|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ขวัญข้าเอย บทที่ 6 (วิรมย์รดา)
ผ่านมาแล้วสองวัน เสียวไท่ที่วิ่งเตลิดออกจากเรือนไม้หอมจนเปียกฝนมะลอกก็ออกมาวิ่งเล่นพร้อมกับเสี่ยวชินและฟู่เจียนจื่อเจ้านายของพวกมันภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของเฮ่อหนานและหวังจง แต่จินป๋ายไช่กลับต้องนอนซมเพราะพิษไข้ เวลาที่นอนแซ่วอยู่บนเตียงทำให้นางได้หวนคิดถึงบุคคลในครอบครัวที่จากนางไป เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้นางกลายเป็นเด็กกำพร้า ต้องรอนแรมไปอาศัยบ้านญาติๆ จนได้มาอยู่ที่บ้านสกุลฟู่ หากว่านางไม่สร้างปัญหาจนเจ้าของเรือนขับไล่นางไปเสียก่อน นางก็หวังให้บ้านสกุลฟู่เป็นแหล่งพักพิงแห่งสุดท้ายของชีวิตนาง ร่างบางพลิกหันหน้าเข้าผนัง นางเลื่อนผ้าห่มลงไปไว้ที่ช่วงเอว ความชื้นของเหงื่อบนผิวกายบ่งบอกว่าไข้กำลังจะส่าง พรุ่งนี้นางก็คงกลับมาแข็งแรงดังเช่นเดิม หญิงสาวรู้สึกดีที่จะได้เริ่มวันใหม่ด้วยสภาพร่างกายที่พร้อมจะดูแลคุณชายน้อยของนางอีก วันนี้อากาศค่อนข้างดี ไร้เมฆฝนกวนใจ ที่ด้านนอกเสียงหัวเราะของคุณชายตัวน้อยยังแว่วมาให้ได้ยินเป็นระยะ และอีกหนึ่งเสียงที่ได้ยินอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจนนางจำได้ติดหูก็คือเสียงของนายท่านนั่นอีก เวลาเนิ่นนานที่นางได้ยึดเอาร่างกายนายท่านเป็นที่พึ่งพิง ความอ่อนโยนและไออุ่นจากอ้อมอกเขา ทำให้นางลืมถ้อยคำที่เขาเคยดุ เคยตวาดจนนางเอามาคิดน้อยเนื้อต่ำใจไปสิ้นแล้ว เสียงกระซิบย้ำปลอบขวัญนางเมื่อวันฝนกระหน่ำช่างอ่อนโยน และตราตรึงอยู่ภายในใจยากลืมเลือน ในตอนนั้นนางที่เป็นเพียงบ่าว บ่าวที่รังแต่สร้างปัญหาและความขุ่นใจแก่นายท่าน เขาจะทำเพิกเฉยปล่อยนางตามยถากรรมก็ย่อมทำได้ แต่นายท่านกลับมีน้ำใจสูงส่งนัก นางสัญญากับตัวเองว่าจะเป็นบ่าวที่ดีคอยปรนนิบัติรับใช้เขาและคุณชายน้อย เพื่อตอบแทนบุญคุณคนบ้านฟู่ให้ได้มากที่สุด... ***** ปลายฤดูฝน อากาศเย็นสบาย คงอีกนานกว่าหิมะสายแรกของต้นฤดูหนาวจะตก สมาชิกบ้านสกุลฟู่กำลังจะไปพักผ่อนที่เมืองเหยาอันซึ่งมีกิจการโรงเตี๋ยมของตระกูลตั้งอยู่เป็นเวลาสิบวัน และการเดินทางหนนี้นางฟู่หลันได้วางแผนที่จะให้ความสัมพันธ์ของบุตรชายกับหม่าฉางซิ่วแนบแน่นขึ้นกว่าเดิม ขบวนรถม้าของสมาชิกทั้งสองตระกูลและบ่าวไพร่จำนวนหนึ่งจึงออกเดินทางตั้งแต่ย่ำรุ่ง เพราะต้องใช้เวลาเดินทางสองวันจึงจะเข้าเขตตัวเมืองเหยาอัน “เป็นไงเล่าป๋ายไช่ ว่าที่ลูกสะใภ้ของข้า นางงามไหม” นางฟู่หลันที่นอนเอนกายให้หญิงสาวบีบนวดอยู่ภายในรถม้าที่กำลังเคลื่อนตัวถามขึ้น จินป๋ายไช่ไม่ต้องคอยดูแลหลานชายของนางตอนนี้ เพราะว่านางส่งเขาไปนั่งในรถม้าอีกคัน คันที่มีหม่าฉางซิ่วนั่งอยู่ และแน่ใจว่าตอนนี้บุตรชายของนางก็คงจะขี่ม้าเลียบเคียงคู่กันไป “เบาหน่อยเจียวเอ๋อร์ อยากให้กระดูกยายแก่อย่างข้าหักหรืออย่างไร” นางฟู่หลันท้วง เมื่อผลจากคำถามของนางที่มีกับจินป๋ายไช่แสดงออกมาเป็นแรงบีบนวดของสาวใช้คนสนิท “บ่าวขออภัยเจ้าค่ะ ก็เมื่อครู่รถมันตกหลุมพอดีนี่เจ้าคะ บ่าวตกใจ” เจียวเอ๋อร์แก้ตัวตามเหตุการณ์ที่เป็นจริง...บางส่วน ใช่สิ...อย่างนางหรือจะนุ่มนวลเป็นที่ถูกอกถูกใจนายหญิงสู้คุณหนูฉางซิ่วนั่นได้ น่าน้อยใจนัก “เจ้ายังไม่ตอบคำถามข้านะป๋ายไช่” คนถูกถามยิ้มและพยักหน้าเห็นด้วยอย่างสัตย์จริง “คุณหนูฉางซิ่วงามมากเจ้าค่ะ” นางเพิ่งจะได้มีโอกาสพบหน้าคุณหนูบ้านหม่าเมื่อเช้า แต่ก็รู้มาก่อนแล้วว่านายหญิงหมายมั่นมากเพียงใดที่จะได้นางมาเป็นลูกสะใภ้ เพราะนายท่านฟู่หลิงเฉินกับนางนั้นเหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยกมิผิดเพี้ยน “ข้าก็หวังว่าไปเที่ยวคราวนี้ลูกข้าและหลานข้าจะถูกใจนางมากกว่าเดิม” การจะทำให้บุตรชายรักใคร่ชอบพอหม่าฉางซิ่วนั้นว่ายากแล้ว แต่การจะทำให้หลานชายสุดรักของนางรักและอยากจะได้นางมาเป็นมารดานั้นนับว่ายากเป็นสองเท่า “หลานนึกว่าจะมีเพียงท่านย่า ท่านพ่อและหลานเท่านั้น” “ไปหลายๆ คนน่าจะสนุกกว่า คนกันเองทั้งนั้น น้าฉางซิ่วน่ารักและใจดีออก เจ้าก็เคยไปเล่นบ้านนาง นางก็เคยมาเยี่ยมเจ้าที่บ้านเราออกบ่อยนี่นา” “ก็เพราะพบหน้ากันบ่อยแล้วไง” จนด้วยคำตอบ นางจึงตัดบทไปว่า “ไม่รู้ละ ก็ย่ากับท่านยายเมิ่งจือตกลงกันแล้วว่าพวกเราจะไปเที่ยวด้วยกัน” “น่าเสียดายที่พาเสี่ยวชินและเสียวไท่ไปด้วยไมได้ แต่ก็ยังดีที่หลานมีป๋ายไช่...” นางฟู่หลันลอบมองพี่เลี้ยงสาววัยสิบหกของหลานชาย นึกไม่ถึงว่าเจียนจื่อจะชื่นชอบนางมากเพียงนี้ ทั้งที่แรกพบและความสัมพันธ์ก่อนหน้าหลายปีนั้นใช่ว่าจะดีนัก นับว่าไม่เลวที่เด็กคนนี้สามารถมัดใจหลานชายของนาง ครั้นปรายตามองเจียวเอ๋อร์ นายหญิงใหญ่บ้านฟู่ลอบถอนลมหายใจเบาๆ เจียนจื่อไม่ค่อยถูกชะตากับนางเอาเสียเลย ที่คิดจะให้นางเป็นเมียน้อยของบิดาเขาเห็นทีคงไม่สำเร็จแน่ เพราะพ่อแสดงออกแน่แล้วว่าไม่เอา และลูกชายก็ไม่สน นางก็รู้สึกผิดที่ไปให้ความหวังกับหญิงสาวจนนางหลงรักหลิงเฉินจนหมดใจเข้าแล้ว การหาสามีที่ดีให้นางหลังจากจัดการเรื่องคู่ครองบุตรชายได้แล้วคงจะพอไถ่โทษของความรู้สึกผิดนี่ได้บ้างกระมัง “ป๋ายไช่...เจ้าอยู่ใกล้เจียนจื่อ ข้าอาจจะมีเรื่องวานให้เจ้าช่วย” ความคิดที่จะยืมมือจินป๋ายไช่ช่วยเป็นแรงหนุนแม่เลี้ยงคนใหม่ของหลานชายผุดขึ้นในหัว “หากนายหญิงคิดว่าบ่าวทำได้ บ่าวก็ยินดีเจ้าค่ะ” จินป๋ายไช่รู้สึกดีที่บ่าวอย่างนางมีความสามารถที่จะทำงานตอบแทนคุณผู้เป็นนายได้ ยิ่งเป็นเรื่องของคุณชายน้อยด้วยแล้ว นางยิ่งจะทำอย่างสุดฝีมือเลยทีเดียว “ขอบใจเจ้ามาก ไว้ถึงเหยาอันก่อน แล้วข้าจะบอก” เพราะขืนบอกนางต่อหน้าเจียวเอ๋อร์ในยามนี้ เนื้อของนางฟู่หลันก็คงจะช้ำด้วยเจียวเอ๋อร์เผลอลงแรงบีบเพราะอารมณ์ขุ่นมัวอีกเป็นแน่ “พอได้แล้วเจียวเอ๋อร์ ข้ารู้ว่าเจ้าเหนื่อยแล้ว พักดื่มชาอุ่นๆ เสียก่อนเถอะ” นางฟู่หลันสั่ง เจียวเอ๋อร์รับคำ นางผละมือออกแล้วดึงผ้าห่มผืนบางขึ้นคลุมขาของนายหญิง ก่อนหันหน้าเพื่อซ่อนอารมณ์ไปจัดการรินน้ำชาในกาขึ้นมาจิบ คราวนั้นก็สู้อุตส่าห์แกล้งจินป๋ายไช่ให้วิ่งจนเหงื่อซก ตามหาสุนัขน่ารังเกียจพวกนั้น หวังให้นางถูกดุด่าว่าดูแลพวกมันไม่ดี การณ์กลับกลายเป็นว่าสร้างโอกาสให้นางเด็กเมื่อวานซืนกับคุณชายใหญ่ได้อยู่กันตามลำพังในเรือนเพาะกล้าตลอดเวลาที่ฝนตก นางแทบจะควันออกหูเมื่อได้รู้ว่าคุณชายถึงขนาดอุ้มเด็กพี่เลี้ยงนั่นเดินขึ้นเรือน แล้วนี่นางยังต้องติดตามมารับรู้และร่วมยินดีกับความรักครั้งใหม่ของชายที่นางหมายปองกับผู้หญิงสกุลหม่าอีกหรือ นางรักและยินดีจะปรนบัตินายหญิงที่ชุบเลี้ยงเด็กกำพร้าเช่นนาง แต่ก็รู้สึกเคืองโกรธสตรีสูงวัยอยู่เหมือนกัน ถ้าหากนางบื้อใบ้ไม่รู้เรื่องราวว่าตัวเองเคยถูกวางไว้ในตำแหน่งเมียน้อยของคุณชาย และถ้านางไม่คิดมักใหญ่เกินตัวไปแอบหลงรักเขาเข้า วันนี้นางจะเจ็บปวดใจอย่างที่เป็นอยู่หรือไม่ แต่จะโทษใครได้เล่า ในเมื่อชีวิตนางมันก็เพียงแค่เศษธุลีให้คนอื่นเขาเหยียบย่ำไม่ใส่ใจว่านางจะรู้สึกเช่นไร... ***** ใช้เวลาเดินทางสองวันก็มาถึงบ้านพักในเมืองเหยาอัน ฤดูร้อนเมื่อสองปีก่อนฟู่หลิงเฉินเคยพาบุตรชายมาพักที่นี่นานครึ่งเดือน ทีแรกชายหนุ่มกะว่าจะมาดูงานตามลำพังให้เสร็จแล้วรีบเดินทางกลับจะได้ไม่ลำบากเพราะใกล้เข้าฤดูหนาวแล้ว แต่เพราะมารดาเอ่ยปากอยากจะมาพักผ่อนเปลี่ยนบรรยากาศจำเจของเมืองอี้หยาง บุตรชายผู้กตัญญูจึงทำใจเชื่อเหตุผลและเออออตามน้ำไปกับแผนการของมารดา บ้านพักของสกุลฟู่ที่เมืองเหยาอันมีอาณาบริเวณเพียงหนึ่งในสามของบ้านที่เมืองอี้หยาง มันตั้งอยู่ใกล้เชิงเขาอวิ๋นซาน ตัวเรือนสามหลังปลูกสร้างเรียงลำดับกัน เรือนพักหลังใหญ่นั้นอยู่ด้านหน้า ใช้เป็นเรือนพักของเจ้าบ้านและแขกคนสำคัญ กั้นกลางด้วยศาลาและสวนไม้ดอกก่อนจะเข้าซุ้มประตูหินแกะสลักไปยังเรือนหลังที่สอง ส่วนเรือนหลังสุดท้ายนั้นเป็นที่พักอาศัยของบ่าวดูแลบ้านและบ่าวที่ติดตามมาจากเมืองอี้หยาง กั้นมุมหนึ่งเป็นห้องครัวและส่วนซักล้าง เดินเท้าราวหนึ่งเค่อจะเจอธารน้ำไหลผ่านลงไปยังชุมชนเมืองเบื้องล่าง พระอาทิตย์ดวงโตกำลังจะลับทิวเขาอวิ๋นซาน บรรดาสาวใช้ที่ติดตามมาต่างทยอยนำอาหารออกมาตั้งสำรับ สมาชิกบ้านฟู่และสองแม่ลูกตระกูลหม่านั่งพร้อมพรักประจำในที่ตนเพราะต่างก็คุ้นเคยมิใช่คนแปลกหน้าต่อกัน ด้านหลังนางฟู่หลันมีเจียวเอ๋อร์ยืนรอพร้อมปรนนิบัตินายหญิง เช่นเดียวกับจินป๋ายไช่ที่อยู่คอยดูแลคุณชายน้อยของนาง รอจนกว่าสำรับพร่องไปกว่าครึ่ง สาวใช้คนสนิทและพี่เลี้ยงสาวจึงได้ปลีกตัวออกจากห้องโถงใหญ่เพื่อจัดการกับอาหารในส่วนของตน หลังอาหารคาวผ่านไป สาวใช้ก็ยกถั่วแดงต้มน้ำตาลเข้ามา “ไว้พรุ่งนี้ข้าขออนุญาตทำอาหารให้พวกท่านทานนะท่านป้าหลัน” “อู้ย...ดีเลย เจ้าอยากทำอะไรก็สั่งๆ พวกบ่าวไพร่ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าป้าจะให้พวกเขาเข้าตลาดไปหาซื้อผัก ซื้อปลามาให้เจ้า เจ้ากับลูกอยากจะกินอะไรเป็นพิเศษ ก็บอกน้องฉางซิ่วได้เลย” นางฟู่หลันได้ทีจึงรีบหันมาคะยั้นคะยอถามความต้องการของบุตรชาย “ไม่ต้องเกรงใจข้านะพี่หลิงเฉิน ข้าอยากขอบคุณพวกท่านที่อุตส่าห์ชวนข้ากับท่านแม่ออกมาเปิดหูเปิดตาไกลถึงเมืองเหยาอัน” นวลหน้าแฉล้มแย้มยิ้มอย่างจริงใจ ฟู่หลิงเฉินยิ้มตอบด้วยไมตรี เขาใช้ช้อนไม้คนเม็ดถั่วในถ้วยให้ควันลอยกรุ่นขึ้นมาก “พวกข้ากินง่าย จะอย่างไรก็ได้ แล้วแต่เจ้าเถอะ” เพราะคำตอบของบุตรชายค่อนข้างสั้น และเขาก็ทำท่าสนใจของหวานตรงหน้ามากกว่าจะพูดคุยหยอกเย้าสานสัมพันธ์กับว่าที่ภรรยาที่นางหมายมั่นไว้ ผู้มารดาจึงกล่าวแทรกขึ้น “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ก็แสดงฝีมือให้เต็มที่เลยนะซิ่วเอ๋อร์ เดี๋ยวป้าจะแนะให้เจ้ารู้เองล่ะว่าพี่หลิงเฉินของเจ้ากับเจียนจื่อชอบทานสิ่งใดเป็นพิเศษ ลองได้ลิ้มชิมรสมือเจ้าแล้ว คร้านพวกเขาจะติดใจ ทีนี้ละ...เจ้าอาจจะต้องเดือดร้อนเทียวมาเทียวไปเพื่อทำของอร่อยๆ มาฝากพวกเขาไม่รู้หยุด” นางฟู่หลันเอ่ยไม่เกรงว่าหญิงสาวจะกระดากอายสักนิดกับคำกล่าวพี่หลิงเฉินของเจ้า... หม่าฉางซิ่วยกมือปิดปากด้วยความเขินอาย นัยน์ตาหวานรื่นทอดสบกับสายตาคมของชายหนุ่มที่นั่งตรงกันข้าม “ไม่ถือเป็นเรื่องลำบากเลยสักนิดค่ะท่านป้า ข้าดีใจเสียอีกที่มีคนชอบรสอาหารที่ข้าทำ” การที่ชายหนุ่มอายุมากกว่านางหลายปีนั้นไม่ใช่เรื่องที่นางต้องเก็บมาคิดเลย ฟู่หลิงเฉินนั้นรูปร่างสูงได้ส่วน มองแล้วไม่เก้งก้างเหมือนพวกคุณชายสำอางค์ เขาขยันจนกิจการของครอบครัวรุ่งเรือง แม้จะมีลูกติด แต่เจียนจื่อก็เป็นเด็กน่ารัก เคารพเชื่อฟังท่านย่าและบิดาเป็นอย่างมาก และเท่าที่คนของบ้านนางค้นสืบและเล่าให้ฟัง ชายหนุ่มไม่เคยมีข้อครหาเสื่อมเสียในเรื่องสตรี ที่เขาได้เคยหาความสุขบ้างตามประสาผู้ชายก็เป็นส่วนน้อย มิได้เลี้ยงดูใครตั้งแต่ภรรยาของเขาตายจาก กับสาวใช้ในบ้านก็ไม่มีเรื่องว่าเคยได้ยุ่งเกี่ยว ถ้านางตกลงแต่งกับเขาก็เบาใจได้ว่าเขาจะมีนางคนเดียว ไม่มีปัญหาเรื่องนางเล็กๆ มากวนใจ “มื้อใดที่ซิ่วเอ๋อร์ของข้าลงครัวแสดงฝีมือ มื้อนั้นบิดาของนางเป็นต้องบ่นอุบว่าแน่นท้องเพราะกินจนอิ่มแปล้” นางเมิ่งจือสำทับชื่นชมบุตรสาว แล้วสตรีสูงวัยสองนางก็หัวเราะเป็นที่ถูกใจ บรรยากาศชื่นมื่นสุขสราญบานใจยังดำเนินต่อไปครู่หนึ่ง เพราะเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยทั้งวันจึงตระเตรียมที่จะพักผ่อนเอาแรง ก่อนจะลุกจากโต๊ะนางฟู่หลันจึงเสนอรายการอาหารของบุตรชายนางมาสองอย่าง ของหลานชายนางหนึ่งอย่าง “หลานอยากจะกินแป้งตากของป๋ายไช่ อากาศแบบนี้ก่อไฟตอนค่ำๆ แล้วย่างให้แป้งมันพอง คงจะทั้งอุ่นและอร่อยดีไม่น้อย” ฟู่เจียนจื่อที่จัดการเม็ดถั่วแดงจนเกลี้ยงออกความเห็นของเขาบ้าง “จะไปเอาของแบบนั้นมาจากไหนกัน” นางฟู่หลันแย้ง เด็กน้อยทำหน้าเมื่อย เขาถอนใจยาวๆ ออกมา “นั่นสิขอรับท่านย่า ถ้ารู้ว่าจะได้มาที่นี่ล่วงหน้าสักหน่อย ข้าคงให้ป๋ายไช่ทำแป้งตากของนางนำติดตัวมาด้วยแล้ว และอีกอย่างข้าอยากกินกับข้าวฝีมือป๋ายไช่” คำพูดของเด็กชายทำให้หม่าฉางซิ่วเริ่มให้ความสนใจต่อพี่เลี้ยงของเด็กชาย ก็พรุ่งนี้นางบอกจะทำกับข้าวฝีมือนางให้กิน แต่เขากลับออกปากว่าอยากจะกินฝีมือของสาวใช้ นั่นมันรสมือเดิมๆ ที่เขากินอยู่เกือบจะทุกวันตอนที่อยู่อี้หยางมิใช่หรือ ฟู่หลิงเฉินมองหน้าของหญิงสาวบ้านหม่าที่เปลี่ยนวูบนึงก็หันมาเตือนบุตรชายแผ่วเบาว่าทำตัวเสียมารยาท แต่หญิงสาวกลับยิ้มแย้มออกปากไม่ถือสา “เจียนจื่อคงจะติดนางมาก พี่เลี้ยงคนนี้คงจะทำกับข้าวเก่งนะคะท่านป้าหลัน” หม่าฉางซิ่วถามขึ้นเพื่อเก็บรายละเอียดมิให้ตกบกพร่อง “นางเย็บปักได้สวย ฝีมือทำกับข้าวก็รสดี ดูแลและเข้ากับเจียนจื่อได้ดีกว่าสาวใช้คนไหนๆ อีกอย่างที่ป้าติดใจก็คือนางนวดเก่ง แต่ป้าไม่ค่อยให้ป๋ายไช่ทำอาหารหรอกเพราะงานหลักของนางคือต้องคอยดูแลเจียนจื่อ” นางฟู่หลันบอกเล่าคุณสมบัติของเด็กในปกครองไม่ปิดบัง เพราะจินป๋ายไช่คือหนึ่งในความภูมิใจในการอบรมคนของนาง “น้าฉางซิ่วทำอาหารอร่อยมาก เจ้าก็ชอบขนมที่น้าเขาทำมาฝากไม่ใช่หรือ” นางฟู่หลันถามหลานชาย ครั้นฟู่เจียนจื่อพยักหน้ารับ หม่าฉางซิ่วก็ยิ้มพอใจที่เด็กชายชอบขนมของนาง “พรุ่งนี้ก็กินกับข้าวฝีมือน้าฉางซิ่วกัน ของป๋ายไช่น่ะจะกินเมื่อไหร่ก็ได้” “ขอรับท่านย่า” ฟู่เจียนจื่อรับคำ แล้วเด็กชายก็หันมาหยอดคำหวานใส่หม่าฉางซิ่ว “พรุ่งนี้เขาจะรอกินกับข้าวฝีมือของท่านน้านะขอรับ” คุณหนูสกุลหม่าจึงได้ยิ้มแย้มแก้มสุกใส ก่อนทั้งหมดจะแยกย้ายกันกลับเข้าห้องพักของตน ***** เพราะมีหม่าฟูเหยินและบุตรสาวของนางมาพักด้วย เพื่อความเหมาะสมเรือนใหญ่จึงเป็นที่พักของนางฟู่หลันและแขกทั้งสองนาง สัมภาระของฟู่หลิงเฉินและบุตรชายถูกนำมาจัดไว้ยังเรือนอีกหลัง เรือนหลังนี้มีห้องที่สร้างหันหน้าเข้าหากันสองฝั่ง ฝั่งละสามห้อง ห้องนอนใหญ่ของฟู่หลิงเฉินอยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องของบุตรชาย มีโต๊ะหินตั้งไว้กลางสวนขนาดเล็กที่อยู่ตรงกลาง และมีบ่อปลาขนาดเล็กขนาบสองข้างทางเดินไปมาระหว่างทั้งสองฝั่งเรือน ที่พิเศษคือเรือนหลังนี้ยังมีส่วนที่เป็นศาลาใหญ่ซึ่งด้านหนึ่งสามารถเดินขึ้นไปตามขั้นบันไดหินเพื่อเข้าไปยังสวนป่า และมองเห็นทิวทัศน์ของเขาอวิ๋นซานได้ชัดเจน ภายในห้องส่วนตัวของคุณชายน้อยฟู่เจียนจื่อ จินป๋ายไช่กำลังจัดผ้าปูเตียงตรวจดูความเรียบร้อยอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง แล้วพาเด็กชายขึ้นนั่งข้างบน ส่วนนางก็กำลังก้มๆ เงยๆ กับการจัดฟูกนอนของตัวเองบนพื้นแถวปลายเตียง ก่อนจะนั่งลงเหยียดขาบนผืนผ้านวม มีเสียงเคาะประตูหน้าห้อง “พ่อจะเข้าไปนะ” หญิงสาวเก็บขานั่งอยู่ในท่าเรียบร้อย เมื่อรู้ว่าใครกำลังเดินผ่านเข้ามา ฟู่หลิงเฉินทรุดกายลงนั่งบนเตียง “พ่อเห็นพวกเจ้ายังไม่ดับไฟ” “ข้ากำลังจะฟังนิทานพอดี ดีแล้วที่ท่านพ่อมา” ร่างเล็กเบียดชิดเข้าไปติดบิดาอย่างออดอ้อน “หนึ่งเรื่องก่อนนอนนะขอรับ สั้นๆ ก็ได้” เพราะขี่ม้าและสลับนั่งรถม้าตลอดทาง ไม่ได้หยุดพักยืดเส้นยืดสายด้วยเกรงว่าจะมาไม่ถึงที่นี่ก่อนตะวันตกดิน ความเหนื่อยล้าส่วนหนึ่งนั้นหายไปกับการแช่น้ำอุ่น ชายหนุ่มเหยียดขาตัวเองออกจนสุด เสียงครางแผ่วเบาเล็ดลอดถึงหูของเจ้าตัวเล็กที่อยู่ข้างๆ “ป๋ายไช่...ป๋ายไช่” ฟู่เจียนจื่อกวักมือเรียกพี่เลี้ยงของเขา “มานวดให้ท่านพ่อที” “ได้เจ้าค่ะ” หญิงสาวที่คลานมาใกล้เตียงแล้วรับคำ แต่ขณะที่กำลังยื่นสองมือเข้าหา นายท่านของนางก็ทำท่าจะชักขาออกห่าง นางจึงชะงักมิกล้าจะทำสิ่งใดต่อ “นางนวดเก๊ง...เก่ง ท่านย่ายังชม” ฟู่เจียนจื่อเข้าใจว่าบิดาไม่เชื่อมือพี่เลี้ยงของเขา “พ่อรู้...” “ท่านพ่อทำงานหนักจะตาย ข้ายังเคยได้ยินท่านบ่นว่าปวดเมื่อย เอาอย่างนี้ดีไหมขอรับ ต่อไปนี้ข้าให้ยืมตัวป๋ายไช่ไปนวดคลายปวดเมื่อยให้ท่านก่อนนอนทุกคืน ดีไหมป๋ายไช่...” “เจ้าค่ะ” เรื่องที่จะส่งผลดีต่อนายท่านนางย่อมต้องเห็นว่าดีอยู่แล้ว “ไม่ได้ๆ เจ้าไม่กลัวนางจะเหนื่อยหรือไง นอกจากดูแลเจ้าแล้ว ไหนจะต้องแบ่งเวลาไปดูแลยายเหม่ย ไปนวดให้ท่านย่า แล้วยังต้องวิ่งวุ่นกับเจ้าสองตัวหางชี้นั่นอีก ตกดึกพ่อก็เห็นป๋ายไช่ขยันเรียนหนังสือไม่ได้หยุด” เป็นความจริงที่น่ายกย่อง เขายังเห็นถึงความเสมอต้นเสมอปลายของสาวใช้นางนี้ นางยังคงมุ่งมั่นกับการเรียนและท่องจำตัวอักษรอยู่เกือบทุกคืน “บ่าวไม่เหนื่อยเลยเจ้าค่ะ บ่าวทำได้ ให้เป็นหน้าที่บ่าวนะเจ้าคะ” ดวงตาใสซื่อของนางฉายแววมุ่งมั่น จริงจัง “เริ่มคืนนี้ก่อนเลย” เสียงเล็กๆ สั่งขึ้น ก่อนที่หนังตาของเขาจะปิดไปเสียก่อน ฟู่เจียนจื่อรีบขยับตัวเข้าไปนอนด้านในของเตียง แม้จะเริ่มหาว แต่เขาก็ยังรอคอยที่จะฟังนิทานจากบิดา ฟู่หลิงเฉินไม่อยากจะขัดใจลูก เขาถอดรองเท้าแล้วยกขาทั้งสองวางพาดบนเตียง แผ่นหลังหยัดตรงนั่งพิงหมอนใบหนึ่ง เริ่มต้นเล่านิทานสอนใจ “มีสำนักศึกษาแห่งหนึ่งรับลูกศิษย์ทุกระดับชนชั้น บ้างมาจากตระกูลขุนนาง บ้างที่มาจากครอบครัวพ่อค้าคหบดี และก็มีจำนวนหนึ่งมาจากลูกชาวนาคนใช้แรงงาน ความเหลื่อมล้ำในสำนักศึกษาทำให้เกิดการแบ่งพวกแบ่งกลุ่มกันชัดเจน ผู้เกิดตระกูลสูงไม่ยอมลดตัวคบค้าคนตระกูลต่ำ ผู้เกิดในสถานะด้อยกว่าก็มิกล้าจะเผยอยื่นไมตรีออกไป วันหนึ่งมีศิษย์คนหนึ่งที่เกิดจากตระกูลชาวนาได้ถามอาจารย์ของเขาว่า ‘สิ่งใดคือคุณค่าที่แท้จริงของคนเรา’ ท่านอาจารย์ผู้เปี่ยมด้วยเมตตาและปัญญาจึงหยิบยื่นหินก้อนหนึ่งที่มีสีดำแวววาวอันเป็นสมบัติของท่านให้กับเขา ท่านเอ่ยกับลูกศิษย์ที่ขยันหมั่นเล่าเรียน ซ้ำยังเป็นคนมากน้ำใจผู้หนึ่ง ทว่าความรู้สึกว่าตนนั้นต่ำต้อยยังคอยรบกวนลูกศิษย์คนนี้อยู่เสมอ ‘จงเอาหินก้อนนี้ไปเร่ขายในตลาดสด แต่มิจำเป็นต้องขายจริง เพียงขอแค่มีผู้ให้ราคามากที่สุด’ ลูกศิษย์ชาวนาจึงนำหินก้อนนั้นไปยังตลาด เร่ขายอยู่ราวชั่วยามหนึ่ง มีผู้คนแวะเวียนมาตีราคาและคาดหวังถึงคุณประโยชน์ของหินก้อนใหญ่อยู่จำนวนหนึ่ง สุดท้ายราคาที่ได้ในตลาดแห่งนี้ก็คือสิบตำลึงทอง เมื่อกลับถึงสำนักศึกษาเขาก็ได้เล่าให้ผู้เป็นอาจารย์ฟัง ฟังจบอาจารย์ก็เพียงแต่กล่าวว่า ‘ต่อไปเจ้าก็จงนำหินก้อนนี้ไปเร่ขายอีกครั้งที่ตลาดค้าทอง’” ตอนนี้ จินป๋ายไช่ได้กระเถิบเคลื่อนกายไปยังส่วนเท้าของชายหนุ่มนางจับฝ่าเท้าข้างขวาของเขาแล้วกดคลึงที่กลางฝ่าเท้าใหญ่ข้างนั้น ก่อนจะบีบนวดไปมาที่ละส่วนจนทั่ว “ศิษย์หนุ่มผู้นี้จึงได้เดินทางไปยังตลาดค้าทอง แล้วทำการเร่ขายก้อนหินต่อ แต่คราวนี้มีผู้เสนอราคาให้มากถึงพันตำลึกทอง เมื่อเขาเห็นผลลัพธ์ที่มากเกินคาดหมาย จึงรีบกลับมารายงานอาจารย์ด้วยความดีใจ แต่ท่านอาจารย์เพียงกล่าวว่า ‘ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ให้เจ้านำก้อนหินไปเร่ขายอีกครั้ง แต่ให้ไปที่ตลาดค้าอัญมณี’ เมื่อลูกศิษย์ทำตามคำสั่งของอาจารย์ ก็พบว่าราคาของก้อนหินสีดำนี้ราคาสูงสุดอยู่ที่หมื่นตำลึงทอง ซ้ำยังมีคนสนใจเมื่อเห็นเขาลังเลมิยอมขายให้โดยง่าย ถึงขนาดให้ลูกศิษย์ผู้นี้ตั้งราคาได้ตามใจชอบ” ฟู่หลิงเฉินปากยังเล่า แต่ปรายตามองบุตรชายที่พริ้มตาหลับสลับกับชำเลืองยังเด็กสาวที่กำลังส่งแรงบีบไล่ขึ้นมาแถวหน้าแข้ง รู้สึกถึงไออุ่นจากมือของนางที่แทรกผ่านผืนผ้าลงยังผิวกายเขา แม้นางจะหันใบหน้าด้านข้าง แต่เขาก็เห็นความตั้งใจซึ่งฉายมาจากดวงตาคู่กลมของนางที่จับจ้องท่อนขาของเขาอยู่ “ลูกศิษย์ผู้นั้นก็รีบกลับไปเล่าให้อาจารย์ของเขาฟัง ว่าเราสามารถที่จะตั้งราคาหินก้อนนี้ได้มากเท่าไหร่ก็ได้ตามแต่ใจเราต้องการ อาจารย์จึงกล่าวว่า ‘นั่นก็ใช่แล้ว ที่อาจารย์ไม่อาจสั่งสอนเจ้าได้ว่าชีวิตคนเรามีคุณค่าเพียงใด’...เอ่อ” ฟู่หลิงเฉินชะงักการเล่า จินป๋ายไช่จึงหันหน้ามองเขา แสดงให้เห็นว่านางกำลังตั้งใจฟังอยู่ ที่ต้องชะงักการเล่าก็เพราะชายหนุ่มบังเกิดอาการร้อนวาบขึ้นบนหน้า เพราะเมื่อครู่นั้นฝ่ามือเล็กกำลังเคลื่อนมาขยำแถวๆ ต้นขา แต่ความหวามไหวอันประหลาดนั้นยังมิหยุดลง เพราะนางยังคงลงแรงนวดอย่างสม่ำเสมอ ทว่าก่อนความเครียดเกร็งจะลุกลามย้ายจุด...ชายหนุ่มขยับขาแสร้งชันเข่าเปลี่ยนอิริยาบถ ปรกติเขาไม่เคยจะให้สาวใช้หรือหญิงอื่นเข้าถึงตัวได้มากเท่านี้ นอกเสียจากว่าสตรีผู้นั้นจะเป็นนางในหอคณิกาที่เขาถูกใจแล้วซื้อตัวไว้คอยปรนนิบัติตลอดทั้งคืน นางหยุดมือค้างไว้ คิ้วเรียวของนางเลิกขึ้น แววตาจ้องเป๋งคล้ายอยากให้เขาคลายข้อสงสัยของนาง “เอ่อ...” ฟู่หลิงเฉินหันไปมองบุตรชาย “เจียนจื่อหลับแล้ว เจ้าก็คงเหนื่อยแล้วเช่นกัน ยังอยากจะฟังอีกหรือ” “นายท่านเหนื่อยแล้วหรือเจ้าคะ” ก็นางอยากจะรู้ตอนจบของนิทานเรื่องนี้ “ยังหรอก ถ้าอยากฟัง ข้าจะเล่าให้ฟังจนจบ” เขาบอก แล้วนางก็พยักหน้ารับ ถอยตัวห่างออกไปเพราะดูท่านายท่านคงหยุดให้นางนวดแล้ว “ถึงตอนไหนแล้ว...อ้อ...ที่ไม่อาจจะบอกว่าชีวิตคนเรามีคุณค่าเพียงใด ก็เพราะนั่นเป็นการตีราคาชีวิตโดยผ่านมุมมองจากผู้คนภายนอก ซึ่งไม่ต่างจากการตีราคาก้อนหิน ความเป็นจริงแล้วคุณค่าของมนุษย์ทุกคนล้วนต้องกระจ่างและเด่นชัดอยู่ภายในจิตใจของคนผู้นั้นเอง ท่านอาจารย์จึงกำชับลูกศิษย์ของท่านให้มีสายตาแหลมคมดั่งนักค้าอัญมณีเสียก่อน จึงจะสามารถมองลึกซึ้งถึงคุณค่าที่แท้จริงของคนเรา และอาจารย์ท่านนั้นยังย้ำคำสอนเพิ่มเติมว่า ‘หากเสื้อผ้าอาภรณ์อาหารการกินไม่เท่าบุคคลอื่นไยต้องน้อยเนื้อต่ำใจ หากคุณธรรมความรู้ความสามารถไม่เท่าบุคคลอื่นต้องขวนขวายให้ทัดเทียม’ จบแล้วก็ไปนอนซะ...พรุ่งนี้เจียนจื่อคงจะพาเจ้าไปเดินจนทั่ว” “เจ้าค่ะ” จินป๋ายไช่ขยับตัวลุกขึ้นเมื่อชายหนุ่มลุกลงจากเตียง พอเขาสวมรองเท้าและยืนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นางจึงขยับเข้าชิดขอบเตียงเพื่อก้มตัวลงดึงผ้าห่มขึ้นห่มให้คุณชายน้อยของนาง ระรวยกลิ่นหอมบางเบาจากเรือนกายนางเข้าก่อกวนความรู้สึกของชายซึ่งยืนทิ้งระยะห่างเพียงช่วงศอกอีกครั้ง เพื่อปัดเป่าความคิดที่อาจจะฟุ้งซ่านในอีกไม่กี่เสี้ยวตากะพริบ ฟู่หลิงเฉินจึงก้าวขาเดินไปยังประตูห้อง เพราะเกรงว่านางจะเหน็ดเหนื่อยกับงานหยุมหยิมมากเกินไป จนอาจทำหน้าที่พี่เลี้ยงให้บุตรชายไม่ดีดังเก่า “เจ้าไม่ต้องเพิ่มงานนวดให้ข้าอย่างที่เจียนจื่อบอกก็ได้ คอยดูแลลูก...” ฟู่หลิงเฉินสั่งขณะที่เดินเกือบจะถึงประตู ครั้นเขาหันกายเพื่อจะสั่งความนางให้จบ ร่างน้อยที่เดินตามไปส่งนายหนุ่มโดยหน้าที่ถึงกับผงะกายเพราะเกือบจะชนโครมเข้ากับนายท่านของนางที่หยุดเดินกะทันหัน แรงจับที่หัวไหล่ทั้งสองข้างพยุงไม่ให้หน้านางฟาดเข้ากลางอกของเขา เด็กสาวเงยหน้าขึ้นเพื่อสบตากับเจ้าของดวงตาดำจัดที่ยืนอยู่เบื้องหน้า จู่ๆ ไอร้อนก็วาบขึ้นที่ข้างแก้มนวล... ฟู่หลิงเฉินรีบปล่อยพันธนาการจากไหล่บอบบางของเด็กสาว ทว่าตายังจ้องนวลแก้มใสซึ่งขึ้นสีแดงระเรื่อราวผิวลูกท้อ ชายหนุ่มยั้งน้ำคำที่จะกล่าวต่อหันกายกลับ ก้าวเดินรวดเร็วจนพ้นกรอบประตู “ราตรีสวัสดิ์เจ้าค่ะนายท่าน” จินป๋ายไช่กล่าวลาก่อนปิดบานประตู นางยืนพิงที่บานประตูนั่น รู้สึกขาไร้เรี่ยวแรงหัวใจยังเต้นโครมคราม ราวกับว่ามันกลายเป็นกบน้อยที่กำลังกระโดดไปมาในทรวงอก ข้าก็แค่ตกใจหรอกน่า...นางให้เหตุผลกับอาการประหลาดของตัวเอง แต่...ก็แล้วทำไมเมื่อครู่ข้ารู้สึกว่าตัวเองกำลังหน้าแดงเพราะเขินอายด้วยเล่า! นางไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ
รายละเอียดการสั่งจองหนังสือทำมือ ขวัญข้าเอย
Create Date : 14 ตุลาคม 2554 |
|
0 comments |
Last Update : 14 ตุลาคม 2554 18:17:30 น. |
Counter : 1549 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]
|
|
|
|
|
|
|
|