ชม'วังวรดิศ' ย้อนอดีต ห้องชีวิตกรมพระยาดำรงฯ
วิภาวี จุฬามณี
วังวรดิศ
| อาคารหลังใหญ่ 2 ชั้น ภายในตกแต่งอย่างวังโบราณในยุโรป ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางแมกไม้ในพื้นที่กว่า 10 ไร่ เป็นที่ประทับของ 'สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ' พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์และโบราณคดีไทย
ในวาระครบรอบ 150 ปี วันประสูติสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และครบรอบ 50 ปี ที่พระองค์ได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโก แห่งสหประชาชาติให้เป็น 'บุคคลสำคัญ' ของโลก
สมาคมประวัติศาสตร์ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มูลนิธิพระยาอรรถกระวีสุนทรและคุณหญิง จึงร่วมกับพิพิธ ภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และวังวรดิศ จัดเสวนา 'พระอัจฉริยภาพของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ' และพาเยี่ยมชม 'วังวรดิศ' ที่ประทับอันเป็นที่รักของพระองค์ เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณผ่านการศึกษาชีวิต และผลงานของพระองค์
ที่ดินของตำหนักใหญ่วังวรดิศ เดิมเป็นของเจ้าจอมมารดาชุ่ม เจ้าจอมมารดาในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระราชทานที่รอบๆ วังเพิ่มขึ้นอีก เป็นรางวัลที่สมเด็จฯ ทรงงานสนองเบื้องพระยุคลบาทได้เป็นผลสำเร็จ เป็นที่พอพระราชหฤทัยยิ่ง
ค่าก่อสร้างตัวตำหนักนั้น สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถพระพันปีหลวง และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างพระราชทาน โดยจ้าง นายคาร์ล โดห์ริง สถาปนิกชาวเยอรมัน เป็นผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง ตำหนักแห่งนี้จึงมีทรงสัณฐานไม่ใช่ไทย แต่กระเดียดไปทางเยอรมันยุคใหม่
เล่ากันว่า สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงให้ความสำคัญกับบ้านมาก ครั้งหนึ่งเคยรับสั่งว่า 'บ้านเป็นที่ให้ความร่มเย็นเป็นสุขแก่ชีวิต คนเราต้องใช้ชีวิตอยู่ในบ้านมากกว่าแห่งอื่นๆ ดังนี้เราจึงควรจะสามารถเอาใจใส่ดูแลบ้าน เพิ่มพูนความเป็นสิริมงคลให้บังเกิดเป็นนิจได้ บ้านและครอบครัวนั้นๆ ก็จะถึงซึ่งความสุขความเจริญ อันเป็นสิ่งพึงปรารถนาของคนเรา คนดีจะบำเพ็ญประโยชน์ให้กับผู้อื่นตลอดจนชาติบ้านเมืองของตนได้ ต้องมีความสามารถจัดการบ้านเรือนของตัวเองให้เรียบร้อยได้เสียก่อน ไม่รกเป็นรังหนู' 1.สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
2.สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพกับวังวรดิศ
3.ห้องรโหฐาน
4.ห้องพระบรมอัฐิ
|
เมื่อมาเยือนวังวรดิศ จุดแรกที่มองเห็นคือ 'เฉลียงหน้า' เป็นสถานที่สำหรับทรงพักผ่อนในเวลากลางวัน ประดับด้วยหินอ่อนแกะสลักเป็นรูปของพระองค์ท่าน ฝีมือช่างชาวอิตาลี
บริเวณเดียวกันยังตกแต่งด้วยรูปถ่ายมากมาย หนึ่งในนั้น คือรูปเมื่องานวัดเบญจมบพิตร งานประจำปีของชาวกรุงที่เลื่องลือที่สุด ในภาพ รัชกาลที่ 5 ประทับอยู่ตรงกลาง ขนาบด้วย สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และสมเด็จฯ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ ซึ่งเปรียบเสมือนแขนซ้าย-ขวา ที่ช่วยพระองค์พัฒนาบ้านเมือง
ถัดไปด้านในคือ 'ห้อง Study' หรือ 'ห้องศึกษา วิทยาการแตกฉาน' สมเด็จฯ ตรัสเรียกเช่นนี้เพราะเป็นที่ซึ่งผู้อยู่เหย้าและผู้มาเยือนได้พบปะแลกเปลี่ยนความรู้กัน ภายในห้องนี้มีโซฟาชุดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 8 และรัชกาลปัจจุบัน เคยเสด็จฯมาประทับ เมื่อครั้งเสด็จฯ กลับมาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์
อีกห้องคือ 'ห้องจีน' จุดเด่นคือโต๊ะฝังมุก 1 ใน 5 ชุดแรกที่เข้ามาในเมืองไทย และรูปปั้นฮกลกซิ่ว เทพที่ประทานความสำเร็จแก่มนุษย์ในด้านต่างๆ ทำจากกระเบื้องเก่าแก่ เกือบเทียบเท่าเครื่องสังคโลก
และ 'ห้องเสวย' เป็นห้องเสวยที่เป็นทางการ มีโต๊ะเก้าอี้ 24 ที่นั่ง เป็นห้องเรียนสอนรับประทานอาหารแบบยุโรป เมื่อนักเรียนไทยได้ทุนหลวงไปศึกษาที่ยุโรป ก็จะมาเรียนการรับประทานอาหารที่นี่
ติดกันคือ 'ระเบียงหลัง' เป็นที่ประทับส่วนพระองค์แบบไทย คือประทับกับพื้น ใช้เสวยกระยาหารกับพระโอรส พระธิดา ระหว่างนั้นจะรับสั่งสนทนา หรือประทานเล่าเรื่องราวความรู้นานาเป็นวิทยาทานแก่ผู้มาเฝ้า
ขึ้นบันไดไปชั้น 2 มี 'เฉลียงหลังด้านบน' เป็นพื้นที่ทรงพักผ่อนสบายๆ ยามค่ำคืน และ 'ห้องแต่งพระองค์' แสดงเครื่องแบบทหาร และฉลองพระองค์เมื่อทรงพระเยาว์ ที่สำคัญคือมี มุ้งกันยุง ที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงใช้ตั้งแต่เมื่อแรกประสูติ
ติดกันเป็น 'ห้องเกียรติสถิต' เดิมเป็นห้องบรรทม ปัจจุบันเก็บสิ่งของและรูปภาพของคนในราชสกุลดิศกุลที่มีคุณูปการต่อบ้านเมือง และ 'ห้องทรงพระอักษร' มีนาฬิกาไขลาน บอกเวลาวันที่ 1 ธ.ค. พ.ศ.2486 ที่สมเด็จฯ สิ้นพระชนม์และนาฬิกาหมดลานพอดี บนโต๊ะทรงงานมีประติมากรรมเทพีแห่งกระบวนการยุติธรรม ด้านหลังเป็นตู้หนังสือขนาดใหญ่ แสดงพระนิพนธ์ที่ทรงนิพนธ์ไว้ในช่วงหลังๆ 1.ห้องแต่งพระองค์
2.ห้องจีน
3.ห้องทรงพระอักษร
4.ระเบียงหลัง
5.ห้อง Study หรือ "ห้องศึกษา วิทยาการแตกฉาน"
6.ดร.วิษณุ เครืองาม
7.ประติมากรรมหินอ่อนที่เฉลียงหน้า
|
ที่น่าสนใจคือ 'ห้องรโหฐาน' หรือ 'ห้องลับ' สมเด็จฯ ใช้ประชุมข้าราชการ เมื่อมีเหตุการณ์สำคัญๆ เพื่อที่ความลับจะได้ไม่แพร่งพราย และในวาระสุดท้ายยังสวรรคต ขณะประทับอยู่บนเก้าอี้ในห้องนี้
ที่สำคัญสุดคือ 'ห้องพระบรมอัฐิ' เป็นที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 1 รัชกาลที่ 2 รัชกาลที่ 4 รัชกาลที่ 5 และของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมารพระองค์แรกในรัชกาลที่ 5
ในอดีต สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ จะเสด็จเข้าไปกราบถวายบังคมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในห้องนี้เป็นประจำทุกวัน และรับสั่งให้ดำรงรักษาไว้ให้จงได้ เพื่อความเป็นสวัสดิมงคลแก่ตนเองและครอบครัว
สําหรับประวัติของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ผู้ทรงเป็นเจ้าของวังอันงดงามแห่งนี้นั้น ดร.วิษณุ เครืองาม ประธานกรรมการพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว บรรยายว่า ทรงเป็นพระราชโอรส องค์ที่ 57 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 กับเจ้าจอมมารดาชุ่ม ประสูติเมื่อวันที่ 21 มิ.ย.2405 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
หลังประสูติได้เพียง 6 วัน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็เสด็จสวรรคต พระองค์จึงอยู่ในความอุปการะของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นพระเชษฐาต่างมารดา
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพในวัยเด็ก ทรงฉลาดรอบรู้ และขยันขันแข็ง ขณะพระชนมายุเพียง 7-9 พรรษาก็ตรัสภาษาอังกฤษได้ดีกว่าเด็กวัยเดียวกัน สมเด็จพระเชษฐาจึงโปรดเรียกมาใช้สอย และเมื่อเจริญพรรษาขึ้น ก็ได้เป็นพละกำลังที่สำคัญที่สุดของรัชกาลที่ 5
'สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงงานมอบกายถวายชีวิตแด่ ร.5 โดยแท้จริง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ ร.5 เพราะทรงกำพร้าพ่อตั้งแต่พระชนมายุได้ 6 พรรษา ดังนั้นงานใดที่ท่านทำถวาย ร.5 ได้ จึงเพียรทำด้วยความกตัญญู นับเป็นสุดยอดตัวอย่างของคนดี'
ดร.วิษณุบรรยายต่อว่า เมื่อสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเจริญพระชนมายุ 25 พรรษา ได้รับมอบหมายให้ทำงานสำคัญ และดูเหมือนเป็นงานที่ทรงโปรดด้วย คืองานด้านการศึกษา ดูแลโรงเรียน ภาษา ศาสนา และหนังสือ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ ร.5 เริ่มมีพระราชดำริ เกี่ยวกับการปฏิรูปการปกครองประเทศแล้ว
ต่อมาเมื่อมีการตั้งกระทรวงขึ้นครั้งแรก 12 กระทรวง ในปี พ.ศ.2435 สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ จึงได้รับแต่งตั้งให้ ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย
ความยิ่งใหญ่ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ มี 7 ด้าน หนึ่ง คือเป็นผู้วางรากฐานการปกครองส่วนกลางของประเทศ เนื่องจากทรงดูแลกระทรวงมหาดไทย จนเป็นแบบอย่างให้อีก 11 กระทรวง
สอง คือทรงจัดการปกครองส่วนภูมิภาค ตั้งจังหวัด และมณฑลเทศาภิบาล แล้วส่งข้าราชการจากส่วนกลางไปปกครอง เป็นวิธีลดอำนาจเจ้าเมือง เพื่อดึงอำนาจสู่ศูนย์กลางอย่างหนึ่ง
สาม ทรงร่วมเสด็จกับ ร.5 ในการจัดตั้งสุขาภิบาลตลาดท่าฉลอม เป็นสุขาภิบาลแห่งแรกของประเทศ
สี่ ทรงเป็นผู้ถวายคำแนะนำให้ ร.7 ตั้ง 'คณะกรรมการรักษาพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน' หรือ 'สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ' ในปัจจุบัน เพื่อคัดเลือกคนเข้ารับราชการ และส่งไปศึกษายังต่างประเทศ
ห้า ทรงส่งเสริมงานวรรณคดีและศาสนา
หก ทรงสนใจด้านประวัติศาสตร์ จนได้รับสมัญญานามว่า 'พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์และโบราณคดี'
และเจ็ด ทรงซื่อตรง จงรักภักดี ต่อในหลวงรัชกาลที่ 5 อย่างแท้จริง
'เป็นการยากที่จะระบุว่า สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นอะไร เป็นนักปกครอง นักประวัติศาสตร์ หรือนักการศึกษา แต่ฝรั่งเรียกท่านว่า นักปราชญ์ ความสามารถทั้งหลายนี้เมื่อมารวมอยู่ในคนๆ เดียว คำว่า รัฐบุรุษ จะเหมาะสมที่สุด ที่จะถวายต่อพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์นี้' ดร.วิษณุสดุดี พระเกียรติคุณ
หน้า 21
ขอบคุณ ข่าวสดออนไลน์ คุณวิภาวี จุฬามณี สวัสดิ์สิริชีววารค่ะ
Create Date : 12 กรกฎาคม 2555 |
Last Update : 12 กรกฎาคม 2555 16:29:17 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1807 Pageviews. |
|
|