Group Blog
 
 
เมษายน 2553
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
12 เมษายน 2553
 
All Blogs
 

บัลลังก์เสน่หา : หลังม่านสมรภูมิ (ครึ่งหลัง)





“แล้วเจ้าเล่า อยากจะออกไปนอกค่ายบ้างหรือไม่” องค์ชายฝานจิ้งทรงมีพระดำรัสต่อหยางเสีย แม้จะออกนอกค่าย แต่ก็ไม่ไกลจากสายพระเนตร นางไม่อยากให้มีคนติดตาม ก็แค่ส่งคนไปคอยเฝ้าระวังความปลอดภัยให้นางห่างๆ อยู่นี่หยางเสียไม่มีเพื่อนที่เป็นสตรีวัยเดียวกัน จะมีก็เพียงจิ่นกุ้ยบ่าวรับใช้ที่ทรงหาไว้ให้นางเรียกใช้สอย ผูกสัมพันธ์ให้นางได้สนิทชิดเชื้อกับองค์หญิงแคว้นเสี้ยนท่าจะดีไม่น้อย

“จะดีหรือเพคะ ที่จะให้หม่อมฉันออกไปพร้อมกับองค์หญิงผิงอ้าย จะไม่เป็นการทำตัวเสมอพระองค์หรือเพคะ องค์หญิงออกเยี่ยมราษฎรของพระองค์ ส่วนหม่อมฉัน...”

“เจ้าเป็นเมียพี่...” องค์ชายฝานจิ้งทรงตรัสขึ้นก่อนเจ้ายอดดวงใจของพระองค์จะเอ่ยความสิ่งใดต่อ “เจ้ามีสิทธิ์มีเสียงเทียบเท่าพี่ทุกอย่างในเจิ้งถงนี่ หากใครมันบังอาจแสดงทีท่าหยามหมิ่นดูแคลนเจ้า มันก็เท่ากับไม่ไว้หน้าหยามซึ่งศักดิ์ของพี่ด้วยเช่นกัน มีสิ่งใดที่พระชายาเห็นว่าดีแล้วคนอื่นจะกล้าว่าไม่ดี”
เพราะสีพระพักตร์จริงจังของท่านแม่ทัพ หยางเสียจึงใช้หัวแม่มือกดลงบนปลายพระนาสิก “ทรงให้ท้ายหยางเสียบ่อยๆ สักวันหม่อมฉันจะเสียคน กลายเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง อยากได้เดือนอยากได้ดาวขึ้นมา จะมิทรงลำบากพระทัยมากไปกว่านี้หรือเพคะ”

“...ไม่มีวันนั้นแน่ หยางเสียเอ๋ย พี่รู้จักใจเจ้ามากกว่าตัวเจ้าเสียอีก หากเจ้าต้องการจันทรา หรือแม้แต่ดาราทอประกายบนฟากฟ้าขึ้นมาจริงๆ พี่ก็หาให้เจ้าได้” ไม่ตรัสเปล่า ทรงยืดพระอุระให้ผึ่งผายมากกว่าเดิมสำทับถ้อยดำรัสเป็นมั่นเหมาะ
หญิงสาวทำคิ้วย่น “ตรัสในสิ่งที่ไม่อาจเป็นไปได้”

“เจ้าไม่รู้อะไร...จะเป็นจันทราหรือดวงดาริกาทั้งหมดมันก็ล้วนแล้วเกิดขึ้นที่ใจ” พระหัตถ์ใหญ่กอบกุมสองมือน้อยไว้แนบยังพระอุระ “เจ้าอยากได้พระจันทร์ พี่ก็เป็นพระจันทร์ ใจเจ้าหมายจะได้ดาว พี่ก็จะเป็นดวงดาวสำหรับเจ้า”

“ฝ่าบาท...” ก็ท่านแม่ทัพทรงอ้อนเอาแบบนี้ หยางเสียก็เลยพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ“คำตอบช่างเข้าข้างองค์เองนัก หม่อมฉันชักอยากจะได้เดือนกับดาวขึ้นมาจริงๆ แล้วเพคะ เดือนกับดาวที่มิใช่คำตอบแอบอ้างเอาตัวเข้าถูอย่างคนตรงหน้าหม่อมฉันนี่” อดไม่ได้ที่จะลองพระสติปัญญาท่านแม่ทัพดูอีกสักหน ว่าจะทรงลื่นไหลออกไปไม้ไหนได้อีก ทรงเก่งนักเรื่องลดเลี้ยวเฉไฉออกนอกทาง
พระขนงเข้มขององค์ชายฝานจิ้งขมวดเข้าหากันในทันใด แย่แล้ว!...ทรงเร่งระดมพระปัญญา ก่อนที่จะทรงเปล่งพระสรวลร่วน สองพระกรรวบตัวนางยอดหทัยเบื้องพระพักตร์เข้าแนบชิดพระวรกายรวดเร็ว ทำเอาหยางเสียตกอกตกใจไม่น้อยทีเดียว

“พี่ไร้สามารถไม่อาจหาดาวและเดือนให้เจ้าดังปากว่า แต่พี่จะทำให้เจ้าลืมไปเลยว่าตัวเจ้าเคยอยากได้ดาวและเดือนมากเพียงใด” ปลายพระนาสิกเริ่มเข้าระดมสูดกลิ่นแก้มหอมละมุนในยามสายของหยางเสีย ก่อนเลื่อนพระโอษฐ์เข้าครองริมฝีปากสีสวยสด หยุดทุกการทักท้วงจากริมปากนุ่มๆ หยุดทุกการดิ้นรนขัดขืนของเรือนกายอุ่นนิ่ม ยามเช้าพระองค์ก็ทรงจูบไปแล้วหนหนึ่ง สายนี้ย้ำรอยรักอีกสักหนจะเป็นไรไป
แล้วก็เป็นอีกวันที่หยางเสียพ่ายแพ้อย่างหมดรูป ต่อความลื่นไหลได้อย่างปลาในน้ำของท่านแม่ทัพใหญ่แห่งเจิ้งถง...

*****

องค์หญิงเล่อผิงอ้ายทรงลอบชำเลืองยังหยางเสีย สตรีซึ่งเป็นดั่งแก้วตาดวงใจขององค์ชายฝานจิ้งมาชั่วครู่แล้ว หญิงสาวยังคงเดินด้วยท่วงท่ากระฉับกระเฉง ทุกจังหวะการก้าวคล่องแคล่วมั่งคง แต่ไม่อาจจะเรียกได้ว่าเคียงข้างพระวรกาย เพราะนางนั้นค่อนข้างจะระวังตัว และเว้นระยะที่จะเป็นฝ่ายเดินตามหลังพระองค์
ดวงหน้าหมดจด แต่ก็ถือว่าธรรมดา ไม่สวยมาก องค์ชายฝานจิ้งทรงเห็นความงามส่วนใดของนางกัน นางมีสิ่งใดที่ทำให้บุรุษยิ่งใหญ่ในใต้หล้าคนหนึ่งมอบความรักให้ได้มากมายถึงเพียงนี้ ทรงไม่เข้าพระทัยเลย

หากนางไม่แต่งกายด้วยชุดของสตรีดั่งเช่นวันนี้ ทรวดทรงองค์เอวที่มี เพียงแค่เห็นก็ไม่อาจบอกได้เต็มปากนักว่า หยางเสียเป็นผู้หญิงจริงๆ ใบหน้าแต้มด้วยรอยยิ้มอย่างคนพร้อมจะเป็นมิตร ที่นางส่งให้ตอนมารอหน้าหน้ากระโจมที่ประทับ ริมฝีปากไร้ชาดทานั้นคลี่ยิ้มอย่างคนนอบน้อมต่อทุกสิ่ง นั่นทำให้ทรงรู้สึกว่าเป็นพระองค์เสียอีกที่วางตัวได้ไร้มารยาทไม่ให้เกียรตินางเท่าที่ควร

“วันนี้อากาศร้อนกว่าเมื่อวานนะเพคะ” หลังจากนิ่งกันไปพักใหญ่ เพราะต่างก็ลอบสังเกตกันอยู่เงียบๆ หยางเสียจึงได้เปิดปากพูดคุยกับองค์หญิงแคว้นเสี้ยนขึ้นอีกครั้ง เท่าที่นางพินิจมอง ทรงเก็บๆ พระองค์อยู่เหมือนกัน แววพระเนตรแม้มีความร่าเริงสดใสอย่างเด็กสาว แต่ทว่าก็หม่นหมองด้วยความอ้างว้างอยู่ในที เส้นทางชีวิตท่ามกลางไฟสงคราม การสิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน คงทำให้ทรงทุกข์พระทัยไม่น้อย ความทรงจำเกี่ยวกับแม่หลินเหนียงยังคงตามหลอกหลอนนางเสมอ นี่คงไม่ต่างจากองค์หญิงที่พระราชบิดา และพระราชมารดาต้องถูกสังหารด้วยพิษภัยแห่งสงคราม

“ไม่ต่างจากเสี้ยนเท่าไรนักหรอกเพคะพระชายา”

หยางเสียชะงักกับคำเรียกขาน “องค์หญิงไม่ต้องมีเพคะกับหม่อมฉันก็ได้...” นางรีบแย้ง อย่างไรซะด้วยชาติกำเนิด นางก็มิอาจให้บุคคลสูงส่งอยู่ในราชวงศ์แต่กำเนิดมาทำเคารพนบนอบต่อตัวนาง

เรียวพระขนงคล้ายจะขมวดอยู่ในที แปลกจริง! จะได้อย่างไรกัน กระนั้นแล้วก็เป็นถึงฐานะพระชายาขององค์ชายแห่งแคว้น

หยางเสียก้มหน้ายิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นว่าองค์หญิงผิงอ้ายทรงหยุดพระดำเนิน นางก้าวเท้าขึ้นมายืนเสมอกับพระองค์ “หม่อมฉันไม่คุ้นเพคะ ทรงตรัสเรียกหม่อมฉันว่าหยางเสียจะเป็นการสะดวกต่อทั้งสองฝ่ายมากกว่า”

การยื่นข้อเสนอของนางผู้สูงศักดิ์ด้วยฐานะภรรยาของเจ้าชีวิตทั้งเจิ้งถง ทำเอาองค์หญิงเล่อผิงอ้ายยิ่งทรงแปลกพระทัย

ภาพทรงเอียงพระเศียรน้อยๆ อย่างฉงน นางจึงทูลบอก “อย่างไรซะหม่อมฉันมันก็แค่สตรีหญิงชาวบ้านธรรมดา อย่าได้ทรงใส่พระทัยเลยเพคะ”

“แต่...”

“นะเพคะ...ถือซะว่าเป็นคำขอร้องจากหม่อมฉัน”
คร้านจะมากความ...สุดท้าย องค์หญิงแคว้นเสี้ยนทรงจำต้องทำตามคำขอของหยางเสียในที่สุด

*****

ตลอดช่วงเช้าที่ค่ายอพยพ ความชื่นชมในตัวหยางเสียก่อตัวขึ้นทีละน้อยในพระทัยขององค์หญิงเล่อผิงอ้าย นางนั้นวางตัวได้เป็นธรรมชาติอย่างที่สุด ผิดกับพระองค์เสียอีกที่ทรงเงอะงะอยากจะเข้าพูดคุยกับชาวบ้าน แต่ก็ยังไม่รู้จะกระทำอย่างไรก่อน มีนางมาเป็นเพื่อน บรรยากาศรอบกายมันก็ดีขึ้น ยิ่งกับพวกเด็กๆ ด้วยแล้ว พวกเขากล้าจะเข้าหาและพูดคุย ดูไปดูมาแล้วคล้ายกับว่านี่พระองค์กำลังตามหยางเสียมาเยี่ยมประชาชนของต้าฉางเสียมากกว่า ไม่เพียงพูดคุย นางนั้นยังสามารถทำของเล่นง่ายๆ จากพวกกิ่งไม้ใบหญ้า พวกเด็กๆ แสดงออกว่าชอบนางมากทีเดียว

ได้เวลาอาหาร องค์หญิงเล่อผิงอ้ายทรงตัดสินพระทัยจะอยู่รับเครื่องเสวยที่ชาวบ้านจัดถวาย โดยตรัสถามความคิดเห็นของหยางเสียก่อน...ปลาย่าง ผักต้มกับข้าวร้อนๆ อาหารมื้อเที่ยงของชาวบ้านค่ายอพยพ ความเรียบง่าย รสชาติที่ต่างจากทุกวันและมิตรสหายคนใหม่ องค์หญิงพลัดถิ่นทรงเจริญอาหารมากกว่าทุกวัน

เสร็จจากการเยี่ยมชาวบ้าน เพราะเพิ่งจะล่วงพ้นฤดูหนาว และองค์หญิงแคว้นเสี้ยนไม่ทรงได้เคยเสด็จที่ใดเลยนอกจากรอบบริเวณที่ประทับ หยางเสียจึงทูลชวนให้ไปเดินเล่นยังน้ำตกหลังค่าย ฤดูใบไม้ผลิอากาศอบอุ่น พวกดอกไม้ป่าคงจะออกดอกชูช่อสะพรั่งทั่วผืนป่าแล้ว

น้ำไหลหลากลงมาเป็นแพขาวสายใหญ่ ไหลเลาะเรื่อยยังแก่งหิน เสียงแห่งความชุ่มชื่นดังทั่วเขตเขา ละอองฝอยเคลื่อนกระซ่านเซ็นแทรกมวลอากาศบริเวณตีนน้ำตก อีกทั้งมวลหมู่ไม้ป่าสารพัด แมลง ผีเสื้อ เจ้านกน้อยขานขับเสียงร้องและโผบิน

ริมพระโอษฐ์บางงดงามแย้มสรวล แววพระเนตรนั้นชื่นชมต่อทัศนียภาพเบื้องหน้า “สวยมากเลยหยางเสีย” พระกระแสเสียงร่าเริงดังเช่นสาวแรกรุ่นพึงเป็น

“สวย และน้ำก็เย็นมากด้วย...อยากจะทรงลองลงไปเดินเล่นในน้ำดูไหมเพคะ” ทูลถามแล้วนางก็ถอดรองเท้าผ้าไหม ถกชายกระโปรงขึ้นเพื่อพับขากางเกงซับซึ่งอยู่ด้านใน “หินที่อยู่ในน้ำ นวดฝ่าเท้าสบายที่สุดเลยเพคะ” ก่อนค่อยลุยน้ำเหยียบย่ำไปมาสาธิตให้องค์หญิงเล่อผิงอ้ายทรงทอดพระเนตร

"ฟางเอ๋อร์” หญิงสาวกวักมือเรียกนางกำนัลรับใช้ในพระองค์
ชั่วอึดใจ...องค์หญิงแคว้นเสี้ยนพยักพักตร์กับฟางเอ๋อร์ เป็นอันตกลงกันว่าจะลองลงเดินในน้ำตามคำชักชวนของพระชายาท่านแม่ทัพ...ก็มันน่าสนุกดีออก
พอก้าวพระบาทลงได้ไม่กี่ก้าว ก็ทรงร้องเสียงดังจนหยางเสียตกอกตกใจ ฟางเอ๋อร์ที่ช่วยพยุงท่อนพระกรนั้นลื่นจนเสียหลักหล่นตูมนั่งจมอยู่ในน้ำ ตามติดมาด้วยเสียงพระสรวลอันดังขององค์หญิง

“บอกว่าจะดูแลข้า ไม่ทันไรเป็นฝ่ายลงไปนั่งเล่นในน้ำแล้วฟางเอ๋อร์เอ๋ย”
หยางเสียอดจะหัวเราะไม่ได้เช่นกัน “ไว้อากาศร้อนกว่านี้สักหน่อย ข้าจะเล่นน้ำเป็นเพื่อนนะฟางเอ๋อร์”

“พระชายาก็ ข้าไม่ได้อยากจะเล่นน้ำสักหน่อย ก็หินมันลื่น” ฟางเอ๋อร์บ่นอุบ ค่อยๆ ลุกขึ้น เดินตามผู้เป็นนายไปยังโขดหินใหญ่ ซึ่งชายาขององค์ชายรองแคว้นต้าฉางกำลังนั่งอยู่

หยางเสียก้มลงเก็บหินที่อยู่ใกล้ๆ เท้าขึ้นมา “สีดำมันวาว...สวยเชียว” นางชูหินก้อนนั้นขึ้นรับกับแสงตะวันที่ลอดผ่านยอดไม้ลงมา

“จะเอาไปทำไมหรือ” เล่อผิงอ้ายตรัสถามอย่างสงสัย แล้วทรงก้มลงหยิบหินก้อนหนึ่งขึ้นมาจากน้ำ

“หม่อมฉันจะเอาไปฝากท่านแม่ทัพเพคะ” หยางเสียคลี่ยิ้ม กลิ่นของความสุขเมื่อระลึกถึงบุคคลอันเป็นที่รักราวกระจายโอบอุ้มไว้รอบกายนาง “ทับกระดาษก็ได้ หรือบางครั้งบางหนพระองค์ก็ทรงเอาไปทำเป็นกองทัพจำลองบนกระบะทราย”

หน้านวลอ่อนโยนอาบรอยยิ้ม ด้วยความรักเถิดทูนยามนางพูดถึงองค์ชายฝานจิ้งสามีของนาง ทำให้ทรงอดรู้สึกเจ็บหนึบที่พระหทัยไม่ได้
คนรักกัน ทำอะไรก็ย่อมคิดถึงกัน...

“แม้เราจะเดินๆ ย่ำไปมาได้ แต่ก็ต้องทรงระวัง บางทีหม่อมฉันก็เหยียบเอาหินที่ยังไม่หมดคม เจ็บจนเลือดหยด...”

องค์หญิงเล่อผิงอ้ายพยักพักตร์ เชื่อในสิ่งที่หยางเสียเตือน เมื่อพวกนางเบาเสียง ปลาฝูงน้อยแถวธารน้ำตกก็เริ่มแหวกว่ายเข้ามาหา องค์หญิงแค้วนเสี้ยนเบิกพระเนตรจนโต หันพระพักตร์เลิกลั่กพร้อมกับชี้ปลายพระดัชนีไปยังฝูงปลาตัวใสๆ ที่กำลังว่ายวนมาใกล้พระบาท

“ชู่ว์...” หยางเสียแนะให้พระองค์ทรงนิ่งเฉย

องค์หญิงเล่อผิงอ้ายทั้งทรงขลาดกลัวทั้งทรงนึกสนุก ร่างบางสะดุ้งยามรู้สึกถึงสัมผัสจากปากเล็ก ๆ เหล่านั้นแตะที่หลังพระบาท “จั๊กจี้!” ดวงพักตร์ขาวเนียนคลี่ยิ้มแหย ๆ ตัดสินพระทัยร้องออกมา ฝูงปลาแตกฮือ ว่ายกระจายกันไปคนละทิศทางก่อนกลับมารวมตัวกันอีก แต่มันเลือกที่จะไม่เข้าใกล้สิ่งแปลกปลอมซึ่งแช่อยู่ในน้ำเมื่อครู่แล้ว

ฟางเอ๋อร์หัวเราะกับเสียงร้องขององค์หญิง “ปลาน้อยกลัวฝ่าบาทแล้วเพคะ”
“ช่าง!...ไม่รู้หยางเสียทนได้อย่างไร”

หยางเสียจึงได้เฉลยความสงสัยขององค์หญิง “หม่อมฉันร้องจนไม่รู้จะร้องอย่างไรแล้วเพคะ อาศัยว่าแอบแวบมาบ่อย ๆ ปลาน้อยพวกนี้เสียอีก ที่เริ่มจะรำคาญหม่อมฉันเข้าให้แล้ว ดูอย่างเมื่อครู่...น่าน้อยใจนัก พวกมันว่ายหาแต่พระองค์”

หญิงสาวเลือกหินก้อนเล็ก เล็ง...แล้วโยนจ๋อมลงกลางวงฝูงปลาพวกนั้นเป็นการแกล้งเอาคืน ที่วันนี้พวกมันทำเมินไม่สนใจนางเท่าที่ควร

“แน๊...ไปแกล้งพวกมัน”

“นี่เป็นการฝึกระเบียบไพร่พลนะเพคะ กระจายแล้วกลับมารวมกำลังกันใหม่ได้ ตัวไหนหลงฝูง ทำตัวชักช้า ศัตรูมารับรองหาย กลายเป็นกำลังเสริมให้ฝ่ายตรงข้ามไปเลย”

คิดอย่างทหาร...ก็สมแล้วที่ได้เป็นภรรยาท่านแม่ทัพใหญ่ของเจิ้งถง องค์หญิงแคว้นเสี้ยนนิ่งดำริก่อนจะทรงปริพระโอษฐ์ถามข้อสงสัย ที่พระองค์ทรงมีต่อหยางเสียตั้งแต่ต้น

“ผู้หญิงอย่างเจ้า ทำไมมาเป็นทหารได้” ครั้นตรัสแล้วก็ทรงรู้สึกเสียพระทัย กับการละลาบละล้วงในเรื่องส่วนตัวของคนอื่น เพราะเพียงชั่ววิบตานั้น ทรงเห็นความขื่นขมในดวงตาของสตรีตรงหน้า

“ถ้าหม่อมฉันไม่มาเป็นทหาร ป่านนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร...” จะช้ำใจช้ำกายตายอเนจอนาถอยู่ที่ใดก็ไม่อาจจะรู้ได้

“ข้าขอโทษ ข้าไม่มีเจตนาจะทำให้เจ้ารู้สึกไม่ดีนะหยางเสีย” องค์หญิงเล่อผิงอ้ายทรงยื่นพระหัตถ์เข้ามากุมมือของหญิงสาวไว้

หยางเสียส่ายหน้าช้าๆ “ไม่เป็นไรเพคะ มันก็แค่อดีต อยากทรงรู้อะไรก็ถามหม่อมฉันได้นะเพคะ หม่อมฉันชอบที่จะมีเพื่อนคุยบ้าง ถ้ามันไม่เป็นการรบกวนพระองค์นัก”

“ข้าก็กลัวแต่เจ้าจะรำคาญข้า เพราะข้าทำอะไรก็ไม่เป็น ขนาดจะเล่น จะคุยกับชาวเสี้ยนด้วยกัน ยังต้องอาศัยเจ้าช่วยเลย” บนพระปรางใสปรากฏรอยบุ๋มเล็กๆ น่าเอ็นดูที่สุดในสายตาหยางเสีย

“หม่อมฉันไม่รำคาญเพคะ ไม่มีวันจะรำคาญด้วย”

ยามบ่ายพระอาทิตย์เคลื่อนคล้อยลอยต่ำลง ความเย็นของพลบค่ำกำลังจะเข้ามาเยือน หยางเสียจึงออกปากทูลเสด็จกลับกระโจมที่พัก องค์หญิงวัยสิบเจ็ดชันษาพระฉวีนั้นบอบบาง นางลากพระองค์ให้มาตากแดดตากลมอยู่ค่อนวัน เกรงว่าจะทรงประชวรเอาเสียก่อนจะทันได้สนิทสนมกัน

กำลังจะเสด็จเข้ากระโจม วรกายแน่งน้อยหันมา โอษฐ์เล็กทาชาดสีเรื่อแย้มกว้าง พระสุรเสียงใสเจื้อยแจ้วน่าฟัง “วันหลังข้าอยากให้พี่พาไปเดินเล่นอีก”

พี่...หยางเสียยิ้มกว้างต้อนรับน้องสาวคนแรกของนาง

“เพคะ” หญิงสาวรับคำมั่น

*****

ทหารจุดคบไฟทั่วค่ายได้ยังไม่ทันครึ่งชั่วยาม ท่านแม่ทัพก็เสด็จเข้ากระโจมมา หยางเสียที่ดูแลเรื่องน้ำสำหรับสรงด้วยกันกับหวังหนาน รีบเดินออกมายังส่วนหน้าของที่ประทับ ด้วยยินพระดำรัสตรัสเรียกหาเร็วรี่

“อ้าว ๆๆ วิ่งหน้าเริดมาเชียว” องค์ชายฝานจิ้งทรงตรงเข้าสวดกอดร่างน้อยที่สาวเท้ายาว ๆ รีบเร่งตรงมาหา

“มีเรื่องอันใดเพคะ” แม้จะอยู่ในอ้อมพระพาหาซึ่งเป็นหลักยึดของชีวิตแล้ว หยางเสียก็ยังคงให้ประหวั่นพรั่นพรึง มีกองทหารใดโดนลอบโจมตีอีกหรือ เพราะไม่ทรงอยากให้นางร่วมรับรู้ในเรื่องศึกสงครามมากนัก บ่อยครั้งที่ทรงเลือกจะเสด็จออกไปปรึกษาราชการงานกองทัพนอกกระโจมที่ประทับ

“ไม่มีอะไร พี่แค่คิดถึงเจ้า...ดังไปหน่อย”

เห็นท่านแม่ทัพทรงยิ้มเผล่คล้ายดังคนลุแก่โทษ หญิงสาวจึงทุบที่พระอุระไปหนึ่งครั้ง “น่านัก...ทำหม่อมฉันตกอกตกใจหมด”

“อยากเห็นหน้าเจ้าเร็วๆ ขี้เกียจเดิน เห็นมั้ย...ร้องประเดี๋ยวเจ้าก็โผมาหา” พระวรกายสูง ใหญ่กอดร่างเล็กจนกระชับพร้อมกับโยกโคลงไปมา ราวกับทรงเล่นกับเด็กน้อยตัวเล็ก ๆ

“วันหลังหยางเสียจะทำเป็นไม่ได้ยิน ต่อให้ทรงมีเรื่องเจ็บปวดพระวรกายมาจริง หม่อมฉันก็จะทำเมิน ช่างปดช่างแกล้งทำยิ่งนัก”

องค์ชายฝานจิ้งโน้มพักตร์ลงใกล้แก้มนาง กลิ่นหอมอ่อนๆ แสดงว่านางเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ “ทำไมไม่รออาบพร้อมพี่” ทรงกระซิบใกล้หูนาง พร้อมจรดริมพระโอษฐ์แตะเบาๆ อย่างกลัวว่าพวงแก้มนวลจะบอบช้ำ

“ขี้เกียจรอ” อยากทรงขี้เกียจเดินดีนัก

“เหนื่อย...เมื่อยไปหมดทั้งตัว” พระพักตร์ก้มต่ำพาดเกยที่ไหล่นาง ระบายลมพระหายใจยาว

พอทรงตรัสอย่างนี้เข้า หยางเสียก็ใจอ่อนยวบ หมู่นี้ท่านแม่ทัพจำต้องทรงงานหนัก ถึงอย่างไรนางก็รู้อยู่ดี องค์จักรพรรดิหนานลี้ทรงเริ่มแผนปราบกบฏดังคำกล่าวอ้างของพระองค์แล้ว

“หม่อมฉันเตรียมน้ำไว้แล้วนะเพคะ รีบเสด็จสรงน้ำเถิด” หญิงสาวลูบที่ต้นพระอังสา

แม่ทัพใหญ่ทรงหยัดพระวรกาย บิดไล่ความเหนื่อยล้าที่ทรงมี แววพระเนตรฉ่ำชื้นทอดแลเข้าในดวงตาของนางเบื้องพระพักตร์ “พี่อยากให้เจ้าอาบน้ำให้”

หยางเสียเก้อเขินกับคำที่ทรงขอ จึงได้ก้มหน้าหลบสายพระเนตรวาววับ ก็ใช่ว่าจะไม่เคยทำ ตอนเป็นทหารรับใช้นามหยางเสียก็เคยถวายงานขัดพระขนองอยู่หลายหน ขัดไปก็หลับตาไป

“อยู่เหลิงอานนางพระกำนัลคงจะช่วยสรงน้ำให้บ่อยจนเคยพระองค์”

อ้าว...ทรงหาเหตุให้นางไพล่ว่าไปถึงเรื่องหนหลังเสียแล้ว

“ไม่สงสารสามีเจ้าบ้างเลยหรือไร เหนื่อยมาทั้งวันก็แค่อยากจะให้เมียคอยเอาใจบ้างก็เท่านั้น” ทรงเค้นแววพระเนตรให้ละห้อยเนือยๆ เพื่อเรียกร้องความสนใจจากเจ้ายอดหทัย พระหัตถ์ใหญ่กุมมือน้อยเข้าเคลียไล้ยังพระปราง

ไม่ต้องทรงทำดวงเนตรแบบนี้ก็ได้ “ช่วยขัดพระขนองเฉยๆ นะเพคะ” ก่อนนางจะรับปากอะไรพระองค์ต้องเอาให้มั่นเหมาะ

“ก็ได้...” พระพักตร์คมกลับมาสดชื่นกระปรี้กระเปร่าได้อย่างไม่น่าเชือ ได้คืบแล้วหมายจะเอาศอกมันต้องค่อยๆ ทีละก้าว องค์ชายฝานจิ้งทรงกระหยิ่มในพระทัย

ตอนสรงน้ำน่ะเฉยๆ หลังสรงน้ำเสร็จ รวบด้วยเวลาเสวยมื้อค่ำก็ทรงเหมารับปากหยางเสียว่าจะเฉยอยู่ หากแต่ก่อนบรรทมนั้น พระองค์ไม่ได้รับปากนางเสียหน่อยว่าจะทรงนอนเฉยๆ!















 

Create Date : 12 เมษายน 2553
0 comments
Last Update : 13 เมษายน 2553 9:49:59 น.
Counter : 421 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


นางสาวอ้วนจัง ตังค์มากมี
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]





ฝาก"บัลลังก์เสน่หา : จากหนึ่งคำมั่น ตราบสิ้นนิรันดร์" ด้วยค่ะ
กรงขังสิเนหา
ทาสสวาทเงาเสน่หา
บุพเพเล่ห์จันทร์
ในรั้วรัก
เสี้ยวสิเน่หา
รอยนิรันดร์
กลีบเหมยกลางทราย
เล่ห์รักร่ายปรารถนา
ตะวันเยี่ยมรุ่ง
ขวัญข้าเอย
ลิขิตลวง
สิ้นแสงรังสิมา (หนึ่งหทัยมังกร)
ดาริกากลางใจ (ดวงใจรักจ้าวยุทธ์)
หากฟ้าไร้เมฆินทร์ (ทาสรักสลักใจ)
ฤาศศินอำพราง (ยอดพธูจอมทัพ)
รื่นกลิ่นปทุม
รักลุ้นวุ่นหวาน
สัญญาลับฉบับรัก
เพียงสิ้นชีวา
เนื่องนิจสิน
แม้นเดือนดับ
จันทร์ร้างฟ้า
กรงบรรณาการ
ฝนซาเมื่อฟ้าสาง
กลีบเก็ดถวา
แสงแรกของตะวัน
ทั้งหมดภายใต้นามปากกา วิรมย์รดา กะรัต ลนาริน ธาราพิศุทธิ์
Friends' blogs
[Add นางสาวอ้วนจัง ตังค์มากมี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.