บางครั้งโลกแห่งความจริงไม่สวยงาม...เฉกเช่นความฝัน แต่รู้สึกและจับต้องได้
Group Blog
 
 
ธันวาคม 2553
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
17 ธันวาคม 2553
 
All Blogs
 
ธรรมชาติและวัฒนธรรม(4)...สดชื่นเย็นฉ่ำ กับ 3 น้ำตกแห่งภูสอยดาว








สดชื่นชุ่มฉ่ำกับสายน้ำ "น้ำตกสายทิพย์"

หลังจากที่เติมพลังกับข้าวเที่ยงแบบง่ายๆ ที่ทำกินกันเองเรียบร้อยแล้ว เราก็เริ่มทำตามโปรแกรมการท่องเที่ยวของเราที่วางเอาไว้ว่า นอกจากจะชมดอกหงอนนาค ไปเยี่ยมหลักเขตแดนไทย-ลาวแล้ว ก็จะต้องไปเที่ยว "น้ำตกสายทิพย์" บนภูสอยดาวด้วย

แต่ก่อนที่จะออกเดินทาง โชคดีที่ "พี่สอน" เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติภูสอยดาวที่คอยดูแลนักท่องเที่ยวบนลานสน ก็เดินเข้ามาพูดคุยกับเรา และเสนอว่าจะเป็นคนพาไปชมน้ำตกสายทิพย์ รวมทั้งจะถือโอกาสพาไปชมน้ำตกอีกแห่งหนึ่งซึ่งเป็นน้ำตกใหม่ เพิ่งสำรวจพบเมื่อไม่นานมานี้ นั่นก็คือ "น้ำตกหลุมพบ" ซึ่งคำจำกัดความที่พี่สอนอธิบายถึงน้ำตกแห่งนี้ก็คือ "ทั้งสูง ทั้งสวย แต่อันตราย"


เที่ยวน้ำตกหน้าฝน จะพบสายน้ำไหลแรง

ได้ฟังคำชักชวนอย่างนี้แล้ว "ผู้จัดการท่องเที่ยว" จะพลาดได้อย่างไร ดังนั้นจากเดิมที่จะไปชมเพียงแค่น้ำตกสายทิพย์ ก็เลยเปลี่ยนใจจะไปชมน้ำตกหลุมพบเสียด้วยเลยเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเที่ยว

เมื่อตอบตกลงโอเค พี่สอนก็นำเราเดินออกจากลานสนลงไปริมชายป่าใกล้กับบริเวณห้องอาบน้ำ ซึ่งมีทางเดินเล็กๆ ให้พอมองเห็น ในช่วงแรกนี้พวกเราต้องใส่เบรกให้เท้าเพราะเป็นทางลาดลงค่อนข้างชัน หลังจากเดินลัดเลาะหลบกิ่งไม้มาพักหนึ่ง เส้นทางก็เริ่มเปลี่ยนเป็นหินน้ำตกก้อนเล็กบ้างใหญ่บ้าง ลื่นบ้างไม่ลื่นบ้าง เป็นสัญญาณว่าใกล้จะถึงน้ำตกสายทิพย์แล้ว

การไปชมน้ำตกแล้วปกติจะต้องชมจากชั้นล่างสุดแล้วค่อยป่ายปีนขึ้นไปยังชั้นบน แต่สำหรับน้ำตกสายทิพย์นี้ "ผู้จัดการท่องเที่ยว" เริ่มจากชั้นบนสุดไต่ลงมาเรื่อยๆ จนครบน้ำตกทั้ง 7 ชั้น ระหว่างทางที่ป่ายปีนน้ำตกลงมา พี่สอนก็ชี้ชวนให้ดูพรรณไม้ต่างๆ ริมน้ำตก ซึ่งก็มีทั้งเฟิร์นชนิดต่างๆ เช่น เฟิร์นตีนตุ๊กแก เฟิร์นข้าหลวง และอีกหลายพันธุ์ รวมไปถึงดอกไม้ป่า และกล้วยไม้ป่าต่างๆ เช่นดอกเอื้องดิน ซึ่งเป็นพันธุ์ไม้หายาก แล้วก็ยังมีต้นมะขามโบราณ ต้นหวาย ต้นกล้วยป่าต้นต้นสูงใหญ่ผิดจากกล้วยธรรมดา รวมไปถึงเห็ดต่างๆ ทั้งแบบที่กินได้และกินไม่ได้

และความสมบูรณ์ของป่าและความชุ่มฉ่ำของสายน้ำที่มีตลอดทั้งปี ทำให้ป่ารอบข้างน้ำตกยังหนาแน่นไปด้วยพรรณไม้ และบนพื้นผิวของก้อนหินน้อยใหญ่นั้นก็เต็มไปด้วยพืชจำพวกมอสและไลเคนซึ่งดูเหมือนผืนพรมกำมะหยี่สีเขียวสด แต่พี่สอนบอกว่า ยังมีน้ำตกอีกแห่งหนึ่งทางฝั่งลาวที่อุดมสมบูรณ์กว่านี้ ปกคลุมไปด้วยมอสมากมายยิ่งกว่านี้อีก เรียกกันว่าน้ำตกมอส เมื่อก่อนนี้นักท่องเที่ยวก็ยังสามารถข้ามไปเที่ยวได้ แต่ตอนนี้ทางฝั่งลาวเขาไม่ให้ใครเข้าไปแล้ว


สนุกสนานกับสายน้ำเย็นเฉียบที่น้ำตกหลุมพบ

"ผู้จัดการท่องเที่ยว" ลัดเลาะน้ำตกสายทิพย์ลงไปทีละชั้นๆ ล้มลุกคลุกคลานจับกบกันไปบ้างตามสมควร แวะพักบ้าง แวะถ่ายรูปกันบ้างในมุมที่สวยถูกใจ จนในที่สุดเราก็ไต่ลงมาถึงน้ำตกสายทิพย์ชั้นล่างสุด ซึ่งสายน้ำจากน้ำตกสายทิพย์นี้จะไหลต่อไปเป็นลำน้ำภาค จากนั้นจึงไหลลงสู่แม่น้ำแดงน้อย หล่อเลี้ยงคนในอำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลกต่อไป

ไม่ใช่เพียงแค่น้ำตกสายทิพย์เท่านั้นที่เป็นต้นกำเนิดของลำน้ำภาค เพราะยังมีสายน้ำจากน้ำตกหลุมพบไหลลงมาสมทบด้วยอีกกระแสหนึ่ง ซึ่งหลังจากที่เราตะเกียกตะกายลงมาถึงตีนน้ำตกสายทิพย์แล้ว จากนี้ก็จะเป็นการไต่ย้อนกลับขึ้นไปยังน้ำตกหลุมพบ ซึ่งปลายน้ำตกทั้งสองนั้นก็อยู่ไม่ห่างกันนัก

สำหรับน้ำตกหลุมพบนี้เป็นน้ำตกที่เพิ่งพบเมื่อสองปีก่อน โดยคนพบชื่อว่านายหุม จึงเป็นที่มาของชื่อ "น้ำตกหุมพบ" และเพื่อให้เรียกอย่างสะดวกปาก จึงกลายมาเป็นชื่อ "น้ำตกหลุมพบ" อย่างที่เรียกกัน แต่เหตุที่เพิ่งมาเปิดตัวก็เพราะเพิ่งมีการสำรวจเส้นทางอย่างจริงๆ จังๆ ในช่วงนี้ โดยเส้นทางเดินในช่วงแรกก็ยังคงเป็นการปีนป่ายไปตามก้อนหินเช่นเดิม

หลังจากที่ไต่ระห่ำกันมาได้พักหนึ่งแล้ว "ผู้จัดการท่องเที่ยว" แหงนหน้ามองน้ำตกเบื้องหน้า เห็นสายน้ำสีขาวไหลหล่นลงมาจากน้ำตกเบื้องบน ได้ยินพี่สอนบอกว่า เราจะต้องไต่ขึ้นไปด้านบนน้ำตกนั่น แต่มองดูแล้วยังไง้...ยังไง ก็ไม่เห็นทางไหนที่เราจะไต่ขึ้นไปได้เลย พี่สอนเลยชี้ให้ดูหน้าผาทางด้านซ้ายมือ ซึ่งเป็นทางดินลาดชัน ชันที่สุดเท่าที่พวกเราปีนกันมาว่า นี่แหละ...คือเส้นทางที่เราจะต้องไป


สามเฒ่าผู้ยิ่งใหญ่ ต้นไม้ใหญ่แห่งป่าภูสอยดาว

ขณะที่เรากำลังแหงนหน้ามองน้ำตกตาปริบๆ อยู่นั้น "ผู้จัดการท่องเที่ยว" ก็หันไปเห็นพี่สอนกำลังยกมือไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์แถวๆ นั้น พวกเราเลยหันมองหน้ากันเอง แล้วคิดว่า สงสัยทางที่พวกเราจะต้องไต่ขึ้นไปนี้คงจะไม่ใช่เล่นๆ เลยทีเดียว

แล้วก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ เสียด้วย เพราะพี่สอนหันมาบอกพวกเราให้ระมัดระวังกับเส้นทางตรงนี้ให้มากๆ ด้วยการเกาะเส้นหวายที่ทางอุทยานฯ ทำไว้ให้เป็นที่ยึดเกาะให้ดีๆ ใช้ประสาทสัมผัสทุกส่วนช่วยในการปีนป่าย สองตาต้องคอยมองหาที่วางเท้าเหมาะๆ สองมือก็ต้องเกาะเส้นหวายดึงตัวเองขึ้นไป ส่วนสองเท้าก็ต้องช่วยส่งน้ำหนักตัวเองให้ปีนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ นอกจากนั้นแล้วปากก็ต้องคอยบอกเพื่อนร่วมทางด้วยว่ากิ่งไม้กิ่งไหนเปราะ กิ่งไหนเหนี่ยวได้ หรือกิ่งไหนไม่ควรเหนี่ยว

แต่ที่สำคัญคือ คนที่กลัวความสูงนั้นจะต้องไม่มองลงข้างล่างเด็ดขาด เพราะหากเกิดอาการมือไม้อ่อนขาอ่อนตกลงไปจากหน้าผาเมื่อไรก็ไม่น่าจะเหลือรอดกลับบ้าน คงจะต้องนอนอยู่ที่ก้นน้ำตกนั่นเอง

แต่ถึงเส้นทางจะโหดจะชันอย่างไรก็ไม่ยากเกินความสามารถ เพราะพวกเราทั้งคณะก็สามารถผ่านกันมาได้ จนในที่สุดก็มาถึงน้ำตกหลุมพบชั้นบนสุด ที่พวกเราถือโอกาสลงไปนอนแช่ผ่อนคลายร่างกายที่เหน็ดเหนื่อยจากการออกกำลังด้วยการปีนป่ายมากว่าสองชั่วโมงนี้เสียหน่อย แต่จะว่าผ่อนคลายก็ไม่ถูกนัก เพราะสายน้ำจากน้ำตกนั้นเย็นเฉียบเสียจนพวกเราเล่นได้อยู่ได้ไม่นานนักก็ต้องรีบขึ้นมาก่อนที่จะเป็นตะคริวกันเสียก่อน และจากนั้นอีกไม่ไกลนัก เราก็ไต่เนินเขาขึ้นมาสู่แสงแดดอุ่นๆ ยามบ่ายบนลานสนอีกครั้ง


บรรยากาศความงามของน้ำตกที่รายล้อมไปด้วยแมกไม้

มาปิดท้ายกันที่น้ำตกอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นน้ำตกที่สำคัญ และยังมีชื่อเดียวกับอุทยานแห่งชาติ นั่นก็คือ "น้ำตกภูสอยดาว" ซึ่งเหมือนเป็นจุดรับแขกเพราะเป็นน้ำตกแรกที่จะต้องเจอ อีกทั้งยังต้องเดินเลาะเลียบผ่านน้ำตกนี้เพื่อจะขึ้นไปยังลานสน และเมื่อตอนที่พวกเราจะลาจากภูสอยดาว น้ำตกแห่งนี้ก็เหมือนเป็นน้ำตกส่งแขกอีกเช่นกัน "ผู้จัดการท่องเที่ยว" จึงขอนำมาไว้ปิดท้ายการท่องเที่ยวในครั้งนี้

น้ำตกภูสอยดาวนี้ก็มีขนาดไม่ใหญ่นัก มีอยู่ด้วยกัน 5 ชั้น แต่ละชั้นก็มีชื่อไพเราะคล้องจองกันว่า ภูสอยดาว สกาวเดือน เหมือนฝัน กรรณิการ์ และสุภาภรณ์ ซึ่งในตอนขากลับหลังจากที่เราผ่านเนินส่งญาติลงมาแล้ว ก็จะเข้าสู่เขตของน้ำตกภูสอยดาว เริ่มได้ยินเสียงซู่ซ่าของสายน้ำ และพื้นดินแถวนั้นก็เริ่มชุ่มฉ่ำขึ้นกว่าที่ผ่านมา

จากความชุ่มชื้นนั้นเอง ก็ทำให้มีพรรณไม้และดอกไม้ป่าต่างๆ อยู่บริเวณใกล้เคียง เช่นดอกเทียนสีชมพูสดใส หรือเห็ดที่มีรูปร่างและสีสันแปลกตาก็มีให้เห็น รวมไปถึงต้นไม้ใหญ่อย่าง "สามเฒ่าผู้ยิ่งใหญ่" ซึ่งก็คือต้นตุ้มเต๋น ต้นตะแบก และต้นไทร ต้นไม้ใหญ่สามต้นที่ขึ้นอยู่ใกล้กันเหมือนเป็นเพื่อนเก่าแก่กันมานาน

และที่น้ำตกภูสอยดาวนี่เอง ที่พวกเราได้ลงไปแช่น้ำล้างเนื้อล้างตัวล้างหน้าล้างตา หลังจากที่เดินลงมาถึงตีนภูด้วยอาการขาสั่น เหนื่อยอ่อน และหิวข้าวเนื่องจากเป็นเวลาบ่ายพอดี เมื่อได้สัมผัสกับสายน้ำเย็นๆ อีกครั้งก็ช่วยเรียกความสดชื่นได้เป็นอย่างดี


บางช่วงของทางเดินก็ชันจนต้องปีนบันได

เมื่อลงมาถึงยังตีนภูก็ถึงเวลาที่ต้องบอกลาภูสอยดาวกันแล้ว แม้จะยังปวดเมื่อยและเหนื่อยอ่อนกับการเดินทาง แต่ก็ไม่มีใครคิดอยากกลับ แต่ด้วยหน้าที่ของแต่ละคนที่ยังมีอยู่ จึงต้องปล่อยให้รถวิ่งห่างออกไป เหลือเพียงความทรงจำและความประทับใจไว้ที่ภูสอยดาวแห่งนี้

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ตั้งอยู่ที่ ต.ห้วยมุ่น อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ การเดินทางสู่ภูสอยดาว จากตัวเมืองพิษณุโลก ใช้ทางหลวงเลข 11 ที่มุ่งตรงไปยัง จ.อุตรดิตถ์ ถึง อ.วัดโบสถ์ ให้แยกขวาไปบ้านโป่งแค ตามทางหลวงหมายเลข 1206 ถึงสามแยกบ้านโป่งแค เลี้ยวขวาไปตามทางหลวงหมายเลข 1143 มุ่งตรงไปจนถึง อ.ชาติตระการ เลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข 1237 วิ่งตรงไปอีก 71 กม ถึงแยกทางหลวงสาย 1268 เลี้ยวซ้ายไปภูสอยดาว ระยะทาง 58 กม. ติดต่อสอบถามโทร.0-5543-6001 หรือ อีเมล์ phusoidao07@hotmail.com


เรื่องและภาพจาก ผู้จัดการออนไลน์
เสียงประกอบ //www.palungjit.com/




Create Date : 17 ธันวาคม 2553
Last Update : 31 ธันวาคม 2553 16:03:35 น. 0 comments
Counter : 852 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

atruthoflife10
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




กลับคืนสู่ธรรมชาติ ด้วยสุขภาพที่ดีกว่า

ไตรลักษณ์
เกิดขึ้น 26 พ.ย.2553

ดับไป....???

Friends' blogs
[Add atruthoflife10's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.