กวย ส่วย หรือกูย
คอลัมน์ รู้ไปโม้ด น้าชาติประชาชื่น nachart@yahoo.com
| เกี่ยวกับชนชาว กูย เปิดเอกสารของโครงการแผนที่วัฒนธรรม ของกลุ่มชาติพันธุ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โครงการความร่วมมือระหว่างสถาบันวิจัยภาษาและพัฒนาเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล
พบข้อมูลว่า ชาวกวย หรือ กุย หรือ กูย หรือ ส่วย จากหลักฐานของ ปอล เลวี ชาวฝรั่งเศส ซึ่งได้ขุดค้นร่องรอยอารยธรรมบริเวณมลูไพร ทางภาคเหนือของเขมร พบว่า ชาวกวยเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ข่า ที่เขมรเรียกว่า กุย หรือ สำแร เปือร์ พนอง เสตียง คือพื้นฐานประชากรส่วนใหญ่ที่เป็นทาสในสังคมกึ่งทาสของเขมรโบราณ เป็นผู้ขุดเหล็ก ตีเหล็กเป็นอาวุธ หล่อสำริดและยังใช้เครื่องมือหินด้วย
ทั้งนี้เพราะขุดได้เครื่องมือหิน เบ้าหิน เครื่องสำริด และเหล็กรุ่นก่อนประวัติศาสตร์ ตลอดจนพบโรงหล่อและสร้างอาวุธ ซึ่งอาวุธของนักรบเขมรโบราณก็คงจะได้จากชาวกุยที่เป็นทาสเหล่านี้
นอกจากนี้ พวกกุยยังชำนาญการจับช้าง (เป็นพวกเดียวกับส่วยโพน หรือส่วยช้าง ในจังหวัดสุรินทร์ รวมทั้งพวกที่มีอาชีพจับช้างในแขวงอัตตะปือที่ลาวใต้) โดยคงจะต้องจับช้างศึกให้เจ้านายเขมร ทั้งยังต้องถูกเกณฑ์ไปทำหน้าที่สกัดหิน ก่อสร้างปราสาท ขุดสระน้ำมหึมาที่มีอยู่มากมายในบริเวณนครธมและที่อื่นๆ
ขณะที่จากหลักฐานกฎหมายอยุธยาฉบับ พ.ศ. 1974 ได้กล่าวถึงกษัตริย์ของเขมรที่นครธม ได้ทรงขอให้เจ้ากวยแห่งตะบองขะมุม ที่มีเมืองสำคัญอยู่ตอนใต้ของเมืองนครจำปาสัก ส่งทหารไปช่วยพระองค์ปราบขบถ สำเร็จแล้วประมุขของทั้งสองฝ่ายได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ
จึงกล่าวได้ว่าชนชาวกวยเคยมีการปกครองอย่างอิสระในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20 เคยส่งทูตมาค้าขายกับราชสำนักอยุธยา และเคยช่วยกษัตริย์เขมรแห่งนครธมปราบขบถได้สำเร็จ ต่อมาผู้ปกครองชาวกวยถูกเขมรปราบปรามได้ และถูกรวมอยู่ภายใต้การปกครองของเขมรเรื่อยมา
ชนชาวกวย ในภาษาไทยเรียกว่า ส่วย แต่เขาเรียกตัวเองว่า กวย แปลว่าคนส่วนใหญ่อยู่กันทางตอนเหนือของกัมพูชา และแขวงจำปาสัก สาละวัน และอัตตะปือของลาว ต่อเนื่องเข้ามาทางภาคอีสานของไทย เขตจังหวัดอุบล ราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และบางส่วนของ มหาสารคามกับนครราชสีมา ส่วนมากอยู่ใต้แม่น้ำมูล
จากการศึกษาของเลวี พบว่าสาเหตุที่ชาวกวยอพยพเข้าสู่ที่ราบสูงโคราชหรือภาคอีสานของไทย มาจากเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เมื่อเจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร ได้สถาปนาอาณาจักรจำปาสัก (แคว้นจำปาสัก) ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 22 ชาวกวยที่อยู่ในเขตนครจำปาสักจึงได้อพยพหนีภัยทางการเมืองข้ามลำน้ำโขงเข้าสู่ภาคอีสานทางแก่งสะพือ ซึ่งเดิมรียกตามภาษากวยว่าแก่งกะชัยผึด (แก่งงูใหญ่) และแยกย้ายไปตั้งบ้านเรือนตามสถานที่ต่างๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ชาวไทย-กูยมักจะตั้งหลักแหล่งอยู่ระหว่างแม่น้ำมูลกับเทือกเขาพนมดงรัก ทั้งนี้อาจเป็นเพราะบริเวณดังกล่าวมีป่าและน้ำอุดมสมบูรณ์ สะดวกในการเลี้ยงช้างก็เป็นได้ โดยจังหวัดสุรินทร์และศรีสะเกษ จะมีอยู่หนาแน่นกว่าจังหวัดอื่น คือมีอยู่เกือบทุกอำเภอ
กล่าวกันว่าในช่วงแรกก่อนที่กลุ่มไทย-ลาว และไทย-เขมร จะอพยพเข้ามาอยู่นั้น สุรินทร์และศรีสะเกษเป็นถิ่นที่อยู่ของชาวกูยเกือบทั้งหมด แต่ปัจจุบันชาวกูยเหลืออยู่ประมาณ 10-20 % ของประชากรในจังหวัด
และเนื่องจากมีความสะดวกรวดเร็วในการสื่อสารการคมนาคม กลุ่มต่างๆ จึงมีโอกาสปะทะสัมพันธ์กันทางวัฒนธรรมมากยิ่งขึ้น ยอมรับวัฒนธรรมของกลุ่มอื่นเข้ามาผสมผสานกับวัฒนธรรมของตน โดยเฉพาะชาวกูยซึ่งมีลักษณะเฉพาะในการยอมรับวัฒนธรรมอื่นสูง อยู่แล้ว จึงแทบจะกลายเป็นกูย-ลาว กูย-เขมร ไปเกือบหมด
หน้า 24
ขอบคุณ ข่าวสดออนไลน์ คอลัมน์ รู้ไปโม้ด น้าชาติประชาชื่น สิริสวัสดิ์วุธวารค่ะ
Create Date : 22 สิงหาคม 2555 |
Last Update : 22 สิงหาคม 2555 12:52:29 น. |
|
0 comments
|
Counter : 3698 Pageviews. |
|
|