Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2554
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
3 ตุลาคม 2554
 
All Blogs
 
ขวัญข้าเอย บทที่ 4 (วิรมย์รดา)


เวลาล่วงเลยผ่านไปแล้วอีกหนึ่งปี และเป็นหนึ่งปีที่จินป๋ายไช่ถูกเคี่ยวกรำอย่างหนักจากนางเหม่ย และเมื่อไหร่ก็ตามที่นางฟู่หลันเรียกไปหาที่เรือนเอ้อร์หลิวนั่นก็แสดงว่าบทเรียนเพื่อความเป็นสตรีที่ดีสมกับหญิงสาวในห้องหอของนางจะต้องเข้มข้นขึ้นเป็นสองเท่า
แต่ไม่มีสิ่งใดที่จินป๋ายไช่ตั้งใจทำแล้วจะทำไม่ได้ นางทำได้ดีถึงขั้นยอดเยี่ยมเชียวละ!
งานครัวนางก็คล่องแคล่วว่องไว เพียงถูกสอน นางก็ตั้งใจจดจำแล้วฝึกฝน ผ่านเวลาแค่สามเดือนรสมือของนางก็คงที่ก้าวล้ำหน้าเกาซื่อไปหลายช่วงตัว ช่วยผ่อนแรงบรรดาแม่ครัวของบ้านสกุลฟู่ได้อักโข เด็กสาววัยสิบห้ากลายเป็นที่รักและเอ็นดูของผู้ใหญ่หลายคนเพราะนางไม่บ่นหรืออิดออด ใบหน้านวลหมดจดนั้นยิ้มแย้มแก้มป่องเสมอเมื่อถูกเรียกใช้งาน
เพราะในความคิดของจินป๋ายไช่นั้นการจะเชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ทางที่ดีที่สุดก็คือการลงมือทำ ทำบ่อยๆ ให้คุ้นชินแล้วความผิดพลาดก็จะลดลง เมื่อโอกาสหยิบยื่นมาถึง นางจะโง่ไม่รับไว้เชียวหรือ
ด้านงานเย็บปักนั้นนางก็เรียนรู้ได้เร็ว นางทอผ้าเป็นแล้ว ฝีเข็มงานปักลวดลายก็ละเอียดประณีตอยู่ในขั้นดีไม่ด้อยกว่าคนที่ฝึกปรือมาก่อน ตอนนี้นางกำลังเริ่มเรียนรู้ที่จะตัดเย็บชุดเสื้อผ้าใส่เอง จินป๋ายไช่ทุ่มเทกับการฝึกฝนตัวเองไม่น้อย นางเต็มใจจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น เพราะไม่อยากให้ท่านยายเหม่ยต้องเสียหน้าว่ามีหลานสาวเป็นคนไม่เอาไหน
จนในที่สุด เวลาหนึ่งปีที่ผ่านไปเด็กสาวก็เอาชนะใจนางฟู่หลันได้ นายหญิงใหญ่ของบ้านจะงีบหลับช่วงบ่ายไม่สบายตัวเลย หากไม่ได้รับการบีบนวดจากสองมือของแม่ผักกาดขาวตัวน้อยที่นางเคี่ยวกรำปลุกปั้นจนรู้งานในทุกเรื่อง รู้แรงหนักแรงเบา รู้ว่าทำอย่างไรนายจะพอใจและเรียกใช้สอยบ่อยๆ
บ่าวที่ดีอย่างจินป๋ายไช่ จึงเป็นความสำเร็จในการอบรมและขัดเกลาของนางฟู่หลันด้วยเช่นกัน...
*****
ฤดูคิมหันต์ แดดสาดสว่างกินระยะเวลานานในช่วงกลางวัน พาลให้แรงกำลังถูกลิดรอนด้วยไอร้อนแผดเผา
“ออกมาได้แล้วเจ้าค่ะ บ่าวรู้ว่าคุณชายแอบตามบ่าวมา” จินป๋ายไช่ยืนพิงต้นไม้อย่างสบายอารมณ์ แก้มอิ่มอมยิ้มที่เห็นใบหน้าเล็กๆ เกลี้ยงเกลาโผล่พ้นจากช่วงลำต้นของไม้สูงที่ยืนต้นกำบัง คุณชายฟู่เจียนจื่อส่งสายตาอยากรู้อยากเห็นตรงมายังนาง
“จะไปไหน นั่นถืออะไรไว้ ทำลับๆ ล่อๆ”
...นางต้องทำสิ่งที่ผิดหรือฝืนกฎระเบียบของบ้านสกุลฟู่อีกแน่ๆ ฟู่เจียนจื่อคิดเดา
“อยากรู้จริงๆ หรือเจ้าคะ” เด็กสาวทำทีขยับจะซ่อนห่อข้าวไว้ด้านหลัง
“กะแล้ว...บอกข้ามา เจ้าเป็นบ่าวของบ้านข้า ข้ามีสิทธิ์ที่จะรู้”
จินป๋ายไช่กลั้นเสียงหัวเราะ นายน้อยวัยหกขวบของนางช่างยื่นคำขาดได้น่าเกรงนัก!
“หากคุณชายรู้ ท่านก็จะกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับบ่าวไปนะเจ้าคะ ฟังอย่างนี้แล้วคุณชายยังอยากจะรู้อยู่หรือ” อย่างนึกสนุก นางก็เลยถามหยั่งเชิงทำทีว่าเรื่องปิดบังของนางนั้นเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย แต่นางคิดว่าความอยากรู้อยากเห็นของคุณชายน้อยคงเอาชนะความกลัวได้ไม่ยาก นางรู้นิสัยของเขาดี
เด็กชายอ้ำอึ้งเมื่อถูกถาม ครุ่นคิดชั่งน้ำหนักในใจ แต่ทั้งหมดล้วนแสดงออกทางสีหน้าไม่บิดบัง จินป๋ายไช่หัวเราะคิกกับหน้าตาน่ารักน่าชัง คิ้วเข้มที่ถอดพิมพ์มาจากบิดาขมวดมุ่นเกือบจะเป็นวง ดวงตาหงส์ที่มีแววปราดเปรื่องแต่เยาว์วัยกลอกไปมา ท่านยายเหม่ยเล่าว่าคุณหนูผายชิงซินนั้นงามมาก ปากจิ้มลิ้มได้รูปของคุณชายฟู่เจียนจื่อก็ได้รับมาจากนางนั่นเอง ทั้งผิวพรรณของเขาก็ขาวผ่องไม่เหมือนนายท่านซึ่งมีเนื้อผิวคล้ำกว่า คุณชายอายุได้หกขวบแล้ว เหลือเวลาเที่ยวเล่นตามประสาเพียงแค่ปีเดียวเท่านั้น เพราะปีหน้าก็ครบกำหนดที่เขาจะต้องเข้าเรียนกับท่านครูที่สำนักศึกษาประจำเมืองแล้ว
หลังใช้เวลาคิดสักพัก ฟู่เจียนจื่อก็ให้คำตอบ “ผู้สมรู้ร่วมคิด...เอาก็เอา”
นั่นปะไร นางคาดผิดเสียเมื่อไหร่ ปลงใจได้ตามนั้น ทั้งสองจึงเดินผ่านทิวแถวของต้นไม้น้อยใหญ่ลึกเข้าไปในป่าหลังคฤหาสน์สกุลฟู่
ความลับของเด็กสาวก็คือสุนัขท้องแก่ตัวหนึ่งที่นอนอยู่ในโพลงเล็กในป่า มันจำกลิ่นและคุ้นเคยกับนางดีเพราะพักใหญ่แล้วที่นางพบและเอาข้าวกับน้ำมาให้มันเสมอ
จินป๋ายไช่กันเด็กชายให้อยู่ห่างออกไปก่อนเพื่อไม่ให้แม่สุนัขตื่นตกใจกับคนแปลกหน้าจนเผลอทำร้ายเขาเข้า
“คุณชายเคยมีสัตว์เลี้ยงของตัวเองไหมเจ้าคะ” ตลอดระยะเวลาสองปีที่นางมาอยู่ที่นี่ นางไม่เคยเห็นคุณชายเลี้ยงสัตว์เลยสักตัว บนเรือนใหญ่ของฟู่ฟูเหยินก็มีแต่นกในกรงแขวนใต้ชายคา พวกลูกนกที่นางเคยช่วยนั้น เมื่อมันโตและแข็งแรงดีแล้วนางก็ปล่อยให้บินเป็นอิสระไม่รู้ตอนนี้ยังอยู่ในบริเวณสวนบ้านสกุลฟู่หรือว่าบินไปอาศัยสร้างครอบครัวที่ไหนแล้ว
“ข้าเคยเลี้ยงหมา แต่พอมันโตก็ไม่เห็นจะน่ารักเลย ก็เลยให้คนอื่นไป”
“พอไม่น่ารักก็ทิ้งขว้าง ถ้าเกิดคุณชายโตแล้วไม่น่ารัก สมควรถูกทิ้งขว้างด้วยกระมัง”
“บ้าสิ...” ฟู่เจียนจื่อเถียง จะมีพ่อแม่ที่ไหนทิ้งลูกตัวเองด้วยเหตุผลว่าไม่น่ารักแล้วบ้าง “ท่านย่าไม่ชอบให้มีสัตว์เพ่นพ่าน ท่านว่าจะทำให้บ้านสกปรก” เขาเสริมเหตุผลที่ฟังเข้าท่าขึ้น
จินป๋ายไช่มีสีหน้ายุ่งยากขึ้นเมื่อได้ฟังดันนั้น นางนั่งลงใกล้ๆ แม่สุนัขที่นอนกระดิกหางแล้วแกะห่อข้าวออกแล้วยื่นวางไว้ตรงหน้ามัน
“มันกำลังท้องเจ้าค่ะ” นางยื่นมือดึงแขนของคุณชายน้อยให้นั่งหลบอยู่ด้านหลัง
“แล้วมันจะมีลูกหลายตัวไหม” เขาถามอย่างสนใจ ภาพลูกสุนัขขนฟูปรากฏขึ้นในหัว
“ท้องใหญ่แบบนี้ บ่าวคิดว่าน่าจะสี่ห้าตัว”
“เยอะจัง”
“เราจะทำไงดีเจ้าคะ” นางถามความเห็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์ตัวน้อย “ถ้ามันออกลูกแล้ว คงไม่ดีเท่าไหร่หากต้องอยู่ในโพลงเล็กๆ นี่ในคืนฝนตก”
“มันต้องมีบ้าน”
“นี่แหละปัญหาของเรา พวกมันต้องมีบ้านต้องมีคนคอยดูแล แม่สุนัขกับลูกคงลำบากไม่น้อยถ้าจะอาศัยในป่าสนตามลำพัง และที่สำคัญ หากมีคนมาเจอพวกมันเล่าเจ้าคะ เราจะทำอย่างไร...”
*****
การที่คุณชายฟู่เจียนจื่อและจินป๋ายไช่เข้ากันได้ มีเด็กชายที่ไหน เป็นต้องมีนางอยู่ใกล้ๆ ดั่งเงาตามตัวกันและกัน ทำความขุ่นเคืองให้เจียวเอ๋อร์ เพราะคุณชายน้อยของบ้านมักจะตะโกนใส่หน้านางว่าอย่ามายุ่งเวลาที่นางซักถาม หรือเอ่ยปากเตือนในฐานะคนใกล้ชิดที่เติบโตมาภายใต้การเลี้ยงดูของนายหญิงใหญ่ นางไม่อยากเห็นคุณชายเข้าไปคลุกคลีทำสนิทสนมกับหลานสาวของนางเหม่ยมากเกินไป หรืออันที่จริงก็คือนางไม่อยากจะให้ผู้หญิงคนไหนเข้ามาอยู่ใกล้ชิดคุณชายฟู่หลิงเฉินมากไปกว่านาง...
เจียวเอ๋อร์ไม่ระแวงเหมียนฮวา เพราะพี่เลี้ยงนางนี้รูปโฉมจืดชืดธรรมดาและอีกไม่นานนางก็ต้องออกจากบ้านสกุลฟู่เพื่อไปแต่งงานกับคู่หมั้นหมาย ผิดกับจินป๋ายไช่ที่อยู่ในช่วงเติบโตสู่วัยสาวสะพรั่งแตกต่างจากภาพลักษณ์เด็กเมื่อวานซืนที่มอมแมมไร้ราศี นางหวั่นว่าความชิดใกล้ของเด็กสาวอาจจะทำให้คุณชายใหญ่คว้าเอาเด็กสาวมาเป็นนางบำเรอเสียก่อน ฟู่ฟูเหยินนั้นแสดงเจตนาว่าจะให้ตัวนางทำหน้าที่ภรรยาน้อยของคุณชายในสักวัน เสียแต่ว่าคุณชายใหญ่ไม่เคยจะแสดงถึงความต้องการเชิงชู้สาวกับนางเลย
นางสู้ถนอมความสาวล่วงเลยเข้าปีที่สิบเก้าแล้ว มิรู้ว่าอีกนานเท่าไหร่ชายที่นางหมายปองจะเรียกนางให้ไปทำหน้าที่ที่นางเต็มใจกระทำอย่างถึงที่สุดนี้สักที!
เพราะหึงหวงจึงพาลไม่ชอบพอในตัวจินป๋ายไช่ เจียวเอ๋อร์จึงคอยคัดค้านและแสดงทีท่าว่าสิ่งที่เด็กสาวทำมักไม่ใช่เรื่องดีนัก และเรื่องไม่ดีเหล่านั้นก็ไม่ควรเลยที่จะพาคุณชายน้อยไปยุ่งเกี่ยวด้วย ผลจากการสอดมือเข้ามายุ่งของเจียวเอ๋อร์จึงทำให้ฟู่เจียนจื่อนั่งหน้ามุ่ยอยู่บนเก้าอี้ในห้องโถงกลางของเรือนเอ้อร์หลิว มีจินป๋ายไช่ยืนอย่างสงบนิ่งถัดไปเบื้องหลัง ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะไม้ตัวใหญ่นางฟู่หลันและฟู่หลิงเฉินกำลังนั่งพิจารณาถ้อยคำจากปากของนาง
“ป๋ายไช่แอบพาคุณชายน้อยไปเล่นสกปรกที่ในป่าหลังบ้าน แถมยังเก็บสนุขข้างถนนตัวสกปรกมีเชื้อโรคมาเลี้ยงดู บ่าวสงสัยมาหลายวันก็เลยแอบตามไปเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าเชื้อโรคพวกนั้นจะส่งผ่านมาถึงคุณชายเจียนจื่อแล้วหรือยัง”
“ว่าอย่างไรแม่ตัวดี พาหลานข้าออกไปเที่ยวท่องพิเรนทร์อะไรอีก” แม้จะเอ็นดูจินป๋ายไช่มากเพียงไร แต่เมื่อฟังเจียวเอ๋อร์ที่นางชุบเลี้ยงแต่เล็กแต่น้อยบอกเล่าเสียจนเห็นภาพ ใจนางฟู่หลันก็อดจะคล้อยตามไม่ได้
“คนโกหก!” ฟู่เจียนจื่อค้านออกมา เด็กชายตาขวางมองหน้าหญิงสาวที่เขาไม่ชอบหน้ามากขึ้นทุกวัน ดีแต่ว่าโดนสายตาตำหนิของบิดาขัดขึ้นเสียก่อน เด็กน้อยจึงสะบัดหน้าไปอีกทาง
“ป๋ายไช่ไม่ได้แอบพาข้าไปเสียหน่อย ข้าเป็นฝ่ายวิ่งตามนางไปเองตั้งแต่ทีแรก” เด็กน้อยหันมาบอกบิดา “ปู้หล่างไม่ได้สกปรกจนมีเชื้อโรคอะไรสักนิด มันก็อยู่ของมัน ข้านั่งมองอยู่ห่างๆ เวลาป๋ายไช่ให้อาหารมันนะท่านย่า มันไม่ได้ทำอันตรายข้าเลยสักนิด ออกจะเชื่องเสียด้วยซ้ำ”
ถึงขนาดตั้งชื่อให้เสร็จสรรพแล้ว ไม่อนุญาตให้เลี้ยงคงจะไม่ยอมเลิกราแน่...ฟู่หลิงเฉินตรึกตรองในใจ
ฟู่เจียนจื่อหันไปสบตาจินป๋ายใช่ ต่างคนต่างให้กำลังใจกัน เด็กชายหวังว่าย่าและบิดาของเขาจะใจอ่อนอนุญาตให้เขาพาปู้หล่างมาเลี้ยง
“อยากจะเลี้ยงหมาทำไมไม่บอกย่าเล่า เจ้าอยากจะได้สักกี่ตัวย่าก็จะหามาให้”
“มันไม่เหมือนกัน ข้าสงสารมัน มันกำลังท้อง มันจะมีลูก” เด็กชายวัยหกขวบบอกความรู้สึกของตน ดวงตากลมโตเค้นแววละห้อยส่งให้ผู้เป็นย่า
นางฟู่หลันพ่ายแพ้หมดรูป ก็หลานนางน่ารักน่าชังออกปานนั้น “...เอาเถอะๆ อยากเลี้ยงก็เลี้ยง”
ฝ่ายฟู่หลิงเฉินก็เห็นดียิ่งนักที่บุตรชายมีความอ่อนโยนขึ้นในจิตใจ เขารู้จักที่จะให้ความเมตตาสัตว์ที่ด้อยค่าในสายตาใครอีกหลายคน การมีสัตว์เลี้ยงจะทำให้เขามีความรับผิดชอบ เริ่มฝึกตนจากระดับเล็กๆ ก่อน ภายหน้าโตขึ้นคงเป็นบุตรที่นำความภาคภูมิใจมาสู่ตัวเขาและบ้านสกุลฟู่ได้ไม่ยาก
“พ่อยินดีให้เจ้าเลี้ยงพวกมัน แต่เจ้าต้องสัญญาว่าจะไม่ทิ้งขวางและจะต้องสอนให้พวกมันรู้จักความภักดีและซื่อสัตย์ต่อผู้เป็นนาย”
เด็กน้อยยิ้มร่า กล่าวรับคำ “ขอบคุณท่านพ่อ ขอบคุณท่านย่า ลูกกับป๋ายไช่จะดูแลพวกมันอย่างดี”
ฟู่เจียนจื่อกระโดดผลุงลงจากเก้าอี้ “ข้ากับป๋ายไช่จะไปพาเจ้าปู้หล่างมาอยู่ที่บ้านของเรา”
ไม่นานนักหลังจากที่แม่สุนัขชื่อปู้หล่างเข้ามาอยู่ในคอกที่สร้างขึ้นใหม่ มันก็ออกลูกสุนัขที่ร่างกายแข็งแรงมาสี่ตัว สุนัขแม่ลูกทั้งห้าตัวจึงกลายเป็นกรรมสิทธิ์และความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างจินป๋ายไช่และฟู่เจียนจื่อ
สายแห่งวาสนาเส้นแรกกำลังเกี่ยวพันนำไปสู่สายสัมพันธ์ที่แนบแน่นยากจะตัดขาดในกาลข้างหน้า...
*****
เสียงหัวเราะดั่งระฆังแก้วกังวานไปรอบเรือนเยวี่ยฉง วันนี้ฟู่เจียนจื่อกำลังเล่นวิ่งไล่จับอยู่กับพี่เลี้ยงคนใหม่...ที่ถูกใจเด็กชายเป็นที่สุด นอกนั้นยังมีเด็กลูกบ่าวในบ้านอีกสามคน ยามเล่นสนุกกับคุณนายน้อยจินป๋ายไช่ก็วิ่งเร็วและคล่องแคล่วว่องไวกว่าเหมียนฮวา เด็กสาวสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ไม่ต้องรักษากิริยาเรียบร้อยตลอดเวลา นางฟู่หลันให้อภิสิทธิ์นี้แก่นางตามความต้องการของหลานชายสุดรัก
เด็กสาวกลายมาเป็นพี่เลี้ยงอย่างเต็มตัวของคุณชายน้อยตามความเห็นชอบจากนายหญิงใหญ่ของบ้าน เพียงแต่ว่าตอนนี้นางยังไม่ได้ย้ายขึ้นไปนอนในห้องคุณชายเท่านั้น รอจนกว่าถึงสิ้นปีให้เหมียนฮวาย้ายกลับบ้านของนางเพื่อแต่งงานเสียก่อน
บ่ายคล้อยแล้ว หลังจากกินของว่างที่เหมียนฮวายกมาให้เสร็จ ฟู่เจียนจื่อก็วางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะหิน เด็กชายมีบางสิ่งอยากจะอวด เมื่อคืนบิดาเขาเพิ่งจะเล่าให้ฟังว่าต้นเหมยกุ้ย ต้นหนึ่งในเรือนเพาะกล้ากำลังออกดอกเด็กน้อยอยากจะให้จินป๋ายไช่ได้เห็น
“ไม่ได้นะเจ้าคะ นายท่านสั่งห้ามไว้นี่เจ้าคะว่าไม่ให้ผู้ใดเข้าไปในเขตเรือนเพาะกล้าก่อนได้รับอนุญาต บ่าวไม่กล้าฝืนคำสั่งหรอก” ดวงหน้าขาวส่ายปฏิเสธความประสงค์ของนายตัวเล็ก
“ก็แค่เข้าไปดูดอกไม้นิดเดียว ข้าสั่งเจ้า เจ้าก็เข้าไปเป็นเพื่อนข้าหน่อยเถอะ เหมยกุ้ยนี่แม่ข้าเป็นคนเลือกพันธุ์มาปลูกไว้เชียวนะ แล้วท่านพ่อก็ขยายพันธุ์มันต่อไม่ให้มันตาย ดอกมันทั้งใหญ่และสวยมาก ก็ภาพวาดในห้องนอนข้าที่เจ้าเคยเห็นนั่นไง นั่นก็ท่านพ่อวาดเองกับมือ” แววตาใสซื่อเปี่ยมสุขเมื่อเล่าถึงความรักความหลังของสองผู้ให้กำเนิด แม้จะจำหน้ามารดาไม่ได้เพราะนางจากไปตั้งแต่งเขายังจำความไม่ได้เลย แต่บิดาก็มักจะเล่าเรื่องของมารดาให้ฟังเสมอก่อนเขาเข้านอน
จินป๋ายไช่พยักหน้ายอมรับว่าภาพวาดดอกเหมยกุ้ยในห้องนอนคุณชายน้อยงดงามยิ่งนัก ภาพดอกเหมยกุ้ยสีชมพูอ่อนที่มีผีเสื้อตัวหนึ่งจรดจุมพิตลงยังกลางเกสรสีนวลติดตรึงต่อสายตาของนางตั้งแต่ครั้งแรกเห็น ปลายพู่กันตวัดกลีบก้านหรือก็อ่อนช้อยราวกับดอกไม้นั้นมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ หาได้เป็นเพียงภาพวาดไม่ นายท่านคงจะรักภรรยาของเขาสุดหัวใจ จึงสามารถวาดดอกเหมยกุ้ยที่สวยงามวิจิตรเป็นเสมือนตัวแทนของความรักระหว่างเขากับคุณหนูผายชิงซินขึ้นมาอย่างไร้ที่ติ
“อ๊ะ! รอบ่าวด้วยสิเจ้าคะ”
มัวแต่จ่อมเจาตกในภวังค์ คุณชายน้อยของนางก็วิ่งลิ่วนำหน้าไป ที่สุดแล้วเด็กสาวก็จำต้องสาวเท้าตามติดไปด้วยอีกคน
เมื่อฟู่เจียนจื่อมาถึงบริเวณเรือนไม้หอมก่อน เด็กชายก็ตะโกนให้พี่เลี้ยงรีบเร่งตามมา
“เร็วสิป๋ายไช่...ต้นไหนนะๆ” ฟู่เจียนจื่อสอดส่ายสายตาเสาะหาเป้าหมาย ก่อนจะวิ่งตรงดิ่งเข้าไป “อ๋า...นี่ไงๆ โอ้โห! ท่านพ่อคงยังไม่เห็นอีกกระถางเป็นแน่ มีตั้งสองกระถางเชียวนะที่กำลังออกดอกน่ะ อ๊ะ...โอ๊ย!”
เป็นเพราะมัวตื่นเต้นกับสิ่งที่เห็น รีบร้อนลุกลนตามประสาเด็ก เท้าเล็กๆ ของเด็กชายจึงสะดุดเข้ากับฐานของคานไม้ที่วางกระถาง ซ้ำร้ายทรงตัวไม่ทันมือก็ผลักเอากระดานไม้ที่พาดกั้นเสาสองข้างพลิกคว่ำลง ส่งผลให้กระถางต้นเหมยกุ้ยใกล้ตัวหล่นโครมลงกับพื้น
“นายน้อยเจ้าคะ!” จินป๋ายไช่รีบอุ้มร่างของเด็กชายที่หน้าซีดตัวสั่นให้ออกมาจากบริเวณที่มีเศษแหลมคมของตัวกระถางที่แตกแล้ว
“ไม่เป็นอะไรนะเจ้าคะ” นางกวาดสายตาและคลำหาเผื่อว่าจะมีเศษกระเบื้องกระเด็นมาบาดเด็กชาย
“ทำไงดีป๋ายไช่ ข้าไม่ได้ตั้งใจ” บิดาเขาทั้งรักและหวงแหนต้นเหมยกุยเหล่านี้มาก เขาน่าจะระมัดระวังให้มากกว่านี้
“ป๋ายไช่รู้ว่าคุณชายไม่ได้ตั้งใจเจ้าค่ะ”
เด็กสาวเก็บเศษกระถางที่แตกไปรวมกันไว้ ไม่มีกิ่งไหนของต้นเหมยกุ้ยหัก ดินในกระถางยังพอมีเกาะที่ส่วนรากของมันอยู่ เพียงแต่ว่าดอกสีชมพูที่กำลังแย้มสวยงามนั้นฐานดอกได้หักลง กลีบงามนั้นช้ำเป็นริ้วรอยเพราะโดนเศษดินเศษกระถางกระแทกใส่ จินป๋ายไช่ปลิดขั้วดอกเหมยกุ้ยขึ้นมาไว้ในอุ้งมือ
“พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่...” เสียงหนึ่งดังขึ้นที่เบื้องหลัง ใบหน้าเล็กๆ ของฟู่เจียนจื่อแทบจะเรียกได้ว่าไร้สีแล้วในยามนี้
จินป๋ายไช่หันขวับทันใด แผ่นหลังอันบอบบางเหมือนเป็นเกราะคุ้มกันให้เด็กชายที่ยืนเกาะเอวของนางอยู่ด้านหลัง สายตาคมกริบของฟู่หลิงเฉินทำให้หัวใจของเด็กสาวเย็นวาบ นางควรทำเช่นไร...
“ฝีมือเจ้า...” ใบหน้าคมสันเข้มตึงขึ้นเมื่อเห็นซากดอกเหมยกุ้ย...ที่เขารัก อยู่ในมือเล็กของเด็กสาว
“ท่านพ่อ...ข้า...ข้า”
“บ่าวไม่ได้ตั้งใจเจ้าค่ะ คุณชายน้อยเล่าเรื่องต้นเหมยกุ้ยให้บ่าวฟัง บ่าวอยากเห็นก็เลยคะยั้นคะยอให้คุณชายน้อยพามาดู แล้วบ่าวก็...บ่าวก็สะดุดขาตัวเองชนเอากระถางหล่นลงมา” จินป๋ายไช่รีบคุกเข่าลงเบื้องหน้าชายหนุ่ม
“ทำไมเจ้าชอบสร้างปัญหาอยู่เรื่อย อยากรู้อยากเห็นในสิ่งไม่ใช่เรื่องของตน...รู้ทั้งรู้ว่าข้าสั่งห้ามคนนอกทุกคน!”
จินป๋ายไช่สำนึกรู้ดีว่านางเป็นคนนอก เป็นเพียงบ่าว “ขอนายท่านโปรดลงโทษ”
“ป๋ายไช่...” ฟู่เจียนจื่อจะร้องไห้อยู่แล้ว สองมือเล็กเกาะอยู่บนบ่าของพี่เลี้ยงสาว จริงอยู่ที่เขากลัวว่าบิดาจะโกรธ แต่ไม่น่าที่นางจะออกหน้ารับผิดแทนเขาแบบนี้
ฝ่ายฟู่หลิงเฉินครั้นเห็นน้ำตาบุตรชายกำลังจะร่วงก็พลันใจอ่อน ไม่กล้าจะต่อว่าพี่เลี้ยงต่อหน้าบุตรชาย หนึ่งปีมานี้เด็กสาวนามจินป๋ายไช่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกของบุตรชายไม่น้อยเลย
“พาคุณชายกลับขึ้นเรือนได้แล้ว และต่อไปนี้ห้ามเจ้าเข้ามายุ่งวุ่นวายในสวนของเมียข้าอีก ส่วนเจ้า...เจียนจื่อ เจ้าเป็นลูกรักของพ่อ จะเข้านอกออกในที่ใดก็ได้ในบ้านหลังนี้ แต่ไม่ควรจะให้ท้ายบ่าวฝ่าฝืนคำสั่งของพ่อเจ้าอีกเป็นอันขาด...จำไว้”
“ครับท่านพ่อ” เด็กชายใจชื้นขึ้น ร่างเล็กยืนเบียดร่างของพี่เลี้ยงสาวที่ยันตัวลุกขึ้นยืนเคียงข้าง
ฟู่หลิงเฉินมองซากดอกเหมยกุ้ยในอุ้งมือของนาง “ส่งมาให้ข้า”
ชายหนุ่มสั่งเสียงเรียบ จินป๋ายไช่ทำตามสั่งในทันที นางยื่นดอกเหมยกุ้ยสีชมพูส่งมอบต่อมือเขา มือน้อยออกอาการสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด นางจะจดจำใส่ใจไว้ว่านับจากนี้ไปจะไม่เหยียบย่างเข้ามายังเรือนไม้แห่งนี้อีก และทุกสิ่งที่เกี่ยวพันกับความรู้สึกของคุณชายใหญ่ที่มีต่อภรรยาเขา นางจะไม่ละลาบละล้วงหรือแตะต้องเป็นอันขาด!
*****
ภายในห้องนอนของฟู่เจียนจื่อ
“จะทำหน้าเศร้าอีกทำไมเล่าเจ้าคะ” จินป๋ายไช่ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ขณะหยิบชุดเสื้อตัวใหม่สำหรับให้คุณชายน้อยของนางผลัดเปลี่ยน
“ข้าจะบอกความจริงกับท่านพ่อ...ดีไหม”
“เรื่องมันผ่านไปแล้ว คุณชายไม่ได้ตั้งใจนี่เจ้าคะ ช่างมันเถอะ บ่าวไม่ได้โดนทำโทษอะไรเสียหน่อย”
“แต่ท่านพ่อก็ดุเจ้านี่นา”
รอยยิ้มละมุนฉาบดวงหน้าของเด็กสาว ก่อนกล่าวว่า “นายท่านเพียงออกคำสั่งไม่ให้บ่าวเข้าไปในเรือนเพาะกล้าอีกเป็นคำสั่งที่เสียงดังและเข้มงวดมากขึ้นกว่าเดิมเท่านั้นเอง คุณชายอย่าวิตกไปเลยเจ้าค่ะ”
นางช่วยเด็กชายผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าจนเสร็จ ก่อนจะลูบที่หลังเบาๆ เป็นการปลอบโยนเขา นางสงสารคุณชายเจียนจื่อตั้งแต่ได้ฟังท่านยายเหม่ยเล่าเรื่องราวชีวิตของคุณหนูตระกูลผายให้ฟัง คุณหนูช่างโชคร้ายเจอมรสุมชีวิตซ้ำแล้วซ้ำเล่า คุณชายน้อยก็เกิดมากำพร้ามารดา เขาคงจะเหงาและรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่ไม่น้อย ความรักจากมารดานั้นจำเป็นสำหรับเด็กทุกคนบนโลกนี้ สายสัมพันธ์แม่ลูกที่ถึงอย่างไรคนเป็นพ่อก็ไม่อาจจะเข้าใจได้หมด
นางมิได้สงสัยต่อความรักของนายท่านที่มีต่อคุณชายน้อยแน่ เพียงแต่ว่าการแสดงออกซึ่งความรักของผู้ชายนั้นบางครั้งก็กระด้างกว่าผู้หญิง คุณชายเจียนจื่อไม่ใช่เด็กนิสัยเลวร้าย เห็นซนดื้อรั้นภายนอก แต่ภายในนั้นกลับมีมุมอ่อนไหวและมีใจอ่อนโยนอยู่มาก ที่นางออกรับผิดแทนคุณชายไม่ใช่อยากจะเอาใจหรือให้ท้ายเขา เพียงแค่นางไม่อยากให้คุณชายน้อยมีแผลเล็กๆ ในใจคิดว่าบิดาดุด่าและเข้มงวดกับเขามากเกินไป จนในที่สุดเขาอาจจะไม่อยากเข้าหาหรือทำตัวใกล้ชิดบิดาอีกเลย
“ไปให้อาหารปลากับป๋ายไช่นะเจ้าคะ แล้วเราไปเล่นกับเสี่ยวจู เสี่ยวซัน เสียวไท่ และเสี่ยวชินกัน”
เพราะจินป๋ายไช่เป็นเด็กกำพร้า แม้จะมีญาติมิตรแต่พวกเขาก็ไม่ใช่ครอบครัวถาวรของนาง นางจึงมักจะสร้างครอบครัวขึ้นเองโดยเริ่มจากบรรดาสัตว์เลี้ยงและสิ่งมีชีวิตรอบตัว ขอแค่มีพวกมัน นางก็มีเรื่องให้คิดให้ทำจนแทบจะลืมความเหงาไปเลย...



รายละเอียดการสั่งจองหนังสือทำมือ
ขวัญข้าเอย


Create Date : 03 ตุลาคม 2554
Last Update : 3 ตุลาคม 2554 20:59:08 น. 0 comments
Counter : 410 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

นางสาวอ้วนจัง ตังค์มากมี
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]





ฝาก"บัลลังก์เสน่หา : จากหนึ่งคำมั่น ตราบสิ้นนิรันดร์" ด้วยค่ะ
กรงขังสิเนหา
ทาสสวาทเงาเสน่หา
บุพเพเล่ห์จันทร์
ในรั้วรัก
เสี้ยวสิเน่หา
รอยนิรันดร์
กลีบเหมยกลางทราย
เล่ห์รักร่ายปรารถนา
ตะวันเยี่ยมรุ่ง
ขวัญข้าเอย
ลิขิตลวง
สิ้นแสงรังสิมา (หนึ่งหทัยมังกร)
ดาริกากลางใจ (ดวงใจรักจ้าวยุทธ์)
หากฟ้าไร้เมฆินทร์ (ทาสรักสลักใจ)
ฤาศศินอำพราง (ยอดพธูจอมทัพ)
รื่นกลิ่นปทุม
รักลุ้นวุ่นหวาน
สัญญาลับฉบับรัก
เพียงสิ้นชีวา
เนื่องนิจสิน
แม้นเดือนดับ
จันทร์ร้างฟ้า
กรงบรรณาการ
ฝนซาเมื่อฟ้าสาง
กลีบเก็ดถวา
แสงแรกของตะวัน
ทั้งหมดภายใต้นามปากกา วิรมย์รดา กะรัต ลนาริน ธาราพิศุทธิ์
Friends' blogs
[Add นางสาวอ้วนจัง ตังค์มากมี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.