็กหญิงเดินผ่านร้านรวงมากมาย พยายามอดกลั้นและกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอที่แห้งผาก กลิ่นอันโอชะและหน้าตาที่น่ากินลอยโชยมาจากแผงขายอาหารริมทาง นางหิวเหลือเกินแล้ว เพราะบะหมี่มื้อเช้าที่ได้กินคงถูกย่อยจนไม่เหลือแล้วนั่นเอง ขณะเดียวกันนั้นที่ตรอกเล็กระหว่างบ้านสกุลฟู่และสกุลจ้าว ฟู่เจียนจื่อกำลังขี่คอบ่าวรับใช้วัยสิบสามคนหนึ่งเพื่อจะปีนขึ้นไปบนกำแพงรั้ว “คุณชายน้อย หยุดเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวนายหญิงใหญ่ทราบเรื่องจะดุเอานะเจ้าคะ” เหมียนฮวาพี่เลี้ยงสาวห้ามปราม ใจนางเต้นโครมครามกลัวคุณชายน้อยของบ้านจะตกลงมาได้รับบาดเจ็บ และโทษจากการไม่ดูแลเขาให้ดีคงจะตกถึงมือนางแน่นอน “ยุ่ง! ถ้ากลัวนักก็ไปเลยไป” เด็กชายทำปากยื่นออกคำสั่ง โดยมีลูกบ่าวในบ้านอีกสองคนวัยหกขวบและแปดขวบพยักหน้าเห็นพ้องด้วยความนึกสนุก สายตาของเด็กทุกคนกำลังจับจ้องอยู่ที่รังมดแดงบนต้นไม้ที่อยู่ติดริมรั้ว “รีบๆ สอยมันลงมาเถอะน่า” คุณชายจ้าววัยเก้าขวบผู้เป็นเพื่อนเล่นในบางครั้ง สำทับอย่างเร่งเร้า “เจ้าไม่อยากฟังเสียงนกมันร้องหรือยังไง” บนพื้นใกล้ๆ กันนั่นเองมีรังนกวางอยู่ ลูกนกขนเพิ่งจะเริ่มขึ้นสามตัวกำลังขยับตัวหนีหลายมือที่ลงแรงบีบและขยำร่างกายอ่อนนุ่มของพวกมัน ฟู่เจียนจื่อแม้จะกล้าๆ กลัวๆ ที่จะตีรังมดให้ตกลงมา หากใช้ให้บ่าวทำ จ้าวฉินเล่อก็คงจะกล่าวเหน็บว่าเขาขี้ขลาดตาขาวกลัวแม้กระทั้งมดตัวเล็กๆ อีก เรื่องนี้เขายอมไม่ได้อยู่แล้ว! เสียงให้กำลังใจดังถี่ขึ้น เด็กชายสูดลมหายใจแรงเพื่อปฏิบัติภารกิจอันห้าวหาญในชีวิต “พวกเจ้ากำลังรังแกสัตว์อยู่ไม่รู้หรือไง” จินป๋ายไช่ส่งเสียงขัดขึ้น นางเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ใกล้เด็กกลุ่มนี้ แรกทีเดียวก็คิดว่าจะเดินตรงไปบอกความประสงค์ว่ามาขอพบนางเหม่ยกับบ่าวเฝ้าประตูใหญ่ของบ้านสกุลฟู่ แต่หูนางนั้นกลับได้ยินเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานระหว่างที่เดินมาถึงต้นตรอก ด้วยความอยากรู้ว่าพวกเขามีความสุขด้วยเรื่องอะไรจึงได้ตัดสินใจเดินลัดเลาะมาตามแนวกำแพง จึงได้รู้และเห็นว่ากำลังมีคนจะเอามดลงมากัดนกน้อยเล่น “เจ้าเป็นใคร อย่ายุ่งกับเรื่องของคนอื่น” จ้าวฉินเล่อยืดคอตั้งบ่าแสดงถึงอำนาจที่เขามี คุณชายน้อยสกุลฟู่ที่ยังไม่ทันได้รังมดกระโดดลงจากการขี่คอบ่าวรับใช้ เถอะ...ยึดเวลาออกไปสักหน่อยก็ดี รังหมดใหญ่แบบนั้น น่ากลัวน้อยเสียเมื่อไหร่! “กลับเข้าบ้านกันนะเจ้าคะคุณชาย นายท่านกำลังจะกลับแล้ว” เมื่อพี่เลี้ยงสาวยกเอาบิดามาอ้าง ความเกรงกลัวก็บังเกิดขึ้นภายในใจ “เชอะ! พวกบ้านสกุลฟู่ไม่เอาไหนสักคน ต้าซันขึ้นไปเอารังมดมา ข้าอยากจะเล่นต่อ” เด็กชายที่ชื่อต้าซันรีบปีนขึ้นไปบนกำแพงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะไต่ไปหักเอากิ่งไม้ที่มีรังมดอยู่ลงมาตามคำสั่ง “ไม่เห็นจะยาก” เขารับเอากิ่งไม่มาถือไว้ ก่อนจะใช้มีดสั้นที่บิดาเขาให้ไว้เพื่อพกติดตัวเป็นการอวดศักดาว่าตัวเองโตแล้วแทงเข้าไปในรังมด พวกมดแตกฮือออกมารวดเร็ว เขาจึงทิ้งมันลงบนรังนกที่อยู่บนพื้น “นิสัยไม่ดี!” จินป๋ายไช่ร้อง เด็กหญิงปราดเข้าหวังจะผลักรังมดออกจากนกโชคร้ายพวกนั้น แต่นางกลับโดนผลักจนล้มก้นกระแทก นางอายุมากกว่าซ้ำยังเป็นคนไม่ยอมใคร สู้ชีวิตมาอย่างลำบากแต่เล็กแต่น้อย ต้องปากกัดตีนถีบช่วยญาติหาเงินเสมอ จินป๋ายไช่รีบเด้งตัวลุกขึ้นแล้วเตะรังมดทั้งรังจนกระเด็นถูกตัวของเด็กชายนิสัยไม่ดี หางตาของนางเห็นเด็กชายตัวเล็กที่ก่อนหน้านั้นก็คือคนที่จะขึ้นไปเอารังมดถูกคุ้มครองด้วยหญิงสาวคนหนึ่ง นางทั้งกรีดร้องและใช้มือปัดมดตัวเล็กๆ หลายสิบตัวที่ไต่ขึ้นไปตามเนื้อตัวของเขา ด้วยความเจ็บที่โดนมดเกือบทั้งรังโจมตี ทั้งตกใจที่เด็กผู้หญิงไม่รู้หัวนอนปลายเท้าและมั่นใจว่าเขาไม่เคยพบหน้ามาก่อนเตะรังมดใส่ จ้าวฉินเล่อจึงล้มลุกคลุกคลานลงกับพื้น บ่าวรุ่นเล็กพากันวิ่งพล่านเข้าช่วยเหลือ พอโดนมดกัดก็ชนกันล้มระเนระนาดจนตกคูระบายน้ำข้างกำแพงไปหลายคน รวมทั้งฟู่เจียนจื่อที่โดนลูกหลงจากแรงปะทะนั่นด้วย จินป๋ายไช่เอาห่อผ้าในมือกวาดรังนกให้ห่างออกมาจากวงล้อมของความวุ่นวายนั่น ตัวเองก็โดนมดกัดไปหลายทีจนเผลอลงมือขยี้มดเคราะห์ร้ายพวกนั้นไปหลายตัว มือเล็กรีบดึงมดที่มีฟันแหลมคมออกจากตัวของลูกนก เสียงร้องของพวกมันแสดงถึงความเจ็บปวดได้เต็มสองหู ด้วยเสียงเอ็ดตะโรมากกว่าทุกวัน ก็ทำให้ผู้ใหญ่ของทั้งสองบ้านรีบรุดมายังต้นเสียง ฟู่หลิงเฉินเพิ่งจะก้าวขาลงจากรถม้า เขาพบมารดาที่เพิ่งวิ่งพ้นประตูใหญ่ ตามติดด้วยบ่าวไพร่สองนาง มีเด็กชายซึ่งเป็นลูกบ่าวในบ้านวิ่งนำหน้า “เกิดเรื่องกับเจียนจื่อ” ฟังคำมารดาแล้วเขาจึงได้รีบสาวเท้าตามไป พอไปถึงจุดเกิดเหตุก็พบนายผู้เฒ่าของบ้านจ้าวกำลังออกคำสั่งให้บ่าวรุ่นหนุ่มจับตัวเด็กหญิงคนหนึ่งกดลงแนบพื้น นางฟู่หลันรีบเข้าไปดูหลานรักด้วยความเป็นห่วง หรืออีกนัยก็คือรีบกันฟู่เจียนจื่อให้ออกจากความสนใจของบุตรชายเสียก่อน นางถลกแขนเสื้อของเขาขึ้นก็พบรอยมดกัดอยู่หลายแห่ง เนื้อตัวและเสื้อผ้าของหลานชายยังชื้นน้ำสกปรก นางออกคำสั่งให้บ่าวพาคุณชายน้อยไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนบัญชีต่อคนที่บังอาจทำให้หลานของนางต้องมีสภาพเช่นนี้นางจะอยู่ชำระความเอง! “จับนังเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้านี่ส่งทางการ” ผู้เฒ่าจ้าวสั่งอย่างฉุนเฉียว ยิ่งเมื่อเห็นเลือดที่ขาของหลานชายก็ยิ่งโมโหปราดจะเข้าลงมือกับเด็กหญิงที่เริ่มตัวสั่น เพราะสายตาของผู้ใหญ่หลายคนจ้องจะกินเลือดกินเนื้อนาง “ช้าก่อนท่านผู้เฒ่าจ้าว” ฟู่หลิงเฉินประสานมือคารวะชายสูงวัย “เราจะไม่ไต่สวนกันก่อนหรือว่าเรื่องราวมันเริ่มต้นอย่างไร” ชายหนุ่มออกความเห็น ปรายหางตามองเด็กหญิงที่ในอ้อมกอดมีรังนกอยู่หนึ่งรัง สายตาคมที่มองมานั้นแฝงความเมตตาอยู่หลายส่วน จินป๋ายไช่รู้สึกใจชื้นขึ้น นางจึงกล่าวว่า “ท่านยินดีจะฟังข้าอธิบายใช่หรือไม่ท่านลุง” คนที่ถูกเรียกขานเกินอายุจริงมองใบหน้ามอมแมมของเด็กหญิงที่กำลังจ้องเขาตาใสซื่อ “ว่ามาเถอะ...” “ข้าเห็นพวกเขากำลังจะสอยรังมดจากต้นไม้เพื่อจะเอามากัดลูกนกพวกนี้ ก็เลยเข้ามาห้าม แต่พวกเขาไม่ฟัง เด็กคนนั้น...” จินป๋ายไช่ชี้ไปยังจ้าวฉินเล่อ “ก็สั่งให้บ่าวของเขาผลักข้า มดทั้งรังรุมกัดนกสามตัวนี่ ข้าก็เลยเตะรังมดจนกระเด็นไปถูกเขา แล้วรังมดมันก็แตก มดก็เลยไล่กัดทุกคนไง ข้าก็โดนมันกัดด้วยนะท่านลุง” เด็กหญิงเปิดแขนเสื้อเพื่อแสดงหลักฐานว่านางไม่ได้กล่าวเกินจริง “ข้าไม่ฟัง ใครทำหลานข้ามันก็ต้องถูกลงโทษ!” ผู้เฒ่าจ้าวตวาดใส่จนจินป๋ายไช่สะดุ้งโหยง “จริงของท่านผู้เฒ่า” นางฟู่หลันผสมโรงอย่างเห็นดีด้วย ก่อนจะหันหน้าหลบตาบุตรชาย...เจียนจื่อไม่เกี่ยวนะ “ข้าจะส่งนังเด็กนี่ให้ทางการ” “นางยังเล็ก ไม่รู้ประสา จะไม่เป็นการลงโทษที่หนักเกินไปหน่อยหรือท่าน...แค่ตีสั่งสอนและตักเตือนก็น่าจะพอแล้ว” ได้ฟังที่เด็กหญิงเล่า และมองรูปการทั้งหมดแล้วเขาคิดว่านางไม่ได้กล่าวเท็จเกินจริง ลูกชายของเขาและลูกชายสกุลจ้าวได้กระทำเรื่องไม่ถูกต้อง แต่ครั้นจะไม่เอาโทษนางเลยเรื่องคงไม่จบแน่เพราะคนใหญ่โตคับเมืองอย่างสกุลจ้าวคงคิดว่านี่คือเรื่องเสียหน้า ไหนๆ บ้านเขาก็ถือได้ว่าเป็นโจทย์ร่วม ผ่อนหนักให้เป็นเบาน่าจะดีกว่า ถือเสียว่าทำบุญต่อเด็กที่สอดมือได้ถูกเรื่องแต่ไม่ถูกกับคนนางนี้ “ท่านเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง ย่อมจะไม่ถือสากับเด็กเมื่อวานซืนหรอกนะขอรับ” ฟู่หลิงเฉินกล่าว “เฮอะ!...ข้าเห็นแก่เจ้านะหลานชาย” ครั้นถูกดักคอ ผู้เฒ่าทรงอิทธิพลของเมืองก็สะบัดหน้าอย่างเสียมิได้ “ข้าจะโบยนางสิบไม้” “ห้าไม้พอขอรับ อีกห้าไม้สำหรับบ้านสกุลฟู่” ชายหนุ่มต่อรอง ระหว่างที่ฟังจินป๋ายไช่ก็ใจฝ่อจนจะเหลือเท่าเมล็ดถั่วเขียว อย่างไรกันนี่...นางทำผิดเสียเมื่อไหร่กัน! ไฉนต้องมาโดนหมูแก่อ้วนพุงพลุ้ยตัวนี้สั่งโบยได้เล่า! “ห้าไม้ก็ห้าไม้ เจียวเอ๋อร์ตีนาง” ฟู่ฟูเหยินรีบออกคำสั่ง “ไม่ยุติธรรม! ก็แล้วทำไมท่านยายไม่ตีหลานชายของท่านด้วยเล่า” ก็เท่าที่นางเห็น เด็กทั้งสองคนไม่ถูกดุถูกว่าสักคำ ก็แล้วทำไมผู้ใหญ่พวกนี้ไม่มีเมตตาต่อนางบ้าง นางไม่ใช่คนผิด! นางฟู่หลันยกมือทาบอก “อย่ามาเรียกข้าว่าท่านยาย ข้ามีหลานชายคนเดียว ข้าไม่นับญาติกับเจ้า” “ท่านแม่...” เสียงของฟู่หลิงเฉินแฝงแววละเหี่ยใจที่มารดาลดตัวลงมาต่อปากทะเลาะกับเด็กรุ่นหลาน “ลูกเต้าเหล่าใคร บ้านเจ้าอยู่ที่ไหนรึ” ชายหนุ่มหันกลับมาถามเด็กหญิง แดดยามบ่ายกำลังแรง พวกเขาทั้งหมดกำลังเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง “ข้ามาตามหาท่านยายที่บ้านสกุลฟู่” บอกไปแล้วก็เพิ่งจะนึกได้ว่าท่านลุงคนนี้เพิ่งจะต่อรองขอตีนางห้าไม้สำหรับบ้านสกุลฟู่ “เอ๊ะ!...ท่านอยู่บ้านสกุลฟู่ใช่หรือไม่” ฟู่หลิงเฉินพยักหน้า ก่อนถาม “ยายเจ้าอยู่บ้านข้างั้นรึ” “จะมาแอบอ้างอะไรอีก” นายหญิงใหญ่บ้านฟู่พูดปัด “ยายข้าชื่อว่าเหม่ย ท่านยายเหม่ยอยู่บ้านสกุลฟู่ นางเป็นบ่าวสนิทของคุณหนูผายชิงซิน” “อ้าว...” พอนางฟู่หลันได้ยินถนัดก็นึกขึ้นได้ว่านางเหม่ยได้เคยขออนุญาตจะรับหลานสาวซึ่งเป็นญาติห่างๆ มาเลี้ยงดู เรื่องมันก็ผ่านมาเป็นเดือนจนนางลืมเสียสนิท ขณะเดียวกันนั้นเอง ก็มีเสียงทักขึ้น “ป๋ายไช่” เมื่อเด็กหญิงหันไปตามเสียงเรียกชื่อของนาง ก็พบสตรีสูงวัยท่าทางใจดีคนหนึ่ง นางเหม่ยเดินงกเงิ่นตามอายุเข้าหาเด็กหญิงที่รับอุปการะ เป็นครั้งแรกที่นางได้พบกับแม่หนูคนนี้ “ขออภัยนายท่านด้วยเจ้าค่ะ ข้าไม่ค่อยสบายก็เลยเผลอหลับไป พอดีได้ฟังเรื่องคุณชายน้อยจากเหมียนฮวา ก็เลยรีบออกมา” “ท่านไม่สบาย มีใครตามหมอหรือยัง” ฟู่หลิงเฉินถามด้วยความเป็นห่วง แม้ว่านางเหม่ยเป็นบ่าวของบ้านสกุลผาย แต่นางก็คือคนที่เลี้ยงดูภรรยาเขามา นางจึงเปรียบเป็นหนึ่งญาติผู้ใหญ่ของเขาด้วย และยังให้บุตรชายเรียกหญิงชราด้วยความเคารพว่าท่านยาย “ขอบคุณคุณชายใหญ่ คนแก่ก็เลือดลมตีรวนเป็นธรรมดาเจ้าค่ะ” “เด็กคนนี้เองหรือที่จะมาอยู่กับเรา” นางฟู่หลันถาม เด็กนี่มองดูท่าจะพยศไม่น้อยเชียว “เจ้าค่ะ” “แม้นางจะเป็นคนบ้านท่านแล้ว แต่อย่าลืมโทษของนางเสียล่ะ” เฒ่าแซ่จ้าวยืนฟังมาชั่วครู่แล้วสอดขึ้น เมื่อนางเหม่ยเสียเวลาฟังเรื่องราวจากปาก ของจินป๋ายไช่อีกหน บ่าวอย่างนางก็ไม่อาจจะช่วยหลานสาวได้อยู่ดี หญิงชราจึงทรุดนั่งลงข้างกายหนูน้อย นางกระซิบเสียงแผ่วเบา... “โปรดเห็นแก่ยายสักครั้งเถิด” จินป๋ายไช่สูดลมหายใจไตร่ตรอง นางมาอยู่ใหม่ไม่ควรจะทำให้ท่านยายผู้อารีต้องเดือดร้อนเพราะนาง “ข้ายินดีรับโทษเจ้าค่ะท่านยาย” เด็กหญิงพยักหน้า นางลุกขึ้นยืน ก้าวอย่างเด็ดเดี่ยวเข้าหาไม้เรียวในมือใหญ่ของบ่าวบ้านสกุลจ้าว เสียงดังขวับๆ ติดต่อกันห้าครั้ง จินป๋ายไช่กัดฟันแน่น นางไม่ร้องไห้ออกมา ก่อนจะเดินกลับมาหากลุ่มคนของบ้านสกุลฟู่ “ข้าขอโทษกับความผิดทั้งหมดนะเจ้าคะ” เด็กหญิงวัยสิบสามเอ่ยกับนางฟู่หลัน เด็กหญิงโดนตีอีกห้าครั้ง แต่เป็นห้าครั้งที่เบากว่าแรงไม้เรียวของบ้านสกุลจ้าวเพราะฟู่หลิงเฉินได้แอบส่งสัญญาณขอร้องต่อเจียวเอ๋อร์บ่าวหญิงของมารดา และนางผู้นั้นก็ยินดีทำตามคำสั่งของเขาทุกอย่างอยู่แล้ว โดนตีสิบครั้งในวันแรกที่มาถึงนี่ถือเป็นการรับขวัญนางได้หรือไม่ จบเรื่องแล้วเด็กหญิงจินป่ายไช่ก็เดินอุ้มรังนกติดตามท่านยายเหม่ยของนางเข้าประตูบ้านสกุลฟู่ บ้านที่ต่อไปนี้คือที่ซุกหัวนอนของนาง และนางหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านยายจะเมตตารับเลี้ยงนาง โดยไม่ต้องส่งต่อให้ครอบครัวอื่นอีก...
รายละเอียดการสั่งจองหนังสือทำมือ ขวัญข้าเอย
Create Date : 26 กันยายน 2554 |
Last Update : 29 กันยายน 2554 10:49:00 น. |
|
0 comments
|
Counter : 548 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]
|
|
|
|
|
|
|
|