Group Blog
 
All Blogs
 

วิธีสมัครสมาชิกและสั่งซื้อสินค้าจากเว็บเถาเป่า

ไม่ได้อัพเดทบล็อกที่นี่นานเลยครับ วันนี้เอาบทความที่เพิ่งเขียนในบล็อกส่วนตัวมาลง เผื่อจะมีคนผ่านมาอ่านบ้างนะครับ 

เคยมีคนถามผมนะครับว่าจะสมัครเว็บเถาเป่า เพื่อสั่งซื้อสินค้าด้วยตัวเองได้ยังไง เล่นถามกันตรงๆ ดื้อๆ เลยล่ะครับ!!! 

แต่ผมก็ตอบไปตามความจริงนะครับว่า สมัครเองได้เหมือนกันแต่ค่อนข้างยุ่งยากพอสมควร ไม่สามารถสมัครได้ตรงๆ ง่ายๆ เหมือนเว็บอีเบย์หรืออะเมซอน และถึงแม้ว่าจะขวนขวายจนสมัครได้สำเร็จ หากไม่สามารถสื่อสารกับผู้ขายเป็นภาษาจีนได้ ก็จะเป็นข้อจำกัดอย่างมากในการสั่งซื้อสินค้า เพราะผู้ขายส่วนใหญ่ในเว็บเถาเป่าไม่ใช้ภาษาอังกฤษครับ 

สมมติว่าการสมัครและสั่งซื้อบนเว็บเถาเป่ามันง่ายเหมือนเว็บภาษาอังกฤษทั่วไป ผมคงต้องเลิกอาชีพนี้แล้วล่ะครับ  

หากคุณได้เข้าหน้าแรกของเว็บเถาเป่าในช่วงนี้ อาจจะสังเกตเห็นอะไรน่าสนใจเหมือนที่ผมเห็นแล้วก็ได้ และมันอาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกให้ผมและเอเยนต์เถาเป่าทั้งหลายรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ อยู่บ้างเหมือนกัน 


taobao buyer's quick start guide


มันคือแบนเนอร์โฆษณาเป็นภาษาอังกฤษว่า Buyer's Quick Start Guide หรือคำแนะนำสำหรับการซื้อสินค้าในเว็บเถาเป่า ประเด็นก็คือมันเป็นภาษาอังกฤษนี่แหละครับ ผมเดาว่าทางเถาเป่าคงรู้ดีว่ามีเอเยนต์รับสั่งซื้อสินค้าจากเว็บเถาเป่าให้แก่ผู้ซื้อในต่างประเทศเป็นจำนวนไม่น้อย จึงมีความพยายามจะเปิดช่องให้ผู้ซื้อในต่างประเทศสามารถสั่งซื้อเองได้โดยตรง คล้ายๆ กับเว็บอีคอมเมิร์ซเจ้าใหญ่ๆ ในอเมริกานั่นแหละครับ 

ถึงแม้ว่าจีนจะมีเว็บ AliExpress ซึ่งเป็นเว็บอีคอมเมิร์ซค้าปลีกที่เป็นภาษาอังกฤษอยู่แล้ว และอยู่ในเครือบริษัท Alibaba เช่นเดียวกับเว็บเถาเป่าด้วย แต่ผู้ขายสินค้าส่วนใหญ่ในจีนก็ไม่ได้เปิดร้านขายในเว็บ AliExpress เพราะยังมีอุปสรรคในเรื่องภาษาและการจัดส่งระหว่างประเทศอยู่พอสมควร  

กลับมาดูที่แบนเนอร์เจ้าปัญหากันอีกครั้งดีกว่า เมื่อคลิกไปที่แบนเนอร์แล้วจะเจอหน้าที่ให้คลิกต่อไปดูคำแนะนำที่ทางเว็บทำไว้เป็นภาษาอังกฤษ มีตั้งแต่การสมัครสมาชิกเว็บ การเลือกสินค้าและดูความน่าเชื่อถือของผู้ขาย การจัดส่งสินค้า การคอนเฟิร์มออเดอร์และการจ่ายเงิน และการให้ฟีดแบ็คแก่ผู้ขาย เรียกว่ามีครบหมดสำหรับขั้นตอนการสั่งซื้อเบื้องต้นแหละครับ 



ดูเหมือนว่าถ้าเราทำตามขั้นตอนของคำแนะนำชุดนี้ก็น่าจะสมัครและสั่งซื้อสินค้าได้เลยใช่มั้ยครับ 

แต่ผมทดลองดูหลายรอบแล้วยังไม่สามารถสมัครสมาชิกได้สำเร็จเลยครับ คุณผู้อ่านจะลองดูบ้างก็ได้นะครับ ใครสมัครได้สำเร็จก็ช่วยบอกกันบ้าง ผมจะได้เตรียมตัวหาอาชีพใหม่ซะที 

แต่คำแนะนำอื่นๆ ในชุดนี้ก็เป็นประโยชน์นะครับ โดยเฉพาะเรื่องการเลือกสินค้าและดูความน่าเชื่อถือของผู้ขาย ใครเก่งภาษาอังกฤษก็ศึกษาเองได้ ไม่แน่ อีกหน่อยอาจจะสมัครเองได้จริงๆ ก็ได้ครับ  

สุดท้ายนี้ผมอยากจะบอกว่า สรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้มีวิถีชีวิตไปตามเงื่อนไขสภาพแวดล้อมและการปรับตัว ธุรกิจก็เหมือนกันครับ หากเงื่อนไขสภาพแวดล้อมของการทำธุรกิจเปลี่ยนแปลงไป ธุรกิจนั้นก็อาจต้องเลิกไป หรือไม่ก็ต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด ไม่มีสิ่งมีชีวิตหรือธุรกิจอะไรหรอกครับที่จะสามารถอยู่อย่างสุขสบายไปชั่วชีวิตโดยที่ไม่ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงหรืออุปสรรคใดๆ เลย สู้ๆ ครับ




 

Create Date : 05 เมษายน 2556    
Last Update : 5 เมษายน 2556 22:04:15 น.
Counter : 1412 Pageviews.  

เริ่มต้นเล็กๆ แค่พอไปได้ แต่ต้องเรียนรู้อย่างฉับไว

ผมตั้งหมวดค้าๆ ขายๆ ขึ้นมาในบล็อกนี้เพื่อจะเขียนเกี่ยวกับการเริ่มต้นทำธุรกิจโดยเฉพาะ แรงบันดาลใจก็มาจากการที่มีผู้สนใจบริการที่ผมทำอยู่สอบถามกันเข้ามาบ่อยๆ จึงคิดว่าน่าจะรวบรวมสิ่งละอันพันละน้อยที่ผมพอจะรู้หรือพอจะเสาะหามาได้ไว้ที่นี่ เผื่อมีใครถามมาจะได้ส่งเรื่องที่มีอยู่แล้วให้อ่าน 

ช่วงนี้ผมก็เลยหาบทความเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อ่านเยอะหน่อย อย่างวันก่อนก็ไปโหลด App นิตยสารออนไลน์ Entrepreneur Startup มาอ่าน ก็ไปเจอบทสัมภาษณ์อันนึงที่ผมคิดว่าน่าสนใจดี แม้ว่าจะเก่าไปสักหน่อย คือลงไว้ในเว็บ Entrepreneur ตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว แต่เนื้อหาน่าจะยังใช้เป็นแนวคิดในการเริ่มต้นธุรกิจได้อยู่ จึงอยากจะแปลและเรียบเรียงให้ได้อ่านกันครับ 

บทสัมภาษณ์นี้เป็นการสัมภาษณ์ Eric Ries ผู้ริเริ่มแนวคิด The lean startup (เริ่มธุรกิจแบบเล็กๆ) ครั้งแรกในบล็อกที่เขาเขียนเมื่อสามสี่ปีก่อน ซึ่งเขาได้ให้แนวทางใหม่ในการสร้างธุรกิจไว้ว่าต้อง ถูก (cheaply) มีประสิทธิภาพ (efficiently) และที่สำคัญที่สุด ต้องฉับไว (quickly) 

หลังจากนั้น แนวคิดนี้ก็แพร่หลายออกไปจนกลายเป็นกระแส มีผู้ติดตามนับพันคน มีการจัดประชุมสัมนาย่อยนับร้อยครั้ง ประชุมใหญ่หนึ่งครั้ง และกลายมาเป็นหนังสือเล่มนึงที่ชื่อว่า The Lean Startup 

ต่อไปนี้คือบทสัมภาษณ์ที่ผมนำมาเรียบเรียงเองนะครับ ผมไม่ไ้ด้ติดตามเรื่องนี้มาแต่ต้น ถ้าถอดความมาผิดไปบ้างก็ขออภัยด้วยครับ 

คุณว่าอะไรคือแบบแผนเก่าๆ ในการเริ่มธุรกิจ 
รูปแบบดั้งเดิมที่ทำๆ กันมาก็คือ ดูผู้ประกอบการใหญ่ๆ แล้วพยายามเลียนแบบพวกเขา บางครั้งเรามีไอเดียที่แจ่มแจ๋ว กับคนที่ฉลาดสุดๆ แต่แล้วยังไง ผมเคยผ่านโปรเจ็ค Social Network มาแล้วมากมาย แล้วส่วนใหญ่ก็เหลวเป๋ว และเราก็จะบอกว่ามันเป็นไอเดียที่เลิศแต่แผนธุรกิจห่วย พอเราธุรกิจมันแป้ก เราก็มีข้อแก้ตัวแถมให้เป็นออพชั่นเสริมอยู่แล้วว่าดวงเราไม่เฮง หรือจังหวะเราไม่ดี 

และนั่นคือวิธีที่ผิดหรือเปล่า
อืม เอาอย่างนี้ดีกว่า ลองคิดถึง Facebook ดูก็แล้วกัน มันไม่ใช่ social network เจ้าแรก ไม่ใช่ social network ในมหาวิทยาลัยเจ้าแรกด้วย แต่เมื่อคุณเจาะลึกเข้าไปดูว่ามันถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร คุณก็จะเห็นว่า Mark Zuckerberg ได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างถูกต้องตามกระบวนการ 

แล้วอะไรคือกระบวนการที่เรียกว่า lean startup 
คิดให้ใหญ่ เริ่มต้นทำเล็กๆ (think big, start small) การเริ่มต้นแบบ lean startup คือการมองหาอะไรก็ได้ที่จะช่วยสร้างให้เกิด minimum viable product หมายถึงสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่พอใช้การได้ก่อน แล้วเริ่มต้นเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้และสร้างสรรค์ร่วมกับลูกค้าทันที ดังนั้น คุณจะสามารถล้มเหลวและก้าวต่อไปได้เร็วขึ้น 

แปลว่าความล้มเหลวไม่ใช่เรื่องเสียหาย ถ้ามันเกิดขึ้นแต่เนิ่นๆ 
ประเด็นมันอยู่ที่ความเร็วในการสร้างคุณค่าระยะยาว มันจึงไม่มีไอเดียอะไรที่จะเจ๋งเป้งโดยสมบูรณ์แต่แรก อย่างเวอร์ชั่นแรกของ Paypal หรือระบบดั้งเดิมของ Groupon มันเคยเป็นไอเดียที่แย่มาก่อน และไม่เวิร์คเลยตอนที่มันถูกสร้างขึ้นมา คุณต้องหาให้เจอว่าองค์ประกอบไหนเวิร์คและอันไหนเฟอะฟะ เพื่อที่คุณจะค้นพบข้อด้อยในผลิตภัณฑ์ได้เร็วขึ้น เพ่งเล็งมันและแก้ไขมันในที่สุด 

คุณเทียบเคียงกระบวนการนี้กับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์รึเปล่า
หลักการเดียวกันกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ทุกๆ กลยุทธการตลาด ทุกๆ คุณสมบัติใหม่ๆ ของผลิตภัณฑ์ที่ถูกเพิ่มขึ้นมา มันคือการทดลอง และเป็นโอกาสที่จะได้เรียนรู้ว่าลูกค้าหรือผู้บริโภคอยากได้อะไร ต้องทดสอบอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ปรับปรุงและทดลองซ้ำ และต้องทำอย่างฉับไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

มีอะไรที่ผู้ประกอบการควรจะกลัวบ้างมั้ย
ความสูญเปล่า สำหรับธุรกิจแบบ Facebook ทุกๆ เจ้า มันมีความล้มเหลวมากเกินไปแล้ว อยากให้คุณมองดูที่จำนวนของบุคลากร สติปัญญา ศักยภาพและความคิดสร้างสรรค์มากมายที่ถูกเทลงไปในการเริ่มต้นธุรกิจที่ล้มเหลวในรอบหลายปีที่ผ่านมา แล้วลองถามตัวเองดูว่าสังคมได้อะไรกลับคืนมาบ้าง ผมว่ามันทับถมกองพูนอย่างสาหัส เรามีปัญหาใหญ่ และจำเป็นต้องให้คนเก่งๆ ของเราได้ทำงานที่มีคุณค่า 

---

ผมอาจจะถอดความมาไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์นะครับ และบริบทของการสัมภาษณ์น่าจะพูดถึงการเริ่มต้นธุรกิจอินเตอร์เน็ตเป็นหลัก เห็นพูดถึง Facebook อยู่หลายครั้ง บางอย่างอาจจะไม่ค่อยเข้าเรื่องเข้าราวกับการทำมาค้าขายแบบบ้านๆ อย่างเราก็ได้ 

แต่ประเด็นที่น่าสนใจที่ผมอยากจะเน้นก็คือ กระบวนการแบบ lean startup คือ เริ่มต้นเอาแค่พอใช้ได้ก่อน ไม่ต้องเอาหรู แล้วรีบเรียนรู้จากลูกค้าว่าอันไหนเวิร์ค อันไหนห่วย ที่สำคัญ ต้องฉับไวในการปรับปรุงแก้ไขให้สินค้าหรือบริการดีขึ้นเรื่อยๆ ครับ 

หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่กำลังคิดอยู่ว่าจะเริ่มต้นธุรกิจของตนยังไงดีนะครับ 




 

Create Date : 24 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 24 กรกฎาคม 2555 23:34:48 น.
Counter : 1451 Pageviews.  

อยากค้าขายออนไลน์ เริ่มต้นยังไงดี?

ก่อนอื่นต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่าผมนั้นไม่ได้เป็นผู้รอบรู้ในเรื่องขายของออนไลน์ และยังไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรมากมายในทางธุรกิจ เพียงแต่ด้วยงานบริการที่ผมทำอยู่ทำให้มีผู้สนใจติดต่อสอบถามมาอยู่เนืองๆ เกี่ยวกับการขายสินค้าออนไลน์ รวมไปถึงขอคำแนะนำจากผมด้วยว่าควรเริ่มต้นยังไง ทำให้ผมต้องตั้งสติ รวบรวมความคิดและประสบการณ์อันน้อยนิดเท่าที่มีอยู่แล้วพยายามตอบคำถามอย่างจริงใจและตรงไปตรงมาที่สุด

สิ่งที่ผมพอจะรู้และบอกได้คงไม่ใช่เคล็ดลับสุดยอดที่ไหน และไม่อาจเป็นทางลัดทางรวยสำเร็จรูปของใครได้ แต่น่าจะพอเป็นประกายความคิดให้กับพ่อค้าแม่ขายทางอินเตอร์เน็ตมือใหม่ได้บ้าง ถือว่าเป็นคำแนะนำจากรุ่นพี่ก็แล้วกันนะครับ

ขายอะไรดี?

เป็นคำถามที่ถามง่ายแต่ตอบยากนะครับ เคยมีรุ่นน้องวัยนักศึกษาส่งอีเมล์มาถามผมสั้นๆ ว่าควรจะหาสินค้าอะไรมาขายดี ผมก็ได้แต่ตอบไปกลางๆ ว่าน่าจะขายสินค้าที่เราชอบและมีคนสนใจจะซื้อ ฟังดูเหมือนเอากำปั้นทุบดินจริงๆ เลย แต่จะให้ตอบอะไรได้มากกว่านี้อีกล่ะครับ ในเมื่อผมเองไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับตัวผู้ถาม ตอนตอบยังนึกในใจว่าถ้าน้องไปให้หมอดูทำนายดวงชะตาให้ อย่างน้อยก็ต้องบอกวันเดือนปีเกิดหรือไม่ก็ต้องยื่นมือยื่นหน้าให้หมอดูพินิจก่อนจึงจะพอทำนายทายทักกันได้ แต่นี่ผมแทบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับน้องที่ถามมา มีก็แต่อีเมล์เท่านั้น

ผมอยากบอกว่าถ้าคุณจะเอาคำถามนี้ไปถามใครก็ตาม ควรแนะนำตัวเองให้ผู้ตอบได้รู้จักตัวตนของคุณบ้าง ยิ่งผู้ตอบเข้าใจตัวคุณมากเท่าไรเขาก็สามารถตอบคำถามได้เฉพาะเจาะจงมากขึ้นเท่านั้น  

อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าคำถามที่ว่าขายอะไรดีไ่ม่น่าจะเป็นคำถามเริ่มต้นในการทำธุรกิจหรือค้าขาย แต่น่าจะเป็นคำถามอย่างอื่นมากกว่า...

เราจะขายอะไรได้บ้าง?

คำถามลักษณะนี้เป็นการถามตัวเราเอง เป็นการมองเข้าหาตัวเองเพื่อค้นหาศักยภาพในตัวเราว่ามีสิ่งใดที่เราพอทำได้หรือชอบที่จะทำ พยายามสำรวจตัวเองให้ละเอียดถี่ถ้วน ไม่แน่ว่าเราอาจพบความสามารถดีๆ หลายๆ อย่างในตัวเราเองที่เมื่อนำมารวมๆ กันแล้วมันเหมาะกับการค้าขายอะไรสักอย่างก็ได้

ผมอยากจะยกตัวอย่างงานที่ผมเคยทำมาก่อนให้ฟังนิดหน่อย เผื่อจะเป็นแนวทางในการคิดของมือใหม่ได้นะครับ

ในช่วงหนึ่งผมเคยขายของสะสมบนเว็บอีเบย์มาก่อน ที่ทำได้เพราะผมพอจะอ่านเขียนภาษาอังกฤษได้ และเคยเล่นกล้องมาบ้างตั้งแต่สมัยเรียน แม้จะไม่ได้เก่งกาจอะไร แต่สองอย่างนี้เป็นทักษะที่ช่วยให้ผมสามารถขายสินค้าพวกของสะสมบนเว็บอีเบย์ได้ไม่ยาก สิ่งที่ผมต้องขวนขวายเพิ่มเติมก็คือต้องหาหนังสือเกี่ยวกับการขายสินค้าบนอีเบย์มาอ่าน ต่อมาผมได้รู้จักกับเพื่อนคนหนึ่งซึ่งมีสต็อคของสะสมชนิดนี้อยู่เยอะมากแต่เขาไม่มีเวลาที่จะมาถ่ายภาพและจัดการการขายด้วยตัวเอง เราจึงได้ตกลงเป็นหุ้นส่วนกัน นอกจากนี้ สมัยที่ยังทำงานอยู่เมืองจีนผมยังเคยศึกษาเรื่องการทำเว็บไซต์มานิดหน่อย พอจะเข้าใจภาษา HTML ซึ่งใช้ในการเขียนเว็บไซต์บ้าง พอมาขายของบนอีเบย์สักพักนึงก็เลยคิดจะทำเว็บไซต์เองดูบ้าง ก็ต้องขวนขวายหาหนังสือสอนการทำเว็บใหม่ๆ มาอ่านอีก พอดีมีเพื่อนที่เป็นเว็บดีไซน์เนอร์อยู่ด้วยก็เลยได้ปรึกษากับเพื่อนบ้าง

ในเรื่องการออกแบบเว็บไซต์ก็อาศัยว่าเคยเรียนศิลปะมาบ้าง กับเคยทำหนังสือรุ่นสมัยเรียนมัธยมปลาย จึงพอจะมีพื้นฐานการออกแบบหน้าหนังสือซึ่งเอามาปรับใช้กับหน้าเว็บได้บ้าง ตอนนี้มามองย้อนกลับไปผมว่าสิ่งที่ผมทำนั้นมาจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ผมเคยเรียน เคยเล่น เคยผ่านมาบ้าง อาจจะไม่ได้เชี่ยวชาญอะไรมากนัก แต่เอามารวมๆ กันแล้วต่อยอดอีกนิดหน่อยก็กลายเป็นงานที่ผมทำเป็นอาชีพได้เหมือนกัน และจะหาคนที่ทำอย่างผมก็คงมีไม่เยอะเท่าไหร่

คุณเองก็อาจจะมีความทักษะเล็กๆ น้อยๆ จากการเรียนหรือเล่นในสมัยเด็กๆ อยู่หลายอย่าง ลองนึกดูดีๆ อาจจะเอามาปัดฝุ่นใช้งานในการทำธุรกิจก็ได้นะครับ

เราจะขายใครได้บ้าง?

อีกคำถามนึงที่น่าสนใจสำหรับการเริ่มต้นค้าขาย ไ่ม่ว่าจะออนไลน์หรือออฟไลน์ ผมคิดว่าเป็นคำถามที่มองออกไปนอกตัว คือมองไปที่ตลาดที่เราจะขาย คำตอบของคำถามนี้อาจมาจากเครือข่ายที่เรามีอยู่แล้ว หรือกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่เราพอจะเข้าถึงได้

เรื่องนี้ผมอยากจะยกตัวอย่างลูกค้าที่ใช้บริการของผมในปัจจุบันสักสองราย รายแรกเธอขายสินค้าเฉพาะในกลุ่มเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ และญาติๆ ในเฟสบุ๊คเท่านั้น แต่ความที่มีเพื่อนและญาติเยอะมาก ทำให้เธอขายสินค้าใหม่ๆ ไ้ด้เรื่อยๆ แถมขายสินค้าราคาแพงๆ ซะด้วย ไม่มีปัญหาความน่าเชื่อถือเลยเพราะรู้จักกันดีอยู่แล้วในกลุ่ม

อีกรายนึง เธอขายสินค้าในกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้ใช้บริการออนไลน์ของแฟนเธออยู่แล้ว ซึ่งมีเป็นพันคน อยู่ในเครือข่ายที่เธอสามารถเข้าถึงได้อยู่แล้วแบบสบายๆ เพียงแต่หาสินค้ามาลงให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าก็ขายได้แล้ว

ถ้าคุณสามารถหากลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนและเข้าถึงได้สักกลุ่ม ก็น่าจะลองสำรวจดูนะครับว่าพอจะสรรหาสินค้าอะไรมาขายในกลุ่มได้ เริ่มต้นอาจจะเป็นแค่กลุ่มเล็กๆ ก่อนก็ได้ พอเริ่มขายได้แล้วค่อยขยายวงออกไปให้กว้างขึ้น สุดท้ายก็อาจจะกลายเป็นธุรกิจขึ้นมาจริงๆ ก็ได้

แต่ระวังอย่าเอาสินค้าไปยัดเยียดให้เพื่อนในกลุ่มล่ะครับ เดี๋ยวเืพื่อนจะเลิกคบแล้วจะมาหาว่าผมแนะนำไม่ได้นะครับ :-p 




 

Create Date : 23 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 23 กรกฎาคม 2555 12:15:12 น.
Counter : 2211 Pageviews.  


PoojeeChunn
Location :
ภูเก็ต Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




พิเชษฐ์ บุญย์วิรุฬห์ (ชุน) เกิดปี พ.ศ. 2515 ที่จังหวัดสงขลา เรียนหนังสือ เติบโต และเริ่มทำงานที่กรุงเทพฯ เคยไปทำงานที่ประเทศจีนห้าปี กลับมาทำงานประจำได้ไม่นานก็ลาออก แต่งงาน ย้ายมาอยู่ที่ภูเก็ต ทดลองทำโน่นทำนี่อีกหลายอย่าง จนได้มาเรียนรู้เรื่องการทำเว็บ จึงได้ก่อตั้งบล็อกชื่อ Chinese Web info ขึ้น เป็นจุดเริ่มต้นของการทำเรื่องใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าจะพาผมไปลงเอยที่ไหน
Friends' blogs
[Add PoojeeChunn's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.