|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
บัลลังก์เสน่หา : ตอนที่ 22 ครึ่งแรก
สถานการณ์รอบด่านเจิ้งถงเริ่มส่อเค้าเลวร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ กองกำลังจากด่านตะวันออกอันปกปักษ์คุ้มครองแนวเขตแดนของต้าฉางมาช้านาน จำต้องแบ่งไพร่พลเข้าต้านทหารจากส่วนกลางของแคว้นที่หลั่งเข้ารุกตีไม่หยุดหย่อน ผนวกด้วยกองโจรกลุ่มน้อยที่รบรุกเข้ามาสร้างความวุ่นวายตลอดแนวเขตแดนระหว่างต้าฉางและเสี้ยน ชาวบ้านรอบชายแดนต้องอยู่อย่างหวาดระแวงกับศึกสงครามที่ทำท่าจะครุกรุ่นขึ้นอีกครั้ง อดีตรัชทายาทแคว้นเสี้ยนทรงซ่อนพระพักตร์หม่นเศร้า ความกลัดกลุ้มเข้าเกาะกุมพระทัย เพราะต้องเป็นคนรบดันให้กลุ่มคนเหล่านั้นล่าถอย ซ้ำยังลงดาบสังหารชีวิตคนเหล่านั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ด้วยพระองค์เอง ทหารพวกนั้น...ทหารของเสี้ยน ภายใต้การปกครองของลู่เหลียง! สู้ก่อกวนอยู่ได้สักระยะ วันหนึ่งรองแม่ทัพฝ่ายขวาอู๋อี้หวิ๋น ได้รับพระบัญชาให้นำคณะราชทูตของลู่เหลียงโดยผ่านทางจากแคว้นเสี้ยนมาถึงประตูค่ายชั้นนอก คณะทูตเพียงสามคนอัญเชิญราชสาส์นตรงมาจากองค์พระประมุขแห่งแคว้น ในเนื้อความไม่อ้อมค้อมอำพราง ฝ่ายนั้นต้องการให้เจิ้งถงยอมสวามิภักดิ์ แลกกับสิทธิ์ในการนั่งบัลลังก์แห่งต้าฉาง! เหตุใดคนเจิ้งถง...สายเลือดมังกรแห่งต้าฉางต้องยอมศิโรราบต่อแคว้นศัตรู หากทรงคิดจะแย่งชิงราชบัลลังก์ทองคำจากพระอนุชาจริง...ไยต้องพึ่งน้ำมือของหรูจื้อเถียน!
ฝานจิ้งแม่ทัพใหญ่แห่งค่ายทรงฉีกสาส์นฉบับนั้นทันที! จะต้องมีการเจรจาสิ้นเปลืองน้ำลายกันทำไมให้มากความ ในเมื่อหรูจื้อเถียนนั้นกล้าส่งสาสน์มาหยามศักดิ์พระองค์ถึงถิ่น...ไม่มีลายพระหัตถ์ตอบกลับ ความกรุณานั้นมากพอแล้วที่ทรงส่งราชทูตทั้งสามออกจากแคว้นไปด้วยรักษากฎแห่งทหาร ไม่มีใครต้องเสียหัวสูญลมหายใจด้วยพระอารมณ์พิโรธที่พวยพุ่ง ต้าฉางผิดเอง...ผิดที่หันหน้าเข้าฟาดฟันกันในสถานการณ์หมิ่นเหม่ต่อการสูญเสียความเป็นชาติได้มากถึงเพียงนี้
แสนยานุภาพของทัพลู่เหสียงนั้นทรงหวั่นเกรงอยู่ไม่น้อย ไพร่พลเจิ้งถงก็เพียงหยิบมือเดียวเมื่อเทียบกับกำลังส่วนกลางของต้าฉาง ครั้นจะเข้าต่อกรบดขยี้กับลู่เหลียงซึ่งๆ หน้าถือว่ายากนัก และก็ยากขึ้นไปอีกเมื่อต้องเบนทิศทางเผื่อกำลังและแผนกลยุทธ์บางส่วนคอยต้านทานทัพของพระอนุชาที่ส่งมาอีก การต่อสู้กันเองภายในควรจะหลีกทางให้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ภายนอก หนานลี้เป็นนกที่ระวังภัยที่อยู่ไกล ไม่เฉลียวใจซึ่งความวิบัติอันเกิดจากลู่เหลียงที่รุกใกล้เข้ามาทีละน้อยแล้ว
เขาคงไม่มีวันรู้อำนาจที่ปราศจากเหตุผล คือ อำนาจของคนพา และอำนาจที่ปราศจากความเมตตานั้นย่อมเป็นอำนาจที่นำมาซึ่งความปราชัย ศึกนอกศึกในอันคอยขนาบข้างที่ทรงนึกอยากจะเลี่ยง คงเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว... *****
คราขณะเดียวกันนั้นเอง องค์ชายรองของแคว้นมิทรงได้ล่วงรู้เลยว่า พระอนุชาผู้ครองราชบัลลังก์ได้สั่งการต่อราชองครักษ์คนสนิทให้ส่งหน่วยทหารฝีมือดีเร่งรุดเฝ้าติดตามทุกความเคลื่อนไหวของทูตจากลู่เหลียงกลุ่มนี้อยู่ “ใต้ฝ่าพระบาท...กระหม่อมมีข้อเสนอแนะจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ” โจวฉาวเฟ่ยกล่าว “ว่ามา...”
“อันลู่เหลียงและต้าฉางขณะนี้ มิได้ก่อสงครามกันโดยตรง หากฝานจิ้งคบคิดหรูจื้อเถียน ต้าฉางเราคงจะลำบากไม่น้อย จะเป็นการดีไหมพ่ะย่ะค่ะ หากเราสามารถจะลดทอนชนวนเหตุแห่งศึกในภายหน้าไว้ตั้งแต่ต้น...” เสนาบดีหนุ่มพยายามรักษาระดับน้ำเสียงและระมัดระวังถ้อยความกราบทูล เพราะสายพระเนตรที่ตวัดแลมานั้นติดจะมีแววกริ้ว
“เจ้าพูดดั่งหมายให้ข้าต้องหวาดกลัวต่อหรูจื้อเถียนอย่างนั้น...บัลลังก์ของข้า เจ้าคิดว่าข้าไร้สามารถจนไม่อาจจะรักษามันไว้ได้เชียวหรือ!” ขนาดกับหยิงหมิงยังทรงจัดการจนพ่ายแตกกระเจิง ทั้งทางเจิ้งถงก็คงจะย่อยยับหมดสิ้นไปจากแผ่นดินในไม่ช้านี้แล้ว การรับมือหรูจื้อเถียนจะยากสักเท่าไร “พระอาญามิพ้นเกล้าพ้นกระหม่อม...เกล้ากระหม่อมไม่บังอาจหมิ่นแคลนพระปรีชา ได้โปรดทรงประทานโอกาสให้ทาสผู้ต่ำต้อยชี้แจ้งในความคิดเห็นของตนสักนิด หากไม่ทรงโปรดที่กระหม่อมฉันบังอาจทำให้ขุ่นข้องเคืองน้ำพระทัย จะทรงสั่งประหารในบัดดล...ตัวหม่อมฉันโจวฉาวเฟ่ยก็พร้อมยอมพลีถวายชีวิตนี้ไว้ใต้เบื้องพระบาท ที่จะกราบทูลต่อไป ก็เพียงอยากจะแสดงให้ทรงรู้ และเข้าพระทัยในเจตนารมณ์ของความจงรักภักดีอันข้ารองพระบาทผู้นี้มี...ด้วยพระปรีชาสามารถนั้น กระหม่อมรู้ซึ้งเห็นประจักษ์แก่ตาแก่ใจมานานแล้ว หากแต่ข้อปรึกษาที่จะกราบทูลนั้น เพียงนึกอยากจะแบ่งเบาราชกิจให้ลดน้อยถอยบ้าง อันจะได้มีเวลาได้ทรงถนอมบำรุงพระวรกายให้เป็นมิ่งขวัญแก่ราชบัลลังก์ แลไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ตราบนานเท่านานนะพ่ะย่ะค่ะ” กล่าวจบโจวฉาวเฟ่ยก็น้อมหมอบคำนับที่หน้าบัลลังก์ทรงงาน
ฮ่องเต้แห่งต้าฉางทรงโบกพระหัตถ์ให้เสนาบดีคู่คิดลุกขึ้นจากการหมอบราบกับพื้น ไหนๆ แล้วราชบัลลังก์ที่ทรงได้ครองเขาผู้นี้มีส่วนช่วยไม่น้อย เสียเวลาฟังความของเขาอีกหน่อย จะกระไรกัน
“แล้ววิธีใดที่จะทำให้ชาติหยิ่งผยองอย่างลู่เหลียงมีสัมพันธไมตรีกับเรา ทัพหลวงของพวกมันก็ยิ่งใหญ่เกรียงไกรไปทั่วถิ่นแดน ทั้งยังทรัพย์สมบัติมากมี จะยังมีบรรณาการใดเล่าที่หรูจื้อเถียนนั้นต้องการ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท...กระหม่อมมีความคิดเห็นว่า หากต้าฉางสร้างสัมพันธ์กับลู่เหลียงให้แน่นในระดับหนึ่ง ระหว่างที่เรายังต้องเสียเวลาจัดการกับฝานจิ้งจะได้ไม่ต้องพะวักพะวงกับลู่เหลียงว่าจะฉวยโอกาสเข้ารุกตีเราหรือไม่...อันบุรุษมักพ่ายแพ้ต่อจริตและความงามของสตรี ในบันทึกประวัติศาสตร์ หลายแคว้นต้องล่มก็เพราะเจ้าครองแคว้นลุ่มหลงมัวเมาในเพศรสแห่งหญิงงามตำหนักใน...” “เจ้าจะให้ข้าส่งบรรณาการสาวงามไปให้เขาอย่างนั้นหรือ” ฮ่องเต้หนุ่มทรงตรัสถาม แน่พระทัยนัก ข้างกายหรูจื้อเถียนย่อมต้องมีดอกฟ้านางสวรรค์ผลัดเวียนบนแท่นบรรทมไม่ต่างจากพระองค์ “พ่ะย่ะค่ะ...หากตัวเขามีใจรักใคร่ลุ่มหลงต่อสตรีผู้นั้นมากๆ สัมพันธภาพอันดีมันก็ย่อมต้องเกิด หรือหากว่าไม่เป็นดังหมาย เราก็ยังได้มีสายลับที่แฝงตัวอยู่ลึกเพื่อเก็บข้อมูลใกล้ชิดถึงบนเตียงนอน” ครั้นหนานลี้ฮ่องเต้ทรงพยักพักตร์คล้อยตาม โจวฉาวเฟ่ยจึงได้ลอบกระหยิ่มในใจ “เพียงสละพระขนิษฐาผู้มีสายโลหิตแห่งราชนิกุลส่งไปเป็นบรรณาการล้ำค่า ทำไมหรูจื้อเถียนจะไม่เห็นซึ่งพระไมตรีที่ยื่นให้ และสตรีตัวหลักซึ่งเหมาะสมที่สุดในการเจริญสัมพันธไมตรีครั้งนี้ เห็นจะเป็นใครไม่ได้นอกจากองค์หญิงลำดับที่สิบห้าของราชวงศ์...” “...อวี่เฉิน!” ไม่นานนักนามขนิษฐาต่างมารดาผู้เป็นยอดดวงหทัยของพระราชบิดาล่วงผ่านพระโอษฐ์
โจวฉาวเฟ่ยสบสายพระเนตรคล้ายดั่งถามว่าทรงดำริเช่นใด “...คนที่ฝานจิ้งรักมากที่สุดในแผ่นดินนี้จะมีใครได้อีกนอกจากขนิษฐาร่วมตำหนักนางนี้ ทั้งเรายังมีสตรีที่เขาเคยผูกสมัครรักใคร่อย่างท่านหญิงตระกลูสวี่อีก ขบวนบรรณาการสาวงามจากวังในที่พระองค์จะทรงคัดเลือกด้วยองค์เอง...การจะเหยียบใจฝานจิ้งไปพร้อมๆ กับประโยชน์ที่เราจะได้จากลู่เหลียงก็เห็นจะมีแต่วิธีนี้ กระหม่อมแน่ใจนักว่าฝานจิ้งจะต้องส่งคนออกมาขัดขวาง หรือไม่ก็คงต้องเป็นคนออกมาเอง หากฟ้าอำนวยโอกาสอาจจะเปิดให้เราได้กำจัดฝานจิ้งให้สิ้นซาก หรือถ้าคลาดแคล้ว...เราก็ยังได้พันธมิตรใหม่คือลู่เหลียง หากพระองค์ทรงทำชาติให้เป็นปึกแผ่นปราบปรามกบฏอันเป็นเสี้ยนหนามแผ่นดินได้หมดสิ้นแล้ว ด้วยพระปรีชาที่ทรงมี การจะต่อกรกับลู่เหลียงในภายหน้าก็ไม่เห็นจะยากอันใดเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงอวี่เฉินนางจะเป็นเบี้ยสำคัญของหมากกระดานนี้ ส่วนสวี่ชิงหลิง แม้ฝานจิ้งจะรับเอาหญิงชาวบ้านคนหนึ่งมาอยู่ร่วมค่ายยกย่องให้เป็นภรรยา แต่สัมพันธ์เยื่อใยที่อาจจะยังคงมีต่อกัน สตรีโฉมงามเลอล้ำขนาดนั้นจะมีบุรุษใดตัดใจไม่ไยดีได้ลง หากฮ่องเต้พระองค์นี้ไม่ทรงคิดตำหนิว่านางอาจเคยเป็นคนของพระเชษฐาทั้งสองมาก่อน มิทรงอยากรับเดนจากเชษฐาทั้งสององค์ นางก็ไม่แคล้วจะได้เข้าถวายตัวเป็นนางบำเรอบนแท่นบรรจถรณ์แน่แท้
การจะทำให้ปลาใหญ่ฮุบเหยื่อนั้นไม่ยากเลย โจวฉาวเฟ่ยรู้ว่าตอนนี้คนของราชองครักษ์ข้างบัลลังก์นามกงจื่ออิ้งกำลังกระทำการณ์ใดอยู่ที่แคว้นเสี้ยน หากฝานจิ้งไม่ยินดีรับไมตรีจากลู่เหลียง คนของเขาก็จะได้ลงมือทำตามแผนขั้นต้นที่วางไว้ ในเมื่อโอกาสมาถึง สละสามชีวิตทูตหลวงเพื่อแลกกับการกลืนชาติมหาอำนาจอย่างต้าฉางได้...มันคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
ดวงตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถมองเห็นคิ้วของตน คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผลได้ระยะสั้นเท่านั้น แต่คนฉลาดอย่างแท้จริงจะมองไปยังอนาคต หนานลี้เจ้าคนโง่...นี่หาใช่ยืมดาบเพื่อฆ่าคน แต่เพราะความหวาดระแวงแก่งแย่งของคนต้าฉางเอง ทำให้ตัวเขาสวมรอยยืมชื่อของทั้งสองฝ่ายมาใช้ได้ง่ายขึ้น ความร้าวฉานของหนานลี้และฝานจิ้ง ตัวเขาผู้นี้จะเป็นคนกรีดมันให้ลึก และแหวกมันให้กว้างที่สุด เพื่อนายเหนือหัวและแผ่นดินลู่เหลียงอันเป็นที่รักของเขา! *****
สายลมแผ่วเย็นยามค่ำคืนของฤดูคิมหันต์ไล้ผ่านระต้องให้ชื่นกายา จันทร์กระจ่างสาดแสงนวลตาแต้มระบายผืนแผ่นฟ้าอันกว้างไกล ที่บนฟ้านั่น ดาวดวงเล็กแผ่ประกายสีเงินสกาวดุจต่วนทอปักเหลื่อมสลับไหมอันล้ำค่ายิ่ง
“เจ้าเห็นนั่นไหม” สุรเสียงทุ้มใหญ่ตรัสราวกระซิบ หยางเสียมองตามนิ้วพระหัตถ์ซึ่งชี้ไปยังพุ่มไม้ที่ห่างไปเกือบช่วงวา “เพคะ” หญิงสาวพยักหน้ารับ หิ้งห้อยน้อยตัวหนึ่งกำลังบินฉวัดเฉวียนกะพริบขับแสงประไพถี่ๆ ให้ได้เห็น
“เจ้าตัวนั้นกำลังบินอวดสาว และนี่...สาวตัวที่ว่า” องค์ชายฝานจิ้งเบนนิ้วพระหัตถ์ไปเหนือทิวหญ้าใกล้เบื้องพระพักตร์ สายพระเนตรคมกริบทอดมองจุดที่แมลงตะเกียงตัวนิดเกาะตัวนิ่งอยู่
“ทรงรู้ได้อย่างไร ว่าเจ้าหิ้งห้อยตัวไหนเป็นหนุ่ม ตัวไหนเป็นสาว”
“เจ้าตัวผู้ชอบเรียกร้องความสนใจ เห็นไหมว่ามันกะพริบแสงอยู่ไม่หยุด” ทรงตรัสให้คำตอบ แม่ทัพใหญ่ของเจิ้งถงทรงตวัดพระหัตถ์รวดเร็วจับเอาหิ่งห้อยน้อยอีกตัวที่บินอ้อยอิ่งเฉียดผ่านพระวรกาย
ฝ่ามือขาวสะอ้านของหยางเสียกางแผ่รอรับแมลงตัวนั้น ค่อยๆ กอบ ประคองไว้ในอุ้งมืออย่างกลัวมันจะบอบช้ำ “ทำไมเพคะ”
“นี่ก็เจ้าหนุ่มน้อย มันกะพริบแสงบ่อย เจ้าลองจ้องดูที่ตามัน...ใหญ่ไหม” “หม่อมฉันไม่ทราบ” อย่างไรที่เรียกว่าใหญ่ ที่นางเห็นภายใต้ตะเกียงน้ำมันข้างกาย ตามันก็สมส่วนกับตัวดี
“อืม...” องค์ชายฝานจิ้งทรงหยัดวรองค์ ทรงลุกดำเนินไปแถวพุ่มไม้ใกล้ๆ ครั้นเสด็จกลับมา ก็ได้แมลงตะเกียงกระจิ๋วมาอีกตัว
“เทียบดูสิ...” ทรงจ่อแมลงตัวน้อยเข้าใกล้แสงไฟ “นี่ตาเล็กกว่า...นิดนึง ไม่ชอบบิน ไม่ชอบกะพริบแสง...เป็นตัวเมีย”
หยางเสียหัวเราะคิก ทึ่งในพระปรีชา ราชกิจก็ทรงมีมากมาย ไฉนถึงได้มีเวลาสังเกตแม้กระทั่งเจ้าสัตว์ตัวเล็กตัวจ้อย หญิงสาวปล่อยหิ่งห้อยในมือให้บินจากไป พร้อมๆ กับหิ่งห้อยสาวในอุ้งพระหัตถ์
องค์ชายฝานจิ้งทรงสะบัดหัตถาดับไฟตะเกียง ก่อนเอนพระองค์ลงนอนหนุนที่ตักของเจ้ายอดดวงใจ คืนนี้ฟ้าเปิดไร้เมฆหมอกบังจันทรา หลังเสวยมื้อค่ำจึงทรงเอ่ยชวนหยางเสียออกมาเดินเล่นรับลมที่เนินเขา คงดีกว่าจะทนอุดอู้อยู่แต่ภายในกระโจมที่ประทับ
หยางเสียกวาดตามองฝูงแมลงตะเกียง ร่างกายเล็กๆ ของมันเปล่งแสงสีเหลืองอมฟ้าระยับพราวกะพริบทิ้งจังหวะ คล้ายโคมประดับให้สีสันแก่เงาสลัวแห่งราตรี บ้างที่ลอยตัวบินเอื่อย บ้างที่ออกแนวผาดโผนบินไปมารวดเร็ว
“เจ้าตัวนั้นขี้อวดกว่าใครเพื่อน...มันต้องการให้สาวที่หมายปองมองมัน ตาใหญ่ๆ ที่มันมีจะคอยมองว่ามีสาวตัวไหนสนใจมันบ้าง...หากสาวเจ้าตัวไหนรับรัก แม่สาวตัวนั้นก็จะกะพริบแสงตอบ ทีนี้ก็ถึงเวลาสร้างเจ้าหิ่งห้อยตัวน้อยกันละ”
ทรงรู้แม้กระทั่งแมลงพวกนั้นจะสร้างเจ้าตัวน้อยกันตอนไหน “...คงไม่ต่างจากคนเท่าไหร่ ชอบทำตาใหญ่ๆ ไว้มองหาสาวสวยๆ ด้วยเหมือนกัน” พระโอษฐ์กว้างแย้มพราย “พี่คนนี้ไม่เผื่อตาไว้มองใครแล้วนา...เพราะเจอคนที่สวยถูกใจเป็นที่สุดแล้ว เสียแต่ยังสร้างเจ้าตัวน้อยมาให้รักให้หลงไม่ได้เท่านั้นเอง”
แก้มนวลสุกปลั่งในความมืดนางเก้อเขินจึงเสแหงนหน้ามองฟ้าที่เบื้องบน รู้สึกถึงสัมผัสนุ่มจากริมพระโอษฐ์ที่กดประทับกลางฝ่ามือ ในความเงียบสงัดของรัตติกาลซึ่งครอบคลุม เหตุการณ์หลายๆ อย่างก็แวบแล่นเข้ามาในห้วงคิดคำนึงของหญิงสาว
“ดาวสวยมากเลยนะเพคะ...” แต่จะมีโอกาสได้ชมอัญมณีประดับท้องนภาสวยงามอย่างคืนนี้ได้นานสักเท่าไร สงครามกลางแคว้นอุบัติขึ้นแล้ว ซ้ำเจิ้งถงอาจจะต้องเตรียมรับศึกจากทัพลู่เหลียงอีก
ลมหายใจถอดถอนแผ่วเบาที่ทรงยินจากหยางเสีย องค์ชายฝานจิ้งจึงยกหัตถาใหญ่ขึ้นจับที่แก้มนาง “หยางเสีย...” ทรงตรัสเรียกให้นางก้มมองยังพระองค์ ใต้เงาสลัวของเดือนเพ็ญ ในหน่วยตาคู่งามซึ้งมีประกายหยาดน้ำวาววับ
“อภัยให้หม่อมฉันนะเพคะฝ่าบาท” หญิงสาวสูดลมหายใจลึก กลั้นน้ำตาไม่ให้รินไหล จับจ้องมองพระองค์เมื่อคราวใด เงาหมอกของสงครามที่เริ่มเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ ก็ราวกับแฝงเข้ามาย้ำเตือนให้นึกหวั่น
“อย่าได้กังวล พี่สัญญากับเจ้า เราจะต้องผ่านมันไปได้” ราชทูตแคว้นลู่เหลียงโดนลอบสังหาร โดยคนของพระอนุชา แต่ทว่าฝ่ายนั้นได้ป้ายความผิดมายังคนด่านเจิ้งถง การฆ่าราชทูตเดินสาส์นถือเป็นการหยามเกียรติ์ทหารอันสูงสุด หากสงครามกินเวลายืดเยื้อยากยุติ พระองค์คงต้องอยู่กลางสนามรบตลอดเวลา รักแสนรัก...ห่วงแสนห่วง ใครเล่าจะคอยดูแลปกป้องอยู่เคียงข้างนาง “หากท้ายที่สุดจะต้องตาย พี่ก็ห่วงเพียงเจ้า...”
มือเรียวทาบปิดป้องริมพระโอษฐ์ทันใด “หยางเสียจะไม่ยอมอยู่...หากขาดซึ่งพระองค์” สุดท้ายมุกน้ำตกก็ตกรินต้องยังพระพักตร์
ไม่เอาแล้ว...นางไม่อาจจะทนทำใจต่อความตายของคนที่นางรักได้อีกแล้ว
แม่ทัพใหญ่แห่งค่ายทรงประทับนั่ง ดึงรั้งร่างสตรีอันเป็นที่รักยิ่งเข้ากอดแนบยังพระอุระ “พี่หวังให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปนะหยางเสีย”
“ไม่!...หม่อมฉันจะไม่อยู่” ร่างน้อยสะอื้นไห้ฝังหน้าซุกแนบแน่นยังแผ่นอุระอันเป็นที่พึ่งพิงสุดท้ายของชีวิต แทนที่ตัวนางจะทำใจเข้มแข็งไม่ให้ทรงหนักพระทัย สุดท้ายกลับปล่อยอารมณ์อ่อนแอเข้าครอบงำ ไม่อาจข่มกลั้นหยุดความหวาดวิตกภายในใจได้ นางรู้...นางไม่ทำตัวเป็นคู่ชีวิตที่ดี คอยแต่จะเป็นตัวถ่วงให้พระองค์ห่วงพะวงร่ำไป “นิ่งนะ...” ฝ่าพระหัตถ์ลูบปลอบโยนยังแผ่นหลังบอบบาง “พี่จะไม่ตาย...เจ้าต้องไม่ตาย เราสองคนจะอยู่เพื่อเลี้ยงดูหนูเสียและฝานจิ้งตัวน้อยให้เติบโตไปด้วยกัน”
“อย่าทรงโกรธหยางเสียนะเพคะ หยางเสียจะไม่ร้องไห้อีกแล้ว” นวลหน้าน้อยซุกเช็ดคราบหยดน้ำตาบนฉลองพระองค์ ยิ่งมีท่านแม่ทัพคอยห่วง...คอยอาทร นางก็มักหลงลืมทำตัวไม่รู้จักโตเสียที
“จะโกรธเจ้าได้อย่างไรกัน ที่ร้องไห้ก็เพราะรัก...เพราะห่วงพี่ไม่ใช่หรือ” นิ้วพระหัตถ์เกลี่ยคลึงสองแก้มเนียน “มัวแต่ร้องไห้อย่างนี้ คนดีของพี่จะทันได้เห็นดาวตกรึ ดาวตก...โบราณว่าไว้ อธิษฐานอย่างใด จะสมปรารถนาอย่างนั้น พี่เห็นมันตกสามสี่ดวงแล้ว หรือคืนนี้ตัวเจ้าไม่อยากจะขอพรเทพท่านให้พี่บ้าง...” พระโอษฐ์กว้างคลี่แย้มสรวล เมื่อนางในอ้อมพระกรหันขวับแหงนแลยังทิฆัมพรเบื้องบน
องค์ชายฝานจิ้งทรงขยับพระองค์โอบตระกองสวมกอดยังแผ่นหลังของผู้เป็นภรรยา ให้พระอุระเป็นดั่งผ้าผืนหนาห่มคลุมยังเรือนกายของหยางเสีย “หากเห็นดาวตกอีกดวง เรามาอธิษฐานขอพรพร้อมกัน”
“ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน หยางเสียก็จะรักและขออยู่เคียงข้างพระองค์ไปจนวันตาย” เสียงนางเอ่ยพร่ำ วงแขนเรียวกอดกระชับยังท่อนพระพาหาซึ่งรัดรอบตัวนาง
“ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน อยู่ก็ขอให้ได้เคียงชิดใกล้ หากแม้ตัวตาย พี่ก็ขอให้สายใยแห่งวาสนาเส้นนี้พันผูกสองเราไว้ทุกชาติไป”
พันผูกสองเราไว้ทุกชาติไป... *****
Create Date : 07 พฤษภาคม 2553 |
|
2 comments |
Last Update : 7 พฤษภาคม 2553 16:30:16 น. |
Counter : 1989 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: nuyza_za 7 พฤษภาคม 2553 19:28:20 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]
|
|
|
|
|
|
|
|