|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ขวัญข้าเอย บทที่ 3 (วิรมย์รดา)
นางเหม่ยกลัวว่าความเป็นคนตรงไปตรงมาของหลานสาว อาจจะทำให้นางเผลอทำเรื่องงัดข้อจนทำให้คุณชายน้อยขุ่นมัวไม่สบอารมณ์ จนนำไปสู่ความขัดเคืองของนายหญิงใหญ่ของบ้านอันจะทำให้นางไม่อาจจะใช้ชีวิตอยู่ในบ้านสกุลฟู่ได้สะดวกใจนัก หญิงชราจึงได้ขอร้องกลายๆ ให้จินป๋ายไช่หลบเลี่ยงและอยู่ห่างคุณชายน้อยเข้าไว้ แต่เรื่องราวกลับพลิกผัน กลายเป็นว่าอีกฝ่ายมักจะเดินมาเยี่ยมๆ มองๆ ออกอาการสนใจใคร่รู้ในสิ่งที่หลานสาวของนางทำเสมอ วันใดที่ฝนตก หลังฝนซาเม็ดลง จินป๋ายไช่ก็มักจะออกสำรวจรอบๆ บ้านสกุลฟู่ ได้ลูกนกพลัดตกจากคาคบมาพยาบาลรักษา ช่วยเหลือสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่ผ่านเข้ามาให้เห็น หรือวันที่อากาศหนาว นอกจากจะนั่งผิงเตาเอาไออุ่นแล้ว นางก็จะถือโอกาสเอาแป้งตากแห้งสูตรเฉพาะตัวจากบ้านนอกที่นางได้ทำไว้ตั้งแต่วันแดดจัดในฤดูร้อน ออกมาอังไฟจนแผ่นแป้งนั้นสุกเหลืองส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายเด็กน้อยที่นอนคุดคู้ใต้ผ้าห่มนวมบนชั้นสองของเรือนเยวี่ยฉง ความเปิดเผย มีน้ำใจ ซื่อตรงต่อความรู้สึกและการกระทำของจินป๋ายไช่กำลังดึงดูดคุณชายน้อยฟู่เจียนจื่อทีละน้อย...ทีละน้อย ฤดูกาลเวียนผ่านไปตามเวลาที่เดินหน้าไม่รู้หยุด ในบ่ายวันหนึ่งกลางคิมหันต์ ลมฤดูร้อนพัดพาเอาไอความร้อนปะทะวูบที่ใบหน้า จินป๋ายไช่ยกมือปาดเหงื่อที่ไหลย้อยลงข้างแก้มแม้นางจะนั่งอยู่ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ข้างลานดินที่ใช้เป็นสนามเด็กเล่นของคุณชายน้อยฟู่เจียนจื่อและลูกบ่าวของบ้านสกุลฟู่ ครบหนึ่งปีกับการใช้ชีวิตอยู่ภายในรั้วบ้านสกุลฟู่ เสียงเจี๊ยวจ๊าวในลานดินดึงความสนใจของนางจากตะกร้อสานในมือไปพักใหญ่แล้ว นางจึงหันกลับมาสานมันต่อ นั่งจมอยู่กับตัวเองสักพักก็พบว่ามีฝีเท้าหลายคู่มารวมกันอยู่ตรงเบื้องหน้านาง “ทำอะไร” ก็มองออกว่ามันคือลูกตะกร้อ...ที่ใหญ่มาก แต่ฟู่เจียนจื่อก็อยากจะถาม “ตะกร้อสาน เหมือนที่คุณชายกำลังเล่นอยู่นั่นไง” “ไม่เหมือน...ลูกนี้ใหญ่กว่า” แม้จะบิดเบี้ยวไม่กลมสมส่วนอย่างที่บิดาซื้อให้ แต่ความใหญ่โตและสีเขียวของกิ่งไม้สดที่ยังมีใบเล็กๆ แซมอยู่ทำให้เด็กชายเกิดความต้องการที่จะครอบครองมัน “ข้ายังทำไม่เสร็จ แต่ถึงเสร็จก็ไม่สวยเท่าไหร่” นางเคยสานตะกร้อลูกเล็กๆ ให้ญาติที่เป็นลูกพี่ลูกน้องซึ่งเคยไปอาศัยอยู่ด้วยเล่น เมื่อเช้าบ่าวผู้ชายตัดกิ่งไม้ในสวน นางเห็นว่ากิ่งไม้มันเรียวเล็กเหมาะมือ จึงคิดนำมาสานขัดไปมา กะว่าแล้วเสร็จจะเอาไปห้อยกับกระพรวนแขวนไว้กับต้นสนใหญ่หน้าห้อง “ข้าอยากได้...” คุณชายน้อยบอกความต้องการออกมาตรงๆ “เรียนนายท่านให้ซื้อลูกใหม่ให้สิเจ้าคะ” จินป๋ายไช่แนะ นางก้มหน้าสอดกิ่งไม้อันสุดท้ายเข้าไปภายในลูกตะกร้อเพื่อจบงานที่เสียเวลานั่งทำมานานเกือบครึ่งชั่วยาม ได้เวลากลับไปทำงานช่วยเฟยเฟยที่เรือน “ข้าอยากได้อันนี้...ไม่ได้หรือไง” ดวงตากลมโตสุกสว่างฉายแววว่าอยากจะได้อย่างจริงจัง คางน้อยๆ นั้นเชิดขึ้น อยากได้...แต่อายที่จะอ้อนวอนร้องขอ ฟู่เจียนจื่อยังไว้ตัวอยู่ในที จินป๋ายไช่อมยิ้มกับท่าทางของเด็กชาย “หากนั่นคือความต้องการของคุณชายน้อย บ่าวคงไม่กล้าขัด เพียงแต่...” “อ้าวไหนว่าไม่กล้าขัดไง ทำไมต้องมีแต่” เด็กชายสงสัย นางก่อไฟแห่งความหวังให้เห็น แต่กลับดับพรึบแทบจะทันใด “ใจร้อนจริงเชียว...บ่าวก็เพียงแต่อยากให้ทุกคนเล่นด้วยกัน ลูกใหญ่แบบนี้เล่นคนเดียวจะไปสนุกอะไร ว่าไหม...” นางหันไปถามความคิดเห็นของเด็กชายหญิงที่ยืนรายล้อมตัวนาง ทุกเสียงตอบรับไปในทางเดียวกัน “ให้พวกเราเล่นด้วยนะขอรับคุณชาย” หลายเสียงกล่าวอ้อนวอน ฟู่เจียนจื่อรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนสำคัญมากขึ้นอีกเป็นกอง “ก็ได้ๆ ข้าจะให้พวกเจ้าเล่นด้วย” จินป๋ายไช่ยื่นตะกร้อสานบนตักให้เด็กชายรับเอาไป นางลุกขึ้นเดินออกจากร่มไม้เพื่อติดตามดูเด็กๆ วิ่งไล่ลูกตะกร้อที่คุณชายเจียนจื่อเตะจนกลิ้งหลุนๆ ไปข้างหน้า เหมียนฮวาพี่เลี้ยงสาวก็กำลังยืนชะเง้อคอมองนายน้อยของตนอยู่ไม่ไกลกันนัก ห่างออกไปบนศาลาชุนอวี่ของเรือนเอ้อร์หลิว นางฟู่หลันที่กำลังสนทนากับบุตรชายในเรื่องสัพเพเหระทั่วไปหันกลับมาดูหลานรักที่กำลังวิ่งเล่นในลานดินเป็นระยะ บนลานดินฟู่เจียนจื่อครอบครองตะกร้อไว้คนเดียวไม่แบ่งให้ใครได้เล่นเลย ด้วยความสนุกสนานจนล้นปรี่ที่บ่าวไพร่วิ่งตามเป็นพรวน เด็กชายทั้งกระโดด ทั้งวิ่งโดยอุ้มตะกร้อลูกใหญ่ไว้ในอ้อมอก พลันทันใดนั้นเองขาน้อยๆ ก็สะดุดกันเองจนเจ้าตัวล้มคว่ำกระแทกลงกับพื้น การเจ็บตัวเล็กน้อยจากการเล่นสนุกนั้นเป็นเรื่องธรรมดานักสำหรับเด็กทุกคนในเมือง แต่นี่ไม่ใช่ฟู่เจียนจื่อ...ผู้เป็นแก้วตาดวงใจของท่านย่าของเขา “ตายแล้ว!” เจียวเอ๋อร์ร้องอย่างตกใจเพราะเห็นคุณชายน้อยล้มคว่ำลงกับพื้นดินเต็มสองตา “คุณชายน้อยหกล้มเจ้าค่ะ” “ก็แล้วทำไมถึงยืนอึ้งกันอย่างนั้นเล่า ไม่มีใครสักคนคิดช่วยหลานข้าเลยรึ กะแล้วๆ ข้าน่าจะเชื่อใจตัวเองนัก ก็ว่าจะเรียกเจียนจื่อกลับขึ้นเรือนอยู่แล้วเชียว ไม่น่าเลยๆ” นางฟู่หลันกล่าวโทษไปเรื่อย นางรีบร้อนลุกขึ้น แต่ด้วยความร้อนของไอแดดผสมกับความสูงวัยจึงทำให้นางหน้ามืดจนบุตรชายต้องปราดเข้าประคอง “ข้าไปดูเอง” ฟู่หลิงเฉินกล่าว รุดเดินลงไปยังลานดิน “คุณชายไม่รักษาสัญญา” จินป๋ายไช่ที่วิ่งรวดเร็วมาหยุดอยู่เบื้องหน้าคุณชายนายน้อยของบ้าน “พาข้าลุกขึ้นเดี๋ยวนี้เลย” ฟู่เจียนจื่อออกคำสั่ง นั่งฮึดฮัดรู้สึกเสียหน้า เหมียนฮวาพี่เลี้ยงสาวโน้มกายลง แต่เด็กสาวกลับฉุดรั้งแขนของนางไว้ “ไม่เจ้าค่ะ...และห้ามใครช่วยคุณชายด้วย ล้มเองก็ต้องลุกเองให้ได้ คงไม่เหนือบ่ากว่าแรงของคุณชายกระมัง” “ข้าจะฟ้องท่านย่า จะฟ้องท่านพ่อ เจ้าไม่มีสิทธิ์ออกคำสั่งกับข้าหรือคนของข้า” แม้เขาจะขึ้นเสียงกร้าว แต่หาได้สร้างความสะทกสะท้านแก่นางไม่ “เป็นผู้ชายล้มเองก็ลุกเองได้ไม่เห็นจะยาก หากคุณชายมัวแต่ทำตัวอ่อนแอ ไม่มีเหตุผล สักวันจะโดนคนอื่นรังแก คุณชายคือทายาทคนเดียวของบ้านสกุลฟู่ เมื่อท่านโตขึ้นก็ต้องเป็นที่พึ่งให้ท่านย่า ท่านพ่อและท่านยายเหม่ย บ่าวพูดถูกหรือไม่เจ้าคะ” จินป๋ายไช่ก็ไม่เข้าใจความคิดชั่วแล่นของตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงกล้าทำเรื่องที่อาจจะส่งผลให้ตัวเองโดนขับไล่ออกจากบ้านหลังนี้ได้ทุกเมื่อ หนึ่งปีที่เฝ้ามอง คุณชายฟู่เจียนจื่อหาใช่เด็กเหลือขอนิสัยแย่ยากเกินแก้อย่างคุณชายน้อยสกุลจ้าวข้างบ้าน คุณชายเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของคุณหนูชิงซินสายเลือดสกุลผายซึ่งท่านยายเหม่ยรักเป็นหนักหนา ขาดนายหญิงไปท่านยายก็มีเพียงคุณชายให้ยึดเหนี่ยว และความรักความเมตตาจากท่านยายเหม่ยก็เป็นสิ่งที่นางได้ยึดเหนี่ยวไว้เช่นกัน เด็กสาวเพียงอยากจะเห็นเขาเป็นเด็กดี เติบใหญ่ขึ้นเป็นคนน่าคบหาสมดั่งหน้าตาและวาสนาที่เขามี นายน้อยผู้นี้เกิดมามีทุกอย่างสมบูรณ์พร้อม สักวันเขาต้องได้รู้ว่าตัวเองเกิดมาโชคดีมากเพียงใดที่มีครอบครัว มีย่าและบิดาที่รักเขา เด็กชายโชคดีกว่านาง โชคดีกว่าเด็กหลายคนในเมืองนี้ที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี คงน่าเสียดายนักถ้าคนที่สมบูรณ์พร้อมอย่างคุณชายอาจต้องเสียคนเพราะถูกตามใจด้วยความรักและสงสารของทุกคนในบ้านด้วยเหตุว่าว่าเขาขาดแม่ตั้งแต่แบเบาะ “เจ้าพูดถูกทีเดียว” ไม่รู้เมื่อใดที่ฟู่หลิงเฉินเดินมาหยุดอยู่ด้านหลัง จินป๋ายไช่หันขวับ นางหรี่ตาลงเมื่อต้องเงยหน้ามองร่างสูงย้อนแสงดวงตะวัน “นายท่าน...” “รีบลุกเถอะ ท่านย่ารอเจ้าอยู่” ชายหนุ่มทอดน้ำเสียงอ่อนโยนมอบแก่บุตรชาย ฟู่เจียนจื่อขยับตัวจะลุกขึ้น เหมียนฮวาทำท่าจะยื่นมือเข้าประคอง แต่หนนี้นายหนุ่มกลับยกมือขึ้นห้ามนาง “เจ้าลุกเองได้ใช่ไหม” “ครับท่านพ่อ” เด็กน้อยรับคำ กัดฟันข่มความเจ็บ เขาอยากให้บิดาเห็นว่าเขาเก่งและเข้มแข็ง ครั้นเมื่อร่างเล็กยืนได้ตรงแล้ว ผู้เป็นบิดาก็ก้มเอวลง ฝ่ามือใหญ่ยื่นปัดฝุ่นผงที่ติดตามเสื้อผ้าของบุตรชาย ที่หัวเข่าลูกรักมีรอยถลอกจนกางเกงขาด “พ่อจะพาเจ้าไปใส่ยา ไม่กี่วันแผลก็หายแล้ว” ฟู่เจียนจื่อฉีกยิ้มจนเต็มแก้มเมื่อบิดาอุ้มเขาขึ้น วงแขนป้อมกอดรัดรอบคอของบิดาไว้ เด็กชายมองลูกตะกร้อที่ยังคงอยู่บนพื้น ก่อนจะพูดกับบรรดาบ่าวตัวเล็กของบ้านว่า “ให้พวกเจ้าเล่นกันก่อน ไว้วันหลังข้าจะมาเล่นด้วย” จินป๋ายไช่พ่นลมหายใจแห่งความโล่งอกออกมา นางมองตามร่างสูงซึ่งกำลังเดินจากไป ก่อนจะสบเข้ากับดวงตากลมโตใสกระจ่างของคุณชายน้อยฟู่เจียนจื่อที่โผล่พ้นไหล่ผึ่งผายของบิดา อา...แดดคงจะแผดเผาแรงจนทำให้สายตานางพร่าเลือนกระมัง เพราะชั่วแวบเดียวนั้นเอง คล้ายกับว่านางเห็นคุณชายน้อยคลี่ยิ้มหน่อยๆ ให้นางเป็นหนแรกในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมา... ***** บ่ายวันหนึ่ง ที่มุมหนึ่งของบริเวณลานซักล้างบ้านสกุลฟู่ “ขยับหน่อยๆ ให้มันเข้าเนื้อเข้าน้ำกว่านี้ก่อน ค่อยกินกัน” เกาซื่อ เด็กชายอายุราวสิบสี่สิบห้าปีร้องสั่งสมุนรุ่นเล็กสองสามคนที่ล้อมหน้าล้อมหลังจะเข้ามามุงดูหม้อต้มอาหารรสเลิศจากฝีมือเขาซึ่งกำลังเริ่มเดือดให้ถอยไป “น่ากินแฮะ...ว่าแต่เจ้าขนใส่อะไรลงไปบ้างละนั่น มิใช่แอบไปขโมยห้องครัวมานะ” จินป๋ายไช่กล่าวเชิงเย้าแหย่เพราะรู้ดีว่าเด็กหนุ่มเป็นคนใจซื่อมือสะอาด และคงจะไม่ถือโกรธนางแน่ “ฟังเจ้าพูด ข้าขอมาดีๆ ป้าหนิวแบ่งให้มากับมือ ก็พวกของเหลือที่ยังดูดีอยู่ ว่าแต่เจ้าเถอะน้ำลายคงไหลเหมือนกันละน่า ห๊อม...หอมออกขนาดนี้” เกาซื่อยืดอก พร้อมกับใช้ไม้พายคนต้มสารพัดเนื้อสัตว์และผักหญ้าในหม้อ “ออกไปก่อนๆ” เด็กหนุ่มยังคงส่งเสียงปรามเด็กๆ ที่รายล้อมรอบตัว “ระวังกันหน่อยเด็กน้อย เดี๋ยวโดนไฟโดนน้ำร้อนลวก พ่อแม่เจ้าจะตีซ้ำเอา” จินป๋ายไช่ออกปากเตือนพวกเขาด้วยความเป็นห่วง อยู่ร่วมรั้วก็เหมือนเป็นญาติมิตรกัน บ่าวบ้านฟู่ไม่ได้อดอยากแต่อย่างใด พวกเขาได้กินอิ่มนอนหลับปลอดภัยในทุกวัน แต่เกาซื่อและเด็กๆ ก็มักจะมีเรื่องให้อยากรู้อยากลองทำด้วยตนเองอยู่เสมอ “ทำอะไรกันหรือ หอมไปไกลถึงประตูทางเข้าโน่น” ฟู่เจียนจื่อที่เดินผ่านซุ้มประตูทางเข้าเรือนพักพวกบ่าวตะโกนถามเมื่อเดินมาถึงกลางทาง “มาได้อย่างไรเจ้าคะ” จินป๋ายไช่ในฐานะที่อยู่ใกล้ชิดคุณชายน้อยของบ้านมากที่สุดเอ่ยถามขึ้น ผู้ติดตามเขาเป็นเพียงเด็กชายตัวเล็กหนึ่งคนเท่านั้น “พี่เหมียนฮวาเล่าเจ้าคะ นางไม่มาด้วยหรือ” นางชะเง้อคอหาพี่เลี้ยงประจำตัวของเด็กชายวัยห้าขวบ “ไม่มา...” หรืออันที่จริงป่านนี้นางไม่รู้วิ่งวุ่นตามหาตัวเขาอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ ฟังดูแล้วไม่น่าเชื่อถือเลย ให้ตายสิ! นายหญิงใหญ่ไหนเลยจะปล่อยให้คุณชายน้อยเล็ดรอดสายตาผู้ใหญ่คอยติดตามได้ อย่างนี้แล้วเห็นที่พี่เหมียนฮวาคงเจอฤทธิ์คุณชายน้อยเข้าอีกแน่ “ไม่มาหรือว่าตามมาไม่ทันกันแน่เจ้าคะ” จินป๋ายไช่ดักคอเข้าให้ ฟู่เจียนจื่อทำปากยู่ ก่อนจะไถลตัวแทรกเข้าไปมองหม้อต้มแกงที่ถูกยกขึ้นวางบนโต๊ะตัวเล็ก เห็นลูกบ่าวในบ้านเข้าแถวเคาะถ้วยกระเบื้องในมือไปมารออาหารแจกอย่างน่าสนุก เด็กชายจึงขอถ้วยจากเกาซื่อหนึ่งใบ เกาซื่อกำลังจะถามความเห็นจากจินป๋ายไช่ แต่เด็กชายไม่รอช้ารีบยื้อแย่งถ้วยในมือของเขามาถือไว้ในมือเสียก่อน “แบ่งข้าด้วยสิเกาซื่อ” เด็กชายบอก ตาจ้องควันที่กรุ่นขึ้นปากหม้อ พร้อมกับสูดดมกลิ่นหอมของอาหาร อาหารในหม้อมองดูแปลก ไม่เคยเห็นมาก่อน เสียงเคี้ยวจับๆ ของเด็กคนอื่นดังให้ได้ยินยิ่งเรียกน้ำลายสอ “เอ่อ...จะดีหรือขอรับ ในหม้อนี่ก็พวกเศษหมูเศษปลา” เขากลัวว่าขืนคุณชายกินเข้าไปแล้วเกิดท้องไส้ไม่ดีขึ้นมา เขาจะโดนโทษเอาได้ “ก็ข้าอยากจะกิน บอกให้แบ่งก็แบ่งเถอะน่า ดูสิช้าอยู่นั่นเดี๋ยวคนอื่นก็ตักไปหมดกันพอดีหรอก” ระหว่างที่เกาซื่อเสียเวลาพูดอยู่กับคุณชายน้อยของบ้าน ก็มีมือดีฉวยตักส่วนดีๆ ไปก่อน และเด็กหลายคนที่รอกินก็ออกอาการหวงอาหาร ต่างเข้ารุมล้อมหม้อดินใบเล็ก “อย่าเพิ่งตักไปสิ ของเกาซื่อนะ” เด็กชื่ออาเฉียวพยายามจะยื้อแย่งถ้วยในมือของเกาซัน พี่ชายของเกาซื่อ แต่แรงยื้อยุดทำให้น้ำแกงร้อนๆ ล้นออกจากปากถ้วยลวกมือเกาซันเข้า เกาซันอารามตกใจก็ประคองถ้วยสลับไปมาในมือ ถ้วยจึงกระเด้งกระดอนในสองมือก่อนเขาสะบัดผลักถ้วยแกงให้ออกพ้นตัว เด็กๆ อยู่ใกล้แตกฮือไปคนละทาง มีเพียงเด็กคนหนึ่งเท่านั้นที่มัวยืนเขย่งเท้าชะเง้อคอมองเข้าไปในวงกึ่งทะเลาะวิวาทนั่น จินป๋ายไช่ที่ไม่ปล่อยให้คุณชายน้อยของบ้านคราดสายตาเข้าฉุดเด็กชายที่กำลังจะล้มเพราะแรงกระแทกของเด็กคนหนึ่ง นางหันกายเอาแขนโอบตัวเขาไว้ได้ทัน เพราะโน้มตัวอยู่ต่ำกว่าถ้วยแกงในมือเกาซัน ถ้วยแกงร้อนๆ จึงราดรดลงบนหลังนางพอดิบพอดี... ผ่านช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานช่วงบ่ายมาได้ ตอนนี้จินป๋ายไช่นอนคว่ำหน้าพาดหมอน เนื้อตัวท่อนบนมีเพียงเอี๊ยมสีฟ้า ความเย็นของยาที่เฟยเฟยทาบนไหล่และแผ่นหลังซึ่งถูกน้ำแกงลวกทำให้นางรู้สึกเคลิ้มดวงตาใกล้ปรือปิด โชคดีที่สวมใส่เสื้อหลายชั้น และน้ำแกงนั้นมีจำนวนไม่มาก ไม่อยากจะคิดหากว่าโดนราดทั้งหม้อต้มผลคงจะร้ายแรงกว่านี้ และถ้าคนที่โดนลวกเป็นคุณชายน้อยของบ้าน ผู้ร่วมเหตุการณ์คงจะโดนโทษโบยกันเป็นทิวแถว หลังจากวันนี้ เกาซื่อเป็นอันโดนสั่งให้งดแสดงฝีมือปรุงอาหารไปอีกนาน แต่เรื่องดีใช่ว่าจะไม่มี เด็กหนุ่มโดนเรียกตัวเข้าไปฝึกงานในครัวใหญ่ ป้าหนิวแม่ครัวใหญ่และเหล่าคนงานในครัวที่เอ็นดูและเห็นความตั้งใจจริงที่เขาชอบทำอาหารจึงคิดจะฝึกเด็กหนุ่มให้เป็นพ่อครัวบ้านสกุลฟู่ต่อไป หรือไม่แน่ในวันหน้าอาจจะออกไปทำครัวที่โรงเตี๊ยมไฉฟู่ของนายท่าน ส่วนฟู่เจียนจื่อนั้นหนนี้ต้องโดนท่านย่าของเขาเอ็ดเอายกใหญ่ฐานที่หลอกหนีจากการดูแลของเหมียนฮวา หนีไปซนจนเกือบได้เรื่อง นางฟู่หลันคาดโทษว่าหากยังไม่เชื่อฟัง นางจะเพิ่มพี่เลี้ยงให้ตามติดอีกสามคนเลยทีเดียว วันนี้ฟู่หลิงเฉินมาเยี่ยมถามไถ่ทุกข์สุขของนางเหม่ยตามปรกติ คุยกันได้สมแก่เวลา ก่อนกลับออกไปเขาอยากจะไปดูอาการของเด็กสาวจึงขออนุญาตหญิงชราเดินเข้าไปภายในห้องของนาง ด้วยก้าวที่ยาวกว่าสตรีทำให้เขาไปถึงเตียงของจินป๋ายไช่ก่อนเฟยเฟยที่กำลังพยุงกายนางเหม่ย ทันได้เห็นแผ่นหลังขาวสะอาดที่มีปอยผมส่วนหนึ่งและสายเอี๊ยมเส้นเล็กพาดผ่าน ชายหนุ่มจำต้องชะงักเท้าและหันหน้าที่ขึ้นสีเรื่อเล็กน้อยออกจากภาพตรงหน้า เขาคงเข้ามาเยี่ยมนางในเวลาที่ไม่เหมาะสมเท่าไหร่ เฟยเฟยที่ตามติดเข้ามารีบปลดม่านมุ้งคลุมเตียงของเด็กสาววัยสิบสี่ปีลง แล้วกล่าวว่า “สงสัยนางจะหลับไปแล้ว ไม่เห็นขยับตัว บ่าวเพิ่งเปลี่ยนยารอบสองให้นางค่ะนายท่าน” “ข้าขอบคุณนางแทนเจียนจื่อ เจ้าตัวเล็กนั่นคงไม่รู้หรอกว่าถ้าโดนลวกตรงๆ จะเป็นเช่นไร ป๋ายไช่สู้อุตส่าห์เอาตัวบังจนเจ็บตัวแทนเขาไปแล้ว ไม่รู้ว่า...” นางเป็นผู้หญิงที่หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู หวังว่าแผลนั่นจะไม่สร้างรอยตำหนิบนผิวกายนาง ความห่วงใยของชายหนุ่มฉายชัดในแววตา นางเหม่ยจึงกล่าวเพื่อคลายกังวลของเขา “แค่รอยแดง พวกเรารีบทายาให้นางแล้ว ย่านี่นายท่านก็อุตส่าห์ซื้อจากร้านยาที่ดีที่สุด รับรองว่าป๋ายไช่จะต้องมีผิวกายที่ขาวละเอียดดังเช่นเดิมแน่นอนเจ้าค่ะ” “ข้าก็หวังอย่างนั้นนะป้าเหม่ย” ความสวยงามกับผู้หญิงเป็นของคู่กัน ป๋ายไช่ไม่ใช้สตรีขี้ริ้ว หากต้องมีแผลเป็นทำให้ผิวกายอัปลักษณ์นางคงอับอายจนไม่อาจจะออกเรือนแต่งสามีได้แน่ ***** หลายเดือนต่อมา ที่ใต้ต้นจางซู่ หน้าเรือนเยวี่ยฉง “ว่าวของข้าๆ” “ข้าเห็นแล้ว คุณชายรอสักหน่อยนะเจ้าคะ เดี๋ยวเหมียนฮวาหาไม้มาสอยลงให้” พี่เลี้ยงสาวบอก นางหันรีหันขวางมองหาท่อนไม้ที่ยาวพอจะปลดว่าวของคุณชายเจียนจื่อลงจากคาคบไม้เบื้องหน้า บ่าวผู้ชายที่พอจะเรียกไหว้วานได้ก็ประจวบเหมาะว่าถูกเกณฑ์ไปปรับสวนและขุดทางระบายน้ำที่เรือนฝั่งตะวันตกเสียหมด “มีอะไรหรือพี่เหมียนฮวา ทำไมทำหน้ายุ่งยากใจอย่างนั้นเล่า” จินป๋ายไช่ที่เดินผ่านมาทักขึ้น นางเพิ่งกลับจากช่วยงานในครัวใหญ่ “บนโน้น...ข้ากำลังหาไม้ยาวๆ อยู่” เหมียนฮวาชี้นิ้วไปด้านบน “ข้าอยากได้ว่าวของข้าคืน ท่านพ่อเพิ่งจะซื้อมาฝากเมื่อวานนี้เอง” ฟู่เจียนจื่อบอกถึงความสำคัญของว่าวรูปนกสีแดงสดที่ติดค้างบนต้นจางซู่ ด้วยความเป็นคนใจร้อนมือน้อยจึงออกแรงดึงสายเชือกที่ผูกไว้จนโครงว่าวบิดเบี้ยว “ที่โล่งๆ ไม่ยักไปเล่น...ปล่อยเชือกก่อนดีไหมเจ้าคะ” เด็กสาววัยสิบสี่ปีแนะ ก่อนที่นางจะเดินไปลากเก้าอี้หินตัวเล็กที่สุดซึ่งอยู่ใกล้ๆ กันมาวางตรงโคนต้นไม้ จินป๋ายไช่ลูบคลำรอบเปลือกของไม้ยืนต้นขนาดกลางซึ่งว่าวของคุณชายน้อยลอยขึ้นไปติด “ไม่ต้องหาไม้ให้เสียเวลาหรอก ข้าปีนต้นไม้เก่ง” ร่างน้อยก้าวขึ้นไปยืนบนเก้าอี้หิน ชุดที่สวมใส่นั้นไม่ได้รุ่มร่ามนักจึงไม่เป็นอุปสรรคในการเคลื่อนตัวปีนป่ายขึ้นไป ชีวิตในวัยเด็กของนางต้นไม้สูงกว่านี้นางก็ทำใจกล้าปีนมาแล้ว ใช้เวลาชั่วครู่เด็กสาวก็คว้าได้ว่าวเจ้าปัญหา ฟู่หลิงเฉินที่กลับจากตรวจงานที่โรงเตี๊ยม เขากำลังเดินพ้นออกมานอกชายคาของเรือน เห็นบุตรชายและพี่เลี้ยงของเขากำลังแหงนหน้ามองขึ้นไปบนต้นจางชู่มิได้สนใจว่าบิดาเพิ่งจะกลับมาถึงเรือน ชายหนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นมองบ้าง “ป๋ายไช่...” เสียงของเขาเรียกความสนใจจากบุตรชายและเหมียนฮวา ไม่ต่างจากเจ้าของชื่อที่สะดุ้งสุดตัว เพราะไม่คาดคิดว่าจะพบผู้เป็นนายยืนแหงนหน้ามองอยู่ด้านล่าง “นายท่าน อ๊ะ!” กับภาพข้างบนที่เห็นเต็มสองตา อ้อมแขนแข็งแรงของฟู่หลิงเฉินจึงกางออกเพื่อเตรียมรองรับร่างหลานสาวนางเหม่ยที่กำลังพลัดหล่นจากคาคบ แม้นางจะตัวเล็ก แต่แรงปะทะก็ทำให้ชายหนุ่มเสียหลักทรุดฮวบลงกับพื้นและเหมียนฮวาก็คว้าตัวคุณชายน้อยของนางกระโดดหลบออกห่างได้ทันท่วงทีเช่นกัน ศีรษะของเด็กสาวฟาดใส่ที่กลางอกจนชายหนุ่ม จนเขารู้สึกจุก หวังว่ากระดูกของนางคงจะไม่มีส่วนไหนหัก มือเล็กเผลอรวบเอารอบคอของฟู่หลิงเฉินเป็นหลักยึด เด็กสาววัยสิบสี่ครางเสียงแผ่ว นางรู้สึกมึนหัว แว่วๆ ว่าได้ยินเสียงของคุณชายน้อยและเหมียนฮวาที่ข้างกาย เพียงแต่นางยังไม่อาจจะโต้ตอบสิ่งใดได้ในตอนนี้ “เจ้าไหวหรือไม่” น้ำเสียงทุ้มใกล้หูทำให้จินป๋ายไช่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น “...นายท่าน” “เจ็บตรงไหน” ฟู่หลิงเฉินถามซ้ำ รอคำตอบเมื่อดวงตาคมดำจัดสบลึกกับหน่วยตากลมโตที่จ้องเขาแทบไม่กะพริบ ใบหน้าเล็กของหลานสาวนางเหม่ยห่างจากหน้าเขาแค่คืบเดียว “ไม่เจ้าค่ะ” “ท่านพ่อๆ...เจ้าลงมาจากตัวท่านพ่อของข้าก่อนสิ” ฟูเจียนจื่อผลักที่ไหล่ของจินป๋ายไช่ บิดาเขาล้มลงก็คงจะเจ็บมากแล้ว นางยังจะนั่งทับอยู่บนตัวบิดาของเขาไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่ได้ “ห๊ะ!” เด็กสาวหงายผึงลงข้างตัวของชายหนุ่มผู้เป็นนาย โดยที่ขาทั้งสองยังคงพาดทับอยู่บนตัวของเขา ฟู่หลิงเฉินรีบคลายความกังวลเพราะสีหน้าตกใจของบุตรชาย “พ่อไม่เป็นอะไร” ชายหนุ่มขยับตัวช้าๆ เมื่อร่างกายของสาวน้อยเคลื่อนพ้นจากตัวเขา นางกำลังนั่งคุกเข่าก้มหัวประหลกๆ “ขออภัยนายท่าน บ่าวตกใจก็เลยเผลอปล่อยมือ จึงหล่นมาโดนนายท่านเข้า” หากคิดจะหลบ เขาก็หลบได้ แต่เขาตั้งใจที่จะกางแขนรับเอาตัวนางไว้ตั้งแต่ต้น นางไม่รู้ถึงความจริงข้อนี้ “นายท่านไม่มีบาดแผลจริงๆ หรือเจ้าคะ” ด้วยความเป็นห่วง ไม่ทันคิดว่าควรหรือไม่ควร มือของนางก็ลูบจับสำรวจไปบนลำตัว ท่อนแขนและท่อนขาของเขา สายตามุ่งมั่นตรวจตราแฝงแวววิตกเป็นห่วงเป็นใยชัดเจน ปลายหางของผมเปียที่สะบัดไปมาเมื่อนางขยับตัวไปรอบตัวเขาอวลไปด้วยกลิ่นหอม ฝ่ามือเล็กของนางส่งสัมผัสนุ่มนวลและอบอุ่นคืบคลานรุกสำรวจไปทั่วกายฟู่หลิงเฉิน “นายท่านเจ้าคะ” “...ข้าไม่เป็นไร” จู่ๆ ความรู้สึกประดักประเดิดก็จู่โจมฟู่หลิงเฉิน เขารีบลุกขึ้นจูงที่ข้อมือของบุตรชายวัยเยาว์ที่ยืนถือว่าวรูปนกอยู่ในมือ ก่อนจะพาเดินลิ่วเข้าตัวเรือน เหมียนฮวาหันมาทำหน้าเหรอหรากับเด็กสาวแล้วรีบสาวเท้าตามเข้าไปปรนนิบัตินายน้อยของตน กับอาการที่ชายหนุ่มแสดงออก ทำให้จินป๋ายไช่คิดว่าความผิดของนางครั้งนี้คงทำให้ผู้เป็นนายโกรธเคืองนางไปอีกนานเป็นแน่... ไม่มีเหตุการณ์ใดในบ้านที่เล็ดรอดสายตาของนางฟู่หลัน เรื่องที่เกิดเมื่อช่วงบ่ายรู้ถึงหูนายหญิงใหญ่ นางเหม่ยจึงพาหลานสาวไปพบเมื่อถูกเรียกหา นางเหม่ยจึงได้เริ่มเอาจริงเอาจังกับการอบรมหลานสาวให้สมกับเป็นกุลสตรีมากกว่าเดิม เพราะเด็กสาวโตขึ้นทุกวันจะมัวทำตัวไร้ระเบียบ กิริยาแข็งกระด้างไม่ได้ นางคือคนของบ้านสกุลฟู่ หากหย่อนมารยาทการอบรมภายภาคหน้าอาจทำเรื่องเสียชื่อมาถึงนายที่เลี้ยงดู เสื่อมเสียมาถึงตัวนางที่เป็นญาติสนิท และคนที่ชื่อเสียงจะเสียหายมากที่สุดก็คือตัวนางนั่นเอง
รายละเอียดการสั่งจองหนังสือทำมือ ขวัญข้าเอย
Create Date : 29 กันยายน 2554 |
Last Update : 29 กันยายน 2554 15:29:23 น. |
|
0 comments
|
Counter : 412 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]
|
|
|
|
|
|
|
|