เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. สถาบันนโยบายศึกษา โดยการสนับสนุนของมูลนิธิคอนราด อาเดนาวร์ และนิตยสารศิลปวัฒนธรรม จัดการสัมมนา จาก 100 ปี ร.ศ.130 ถึง 80 ปี ประชาธิปไตย ที่ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ ห้อง 304 อาคารมหาจักรีสิรินธร คณะอักษรศาสตร์
ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ รองอธิการบดีธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ตนเองเขียนหนังสือ เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ได้พบกับบุคคลหลายคน นักประวัติศาสตร์ควรพูดคุยเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากบุคคลในเหตุการณ์ ทำให้เราได้สะสมความรู้จากความทรงจำของท่านเหล่านี้ ไม่ใช่ใช้ความคิดผู้เขียนคนเดียว อย่างไรก็ตาม หากอ่านประวัติศาสตร์ ก็ต้องอ่านนักประวัติศาสตร์เสียก่อนว่ามีวิธีการทำงานอย่างไร
จากการศึกษา ก็พบเรื่องแปลกๆ มีฎีกา คำร้องทุกข์ ความเคลื่อนไหวจากข้างล่างมากมาย สามัญชน พ่อค้าชนชั้นกลาง และกลุ่มคนนอกระบบราชการ ล้วนมีข้อเรียกร้องทางการเมือง
ผลงานที่เขียนขึ้น เป็นการเก็บข้อมูลผู้อยู่ในเหตุการณ์ และตีความโดยผู้เขียน สำหรับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 80 ปี มีทั้งด้านสำเร็จและล้มเหลว เราต้องเข้าใจแนวคิด 3 เรื่อง
1. สมบูรณาญาสิทธิราชย์คืออะไร
2. สิทธิสภาพนอกอาณาเขต และ
3. ความเข้าใจเรื่องชาติ
1. ความหมายสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ถ้าเราพรรณนามากไป จะเข้าใจการเปลี่ยนแปลงอย่างผิดพลาด มองว่า สมบูรณาญาสิทธิราชย์ หมายความว่า พระเจ้าอยู่หัว เป็นประมุขของรัฐคู่กับประมุขฝ่ายบริหาร เดิมการเมืองไทยไม่มีการประชุม แต่เกิดครั้งแรกในสมัย รัชกาลที่ 5 ประชุมเสนาบดีสภา ทุกวันอังคาร
ในสมัยรัชกาลที่ 7 พระองค์ทรงเป็นประธานประชุมเสนาบดีสภา ดังนั้น สมบูรณาญาสิทธิราชย์ จึงสำคัญ เพราะ เป็นการรวบรวมอำนาจจากขุนนางมาไว้ที่ศูนย์กลางคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระองค์ตระหนักอยากให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ความสำเร็จของ 2475 คือเคลื่อนให้พระเจ้าอยู่หัวดำรงตำแหน่งประมุขของรัฐ แต่ไม่ใช่ประมุขฝ่ายบริหาร ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ต้องประชุมเสนาบดีสภาหรือคณะรัฐมนตรี ฉะนั้น การไม่ร่วมประชุม หมายความว่า อำนาจการบริหารราชการแผ่นดิน ยกให้อีกคนหนึ่งที่แยกจากสถาบันกษัตริย์ คือ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา จอมพล ป. พิบูลสงคราม พระยาพหลพลพยุหเสนา จนถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยความจริงแล้วรัชกาลที่ 7 เคยพูดแล้วว่า จะให้อีกคนไปนั่งประชุมแทนท่าน
2. ปัญหาสิทธิสภาพนอกอาณาเขต คือ ระบบที่มหาอำนาจบีบบังคับสยาม ให้จำกัดการเก็บภาษีร้อยละ 3 และอำนาจทางศาลไทยมีจำกัด ปัญหาเหล่านี้ กระทบโครงสร้างทางการเมือง เพราะคนในบังคับต่างชาติ ไม่ขึ้นศาลไทย ไม่ใช่แค่ฝรั่ง แต่มีคนจีนที่มีการศึกษา มีเงิน ก็ไปซื้อใบที่บอกว่าอยู่ในบังคับต่างชาติ
สยามไม่มีเอกราชสมบูรณ์ ยังไม่รวมนักหนังสือพิมพ์ที่วิจารณ์เจ้านายเสียๆ หายๆ เพราะอยู่ในร่มธงต่างชาติ ซึ่งรัชกาลที่ 6 ทำอะไรไม่ได้จึงเขียนหนังสือตอบโต้ จะเห็นได้ว่าสิทธิสภาพนอกอาณาเขต สร้างความสะเทือนกัดกร่อน ทำให้เกิดความคิดต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 โดยเฉพาะในหมู่ผู้มีการศึกษาด้านกฎหมาย โดยมีความหมายของ เอกราชในความหมายใหม่คือ การจัดเก็บภาษีและการควบคุมคน
3. ความเป็นชาติ ในทางการเมือง มี 2 ความหมาย อย่างแรกคือ ชาติทางวัฒนธรรม แต่ชาติทางการเมือง ต้องอยู่ภายใต้การปกครองชาติเดียวกัน นี่คือ ความสำเร็จ 2475 เป็นความสำคัญยิ่ง จาก 3 แง่มุมนี้คือความสำเร็จ ขอย้ำว่า ความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลง 3 เรื่อง อยากเรียก 2475 ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงการปกครองธรรมดา แต่เรียก การปฏิวัติสยาม ตอนนั้น เป็นสยามไม่ใช่ไทย
อีกด้าน ความล้มเหลว มีความล้มเหลว ข้อจำกัดหลายเรื่อง แต่ไม่ใช่ความล้มเหลว ในแง่ที่มีการโจมตีสุดขั้วว่า เหตุการณ์นั้นไม่ได้นำมาสู่ประชาธิปไตย แต่หมายถึงฐานคณะราษฎร เป็นฐานที่กำลังจำกัด ขอให้ดู ส.ส. 70 คน ส่วนหนึ่ง เป็น ข้าราชการ ระบอบเก่า และคณะราษฎร ที่ไม่ใช่ 2 กลุ่มนั้น ก็มี 3 คน
ทำไมคณะราษฎร ไม่เชิญคนนอกมามากกว่านี้ ทำไมไม่มีเจ้านายจากภูมิภาคต่างๆ แสดงว่าฐานแคบ ไม่ไว้ใจกันและไม่ไว้ใจคนอื่น อาทิ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร บอกว่า คณะราษฎรตัดสิทธิเจ้านายแต่ต้น เจ้านายเล่นการเมืองไม่ได้ เพราะคณะราษฎรอยู่ด้วยง่อนแง่นไม่ปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาพบว่า เรื่องใหญ่อีกประการ คือ การไม่มีการพัฒนาระบบเลือกตั้ง ซึ่งประเทศไทยจัดการเลือกตั้งอย่างง่ายภายใต้ระบบราชการ ขณะที่ประชาธิปไตยจะหยั่งลึกได้ ต้องมาจากการปกครองท้องถิ่น การจัดตั้งเทศบาลหลัง 2475 มีจำกัดมาก
ส่วนตัวอยากถามนายปรีดี พนมยงค์ ว่า ทำไมไม่ตั้งเทศบาลให้คลุมทั้งประเทศ แม้ท้องถิ่นจะมีชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ แต่ท้องถิ่นคือฐานประชาธิปไตย ปัจจุบัน การปกครองท้องถิ่นมี 7,500 แห่งจากที่คณะราษฎรทำไว้ 120 แห่ง
สำหรับรัฐธรรมนูญไทย ฉบับที่ใช้ยาวนานที่สุดคือ ฉบับ 10 ธ.ค. 2475 อายุยาวกว่ารัฐธรรมนูญ 2550 ที่ตนยกร่างด้วย อยากถามนายปรีดีว่า ทำไมต้องร่างฉบับใหม่ ซึ่งจากการศึกษาท่านบอกว่าต้องการประชาธิปไตยสมบูรณ์ ทั้งที่ความจริงแก้ไขได้
เรามีความล้มลุกคลุกคลานของประชาธิปไตย 80 ปี แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ความผิดของคณะราษฎรเท่านั้น เพราะมีปัจจัยนอกเหนือการควบคุมของคณะราษฎร เช่น สงครามญี่ปุ่น สงครามเย็น คอมมิวนิสต์ และ การขยายตัวของระบบราชการ ราชการขยายตัวออกไปมาก สร้างวัฒนธรรมแบบข้าราชการไม่อำนวยส่งเสริมความเป็นพลเมืองและประชาธิปไตย
80 ปีที่ผ่านมา เป็นการล้มลุกคลุกคลานที่ไม่ซ้ำรอยเดิม แต่เปลี่ยนรูปร่างไปตามพลังการเมือง เช่น เปลี่ยนรูปตามระบบราชการและทหารในยุคจอมพลถนอม ซึ่งทำให้เรากลายเป็นรัฐราชการ
ส่วนอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่ผ่านมา มักอยู่ในสโมสรหรือในกลุ่ม แต่อุดมการณ์ที่จะสร้างความมั่นคง ต้องอยู่ในเชิงปฏิบัติโดยประชาชน ซึ่งการให้ความสำคัญกับหน่วยย่อยอย่าง เมือง คือการปฏิบัติของประชาธิปไตยอย่างแท้จริงยิ่งกว่าการคิดแบบอุดมคตินามธรรม