บางครั้งโลกแห่งความจริงไม่สวยงาม...เฉกเช่นความฝัน แต่รู้สึกและจับต้องได้
Group Blog
 
 
ธันวาคม 2553
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
29 ธันวาคม 2553
 
All Blogs
 

ธรรมชาติและวัฒนธรรม(34)...อยากหยุดน่านไว้เหนือกาลเวลา / วินิจ รังผึ้ง








แม้นวันเวลานาทีจะเดินไปข้างหน้าด้วยฝีเท้าที่เท่าเดิมอย่างมั่นคงเสมอมา แต่วันเวลาและการหมุนของโลกทุกวันนี้ เรากลับรู้สึกเหมือนวันเวลาก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วยิ่งนัก บางคนก็บอกโลกทุกวันนี้เริ่มหมุนเร็วจนคนบนโลกเริ่มมึนหัว ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นคงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าไม่ใช่เรื่องจริง หรือเป็นเพียงเรื่องของความรู้สึกเท่านั้น แน่นอนเวลานาทีหมุนไปข้างหน้าในอัตราเท่าเดิมอย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นระหว่างการหมุนไปของกาลเวลาต่างหาก ที่มันดำเนินไปรวดเร็วกว่าที่เคยเป็นมาในอดีตอย่างมากมายยิ่งนัก หากวันนี้เผอิญมีใครสักคนเผลอหลับแล้วลืมตื่นไปสักสิบยี่สิบปี เมื่อตื่นขึ้นมาในวันข้างหน้าเขาจะคงเชื่อมต่อกาลเวลาและยุคสมัยไม่ติด สภาพแวดล้อมคงเปลี่ยนไปจนจำไม่ได้ เทคโนโลยีคงก้าวหน้าพัฒนาไปอย่างที่ผู้คนในปัจจุบันนึกไม่ถึง พฤติกรรมของผู้คน สังคม วิถีวัฒนธรรมคงเปลี่ยนไปจนทำให้เขากลายเป็นคนแปลกปลอม ตกยุคตกสมัย บางทีเขาอาจจะขอหลับตาอีกลงครั้ง เพื่อจะหลับเป็นนิรันดร์บนความฝันและความทรงจำในอดีตก็เป็นได้



ในชีวิตจริงทุกสรรพสิ่งคงไม่อาจ “เว้นวรรค” หรือได้รับยกเว้นการเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงที่เดินทางมาพร้อมกับกาลเวลาไปได้ ดูอย่าง “น่าน” เมืองชายแดนห่างไกลที่มีขุนเขาเทือกดอยสลับซับซ้อนเป็นกำแพงกางกั้นการรุกล้ำจากผู้คนและวิถีวัฒนธรรมอันแปลกปลอมจากภายนอกที่จะเข้ามาปะปนเปลี่ยนแปลงวิถีวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ที่สืบสานให้ยืนยงดำรงอยู่คู่ชุมชนมายาวนาน แต่น่านวันนี้ก็ไม่อาจรอดพ้นจากความเปลี่ยนแปลงที่เริ่มเดินทางข้ามขุนเขาก้าวย่างเข้ามาทีละเล็กละน้อย จนเริ่มจะน่าเป็นห่วงเป็นใยมากขึ้นทุกวัน



อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่เมืองน่านผู้ปลีกวิเวกออกมาอยู่ห่างไกลกลางขุนเขา จะถูกผู้คนและวัฒนธรรมภายนอกเข้ามาวุ่นวาย ด้วยประวัติศาสตร์แต่ดั้งเดิมที่น่านในฐานะนครรัฐอิสระก่อร่างสร้างชุมชนของตนขึ้นมาท่ามกลางหุบเขาอันห่างไกล แต่ก็ไม่วายจะถูกรุกรานจากอาณาจักรภายนอกที่มีกำลังเหนือกว่า โดยเรื่องเล่าตามพงศาวดารกล่าวว่า พญาภูคาและนางพญาจำปาผู้เป็นชายาได้รวบรวมผู้คนมาตั้งศูนย์การปกครองอยู่ที่เมืองย่างซึ่งสันนิษฐานว่าอยู่ริมฝั่งด้านใต้ของลำน้ำย่างใกล้เทือกดอยภูคาในเขตบ้านเสี้ยว ตำบลยม เขตอำเภอท่าวังผา ซึ่งปรากฏร่องรอยชุมชนโบราณที่มีคูน้ำ คันดิน และซากกำแพงเมืองซ้อนกันอยู่

ซึ่งต่อมาพญาภูคาได้ขยายอาญาเขตการปกครองออกไป โดยส่งราชบุตรบุญธรรม 2 คนคือขุนนุ่นและขุนฟองไปสร้างเมืองใหม่ ขุนนุ่นผู้พี่ไปสร้างเมืองจันทบุรีซึ่งก็คือเมืองหลวงพระบางนั่นเอง ส่วนขุนฟองผู้น้องได้สร้างเมืองวรนครหรือเมืองปัวขึ้นและทำนุบำรุงให้รุ่งเรืองสืบมา น่านกับหลวงพระบางจึงถือเป็นบ้านพี่เมืองน้องอย่างแท้จริง เมื่อขุนฟองถึงแก่พิราลัย เจ้าเก้าเถื่อนราชบุตรจึงขึ้นครองเมืองปัวหรือวรนครแทน ด้านเมืองย่างเมื่อพญาภูคามีอายุแก่ชรามากขึ้น และไม่มีผู้สืบทอดแทน ก็ได้ขอให้เจ้าเก้าเถื่อนผู้เป็นหลานมาครองเมืองย่างแทน ด้วยความเกรงใจปู่ เจ้าเก้าเถื่อนจึงยอมไปครองเมืองย่างส่วนเมืองปัวก็ให้นางพญาแม่ท้าวคำปินผู้เป็นชายาดูแลแทน เมื่อปัวว่างเว้นจากผู้นำที่แข็งแกร่ง พญางำเมืองเจ้าผู้ครองเมืองพะเยา ก็ถือโอกาสแผ่อิทธิพลเข้ามาในแถบเมืองน่านทั้งหมด นางพญาแม่เท้าคำปินจึงหลบหนีไปอยู่บ้านห้วยแร้งพร้อมด้วยบุตรในครรภ์ ซึ่งต่อมาก็เติบใหญ่มีนามว่าเจ้าขุนใส ซึ่งต่อมาเจ้าขุนใสได้เข้ามารับใช้พญางำเมืองจนเป็นที่โปรดปรานและได้รับการแต่งตั้งให้ไปครองเมืองปราดจนมีกำลังไพร่พลแข็งแกร่งขึ้นมาเป็นลำดับ ในที่สุดก็สามารถจะยกทัพมาปลดปล่อยเมืองปัวให้พ้นจากอำนาจอิทธิพลของเมืองพะเยาได้สำเร็จ พร้อมกับได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพญาผานอง ขึ้นครองเมืองปัวหรือวรนครยาวนานถึง 30 ปีจนพิราลัย



ต่อมาในสมัยพญาการเมือง(พญากรานเมือง) ผู้เป็นโอรสพญาผานองปกครองเมืองปัว ก็ได้มีการเจริญสัมพันธไมตรีกับอาณาจักรสุโขทัยอย่างใกล้ชิด และได้มีการเชิญพระมหาธรรมราชาลิไทขึ้นมาร่วมสร้างวัดหลวงอภัย (วัดอัมพวนาราม) ซึ่งเมื่อสร้างเสร็จจะเดินทางกลับก็ได้พระราชทานพระธาตุ 7 องค์ พระพิมพ์ทองคำ 20 องค์ พระพิมพ์เงิน 20 องค์แก่พญาการเมือง ซึ่งพญาการเมืองก็ได้ทำการก่อสร้างพระธาตุแช่แห้งขึ้นเพื่อประดิษฐานองค์พระธาตุที่บนภูเพียงแช่แห้ง พร้อมทั้งอพยพผู้คนจากเมืองปัวมาสร้างเมืองใหม่ที่บริเวณพระธาตุแช่แห้งในปี พ.ศ.1902 ต่อมาเมื่อพญาการเมืองถึงแก่พิราลัย พญาผากองผู้เป็นโอรสก็ขึ้นครองเมืองแทน ต่อมาเมื่อเกิดปัญหาความแห้งแล้ง พญาผากองจึงอพยพผู้คนมาสร้างเมืองใหม่ที่ริมฝั่งแม่น้ำน่านด้านตะวันตกในปี พ.ศ.1911 อันเป็นที่ตั้งของเมืองน่านในปัจจุบัน



เมืองน่าน รุ่งเรืองขึ้นมาด้วยความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งยังมีบ่อเกลือที่เป็นเสมือนขุมทรัพย์อันมีค่ามหาศาล เพราะในดินแดนตอนเหนือที่ห่างไกลจากทะเลนั้นเกลือได้กลายเป็นของมีค่าสูงยิ่งที่ทุกอาณาจักรต่างก็ต้องการ ในปี พ.ศ.1993 พระเจ้าติโลกราชกษตริย์ผู้ครองนครเชียงใหม่ศูนย์กลางแห่งอาณาจักรล้านนาก็ได้ยกทัพมายึดครองเมืองน่านและแหล่งเกลือที่บ่อเกลือเหนือและบ่อเกลือใต้ น่านต้องตกอยู่ในปกครองของอาณาจักรล้านนาอยู่เกือบ 100 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลายาวนานที่ทำให้น่านซึมซับเอาศิลปวัฒนธรรมล้านนาเข้ามาไว้ในวิถีชีวิต ทำให้เกิดศิลปะสถาปัตยกรรมแบบล้านนาเข้ามาแทนที่ศิลปะสถาปัตยกรรมแบบสุโขทัย โดยจะเห็นได้จากวัดวาอารามต่างๆที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งแม้นจะมีศิลปะสถาปัตยกรรมแบบสุโขทัยปรากฏให้เห็นอยู่บ้าง เช่น ส่วนฐานของเจดีย์วัดช้างล้อมซึ่งเป็นศิลปะแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของสุโขทัย แต่ส่วนองค์พระเจดีย์ก็ถูกสร้างให้เป็นศิลปกรรมแบบล้านนาสวมแทน ชะตากรรมของเมืองน่านยังไม่หมดเท่านั้น เพราะน่านต้องตกไปเป็นเมืองขึ้นของพม่าอีกเป็นเวลายาวนานกว่า 200 ปีในระหว่างปี พ.ศ.2103-2328 ซึ่งเป็นสมัยที่อาณาจักรล้านนาถูกพม่าเข้ายึดครอง การศึกสงครามทำให้น่านต้องกลายเป็นเมืองร้างถึง 2 ครั้ง 2 ครา จนสมัยกรุงรัตนโกสินทร์แข็งแกร่งขึ้น เจ้าอัตถวรปัญโญได้เดินทางไปเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 เพื่อขอเป็นข้าขอบขันฑสีมาในปี พ.ศ.2331 ทำให้น่านมีฐานะเป็นหัวเมืองประเทศราชของกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งเจ้าผู้ครองเมืองน่านทุกองค์ในเวลาต่อมาก็ได้สืบทอดความภักดีต่อกรุงรัตนโกสินทร์และบ้านเมืองก็ปลอดจากภัยสงครามทำให้บ้านเมืองสุขสงบตลอดมา



น่านวันนี้ยังคงความเป็นเมืองสงบงามที่มีมนต์ขลัง มีความร่ำรวยและอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติทั้งผืนป่าและสายธาร ด้วยมีพื้นที่กว้างขวางเป็นอันดับที่ 13 ของประเทศ แต่มีผู้คนอยู่อาศัยเบาบางที่สุดเป็นอันดับ 3 ของประเทศ น่านมีอุทยานแห่งชาติมากมายถึง 7 แห่ง มีวัดวาอาราม มีโบราณสถานที่สวยงามมากมาย มีวิถีวัฒนธรรมที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของตนอย่างน่าชื่นชม แต่ในวันที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในยุคทุนนิยมที่ผู้มีอำนาจทุนสูงมีอำนาจ มีกำลังสามารถเข้าแย่งชิงครอบครองเป็นเจ้าของทรัพยากรในทั่วทุกหนทุกแห่งเช่นทุกวันนี้ น่านที่หลายคนบอกว่าเป็นดั่งอัญมณีชิ้นสุดท้ายของล้านนา จะสามารถดำรงวิถีแห่งตนไว้ได้ยาวนานเพียงใด ก็คงเป็นเรื่องที่หลายๆคนเป็นห่วงเป็นใยยิ่ง

เรื่องและภาพจาก ผู้จัดการออนไลน์
เสียงประกอบ //www.palungjit.com/






 

Create Date : 29 ธันวาคม 2553
4 comments
Last Update : 20 มกราคม 2554 17:19:03 น.
Counter : 1068 Pageviews.

 

อยากให้น่านเป็นเมืองเล็กๆ สุขสงบใต้ขุนเขาอย่างนี้เรื่อยไป
รัก...และ...เก็บน่านไว้ในความทรงจำตลอดมา

 

โดย: BabyGreace 29 ธันวาคม 2553 14:32:11 น.  

 

เก็บความสงบและวัฒนธรรมที่ดีงาม เอาไว้บ้างดีกว่าครับ เรามีความเจริญทางวัตถุมากแล้วครับ

 

โดย: helloboy IP: 203.113.0.206 29 ธันวาคม 2553 15:22:45 น.  

 

โลกต้องหมุนไปดั่งเช่นต้นไม้ที่ต้องเติบโตให้ดอกผล...คงจะเป็นไปได้ยากหากจะมารำพึงกล่าวและได้แต่อยาก หากท่านทั้งหลายไม่ได้ลงมือปฏิบัติกันเสียเลย เริ่มจากจุดเล็กๆ ที่ตัวเราก่อนน่าจะดี เพราะคงเป็นไปได้ยากที่จะสามารถเปลี่ยนให้ทุกคนกระทำและคิดดั่งที่ใจเราอยากได้ ... อยากให้ทุกท่านที่จะเข้ามาเยี่ยมเยือนเมืองน่าน มาด้วยจิตที่สำนึกถึงความที่น่านมีเสน่ห์ ที่ไม่ได้มีความสำเร็จรูปดั่งหลายๆเมืองท่องเที่ยว ผู่คนอาจจะไม่ได้รอบรู้เอาซะทุกอย่าง โดยเฉพาะข้อมูลท่องเที่ยว เพราะเขาเหล่านั้นล้วนแต่พอเพียงที่จะมีความสุขในจุดที่เขาเป็นอยู่ ฉนั้นท่านจึกทำการบ้านให้ดีก่อนมาถึง และ เปิดใจที่จะเรียนรุ้วิถีชีวิตที่ยังมีจิตวิญญาณให้หลงไหล และได้สัมผัส

 

โดย: travelnan.com IP: 61.7.174.158 29 ธันวาคม 2553 23:48:02 น.  

 

แวะมาชม ครับ

 

โดย: Kavanich96 30 ธันวาคม 2553 10:56:40 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


atruthoflife10
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




กลับคืนสู่ธรรมชาติ ด้วยสุขภาพที่ดีกว่า

ไตรลักษณ์
เกิดขึ้น 26 พ.ย.2553

ดับไป....???

Friends' blogs
[Add atruthoflife10's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.