พอได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก ตอน ตี 5 ครึ่งก็ต้องรีบตื่นไปอาบน้ำเลยค่ะ เรามีเวลากันไม่มากนัก พอจัดการธุระของตัวเองเสร็จ ก็ขุดน้องเพลงมาแต่งตัวด้วย พอทุกคนเสร็จกันก็รีบลงไปกินอาหารเช้า

อาหารเช้าของที่โรงแรมค่อนข้างดีพอสมควร มีเครื่องคั้นน้ำส้มให้เราคั้นกันสดๆ มีเครื่องชงกาแฟ โกโก้อัตโนมัติ ฯลฯ ที่ประทับใจที่นี่คือ เค้าค่อนข้างใส่ใจกับเด็กเล็ก พอเค้าเห็นเรามากับเด็กเล็ก เค้าก็จัดแจงหยิบของกินสำหรับเด็กเล็กโดยเฉพาะมาให้เรา เป็นแอ๊ปเปิ้ลบดแบบสำเร็จรูป แล้วก็ โยเกิร์ตสำหรับเด็ก พอเราจัดการอาหารเช้ากันเรียบร้อยก็รีบตรงไปที่สถานีรถไฟ Gare de l'Est เพราะนัดเชนไว้ที่ศูนย์ขายตั๋วเข้าชมสถานที่ต่างๆค่ะ ที่นี่เราสามารถซื้อตั๋วเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวที่เราต้องการได้ โดยที่ไม่ต้องไปรอต่อคิวให้เสียเวลา และก็ไม่เสียค่าชาร์จใดๆเลย สะดวกมากๆค่ะ เราเลยจัดการซื้อตั๋วไป Musee du Louvre, Musee d'Orsay, Versaille,และก็ Euro Disney




เมื่อซื้อเรียบร้อยก็ออกเดินทางกันทันทีค่ะ ที่แรกที่เราจะไปคือย่าน Montmartre เพื่อไปชม โบสถ์ Basilique Du Sacre Coeur

บรรยากาศในรถไฟใต้ดิน



เนื่องจากยังค่อนข้างเช้าอยู่เลยไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านมากเท่าไหร่ ซึ่งเราชอบค่ะ เพราะเคยได้ยินกิตติศัพท์มิจฉาชีพแถวนี้พอสมควร พอมาเช้าๆแบบนี้เลยไม่เจอใคร เจอแต่คนทำมาหากินสุจริตที่เริ่มตั้งแผงขายของเล็กๆ อยู่หน้าทางขึ้นโบสถ์

Basilique Du Sacre Coeur






น้องเพลงวิ่งเล่นสนุกสนาน



พ่อค้าเริ่มวางแผงขายของ


ภายในโบสถ์ สวยมากๆค่ะ เราว่าแทบจะสวยที่สุดเท่าที่เราเคยเห็นมา เสียดายที่เค้าห้ามถ่ายรูป เลยได้แต่บันทึกไว้ในความทรงจำ ตอนที่เรานั่งชมความงามอยู่ก็มีนักท่องเที่ยวบางคนแอบถ่ายบ้าง ก็มีเจ้าหน้าที่แก่ๆคอยยืนห้ามอยู่ แต่ก็ไม่ได้บังคับให้ลบรูปหรืออะไร

หลังจากนั้นก็ออกเดินทางกันต่อ โดยเดินไปยังลานที่มีศิลปินชุมนุมกันอยู่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโบสถ์เท่าไหร่ค่ะ



ที่นี่มีศิลปินที่รับวาดทั้งรูปเหมือน รูปล้อเลียนอยู่มากมาย ตอนแรกเราก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจให้เค้าวาดรูปให้ค่ะ เพราะเห็นรูปที่เค้าโชว์อยู่สวยมาก ต่อรองราคากันซักพัก ก็นั่งให้เค้าวาดรูปให้อยู่พักใหญ่ค่ะ



คุณแฟนกับน้องเพลงระหว่างรอวาดรูป


ร้านขายภาพวาด


จากนั้นก็เดินลัดเลาะไปเรื่อยๆ เพื่อไปที่ Moulin Rouge ต่อค่ะ จริงๆก็ไม่ใกล้จากที่เราเดินเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ไกลเกินไปที่จะเดินค่ะ ระหว่างทางเจอเค้ากำลังจัดเทศกาลตรอเบอรี่กับเชอรี่อยู่ค่ะ โดยที่แจกให้กินกันฟรีๆเลย ใครอยากกินเท่าไหร่ก็ได้ มีเหรอที่คนรักสตรอเบอรี่อย่างเราจะพลาด กินของเค้าพอเป็นพิธี ก็ขอเค้าหยิบกลับบ้านมาเผื่อน้องเพลงอย่างล่ะถ้วย เพราะน้องเพลงหลับอยู่





จากนั้นก็เดินกันต่อ มีหลงทางกันเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็เจอค่ะ

Moulin Rouge





พอถ่ายรูปเสร็จก็ออกเดินทางกันต่อ โดยนั่ง Metro ไปที่ Opera Garnier โรงละครเก่าแก่ที่คนรู้จักกันดีในหนังเรื่อง The Phantom of the Opera



เสียดายที่วันที่ไปเค้าปิดซ่อมแซมกันอยู่ เลยได้แต่ถ่ายรูปชมด้านนอกอย่างเดียว



มองนาฬิกาได้เวลาอาหารเที่ยงกันแล้ว ก็เริ่มเดินหาที่กินกันค่ะ โดยครั้งนี้ตั้งใจจะไปกินที่ร้าน Leon de Bruxelles ร้านแนะนำในหนังสือ เมนูที่มีชื่อของที่นี่คือ หอยแมลงภู่อบ เดินหาร้านหลงกันอยู่พักใหญ่ จนสุดท้ายต้องเดินถามทางเค้ามาเรื่อยๆ ในที่สุดก็เจอค่ะ



ที่ร้านนี้เค้ามีขายอาหารเป็นเซ็ทๆด้วยค่ะ โดยในเซ็ทจะมีทั้งของคาวและของหวาน แต่ไม่รวมน้ำ



พอนั่งที่โต๊ะปุ๊บ เค้าจะเสิร์ฟขนมปังกรอบ ระหว่างรอสั่งอาหารก่อนเลยค่ะ



สรุปเราสั่งเซ็ทหอยแมลงภู่อบไวน์ขาว ของหวานเลือก Creme Brûlée ส่วนคุณแฟนสั่งเซ็ทสเต็กเนื้อ เลือกของหวานเป็นไอศครีม เพื่อที่จะได้แบ่งกินกับน้องเพลงด้วย ส่วนเชนก็สั่งหอยแมลงภู่อบเหมือนกัน



กินกันอร่อยเลยค่ะ หอยแมลงภู่อบรสชาติดีเลยทีเดียว




จากนั้นก็ลงรถไฟใต้ดินเพื่อมุ่งหน้าไป Musee d'Orsay กันค่ะ




ถึงแล้วค่ะ Musee d'Orsay


วันนี้คนไม่เยอะเท่าไหร่ค่ะ แต่ก็ต่อคิวกันยาวพอสมควร โชคดีว่าเราซื้อตั๋วมาแล้ว ก็เดินเข้าช่องสำหรับคนที่มีตั๋วแล้วได้เลยค่ะ พอไปถึงก็ต้องฝากกระเป๋ากับเสื้อกันหนาวตรงทางเข้าด้านหน้าก่อน ที่นี่ห้ามถ่ายรูปด้านใน เลยต้องเอากล้องฝากไปพร้อมกับกระเป๋า ศิลปะของที่นี่จะออกแนวร่วมสมัยค่ะ มีภาพวาดของศิลปินชื่อดังมากมาย อาทิ Van Gogh, Monet เราเดินชมกันจนถึงเวลาที่เค้าประกาศปิดเลยค่ะ (6 โมงเย็น) เท่ากับเดินชมราวๆ 3 ชั่วโมงได้ เสียดายที่ยังเดินด้านบนไม่ทั่วเท่าไหร่เลยค่ะ

จากนั้นก็ลง metro ต่อรถไฟ RER มุ่งไปสถานี Champ de Mars-Tour Eiffel เพื่อเดินไปชม หอ Eiffel ที่ที่เราอยากจะมาชมมากที่สุุดที่นึง มันเป็นความฝันสมัยเด็กๆของเราเองที่อยากจะมายืนถ่ายรูปที่นี่ เมื่อได้มาเห็นด้วยตาตัวเองแล้ว มันปลื้มใจแบบบอกไม่ถูก เหมือนเราได้ทำความฝันสำเร็จไปอีก 1 อย่าง




น่าเสียดายที่ส่วนนึงของหอ Eiffel ปิดซ่อมแซมอยู่ เลยทำให้รูปที่ได้ไม่สวยสมบูรณ์นัก ระหว่างที่ยืนชมถ่ายรูปอยู่ ก็จะมีพ่อค้าคนดำมาขายพวงกุญแจที่ระลึกหอไอเฟลเป็นระยะๆ บางคนพูดไทยได้อีกต่างหาก ตอนแรกว่าจะไม่ซื้อ แต่ก็อดซื้อไม่ได้เมื่อเห็นเค้าพยายามพูดไทยเพื่อขายของให้เรา หลังจากชมวิวซักพัก ก็เห็นน่้องเพลงยืนนิ่งอยู่ ปรากฏว่าคุณเธอยืนเบ่งอึ๊ค่ะ ยืนเบ่งอึกันกลางหอไอเฟลเลย ^_^"



แต่โชคไม่ดีที่แถวนั้นหาห้องน้ำไม่ได้ น้องเพลงเลยต้องทนใส่โป๊ะโกะเหม็นๆไปก่อน เราเลยรีบเดินกันไปที่สถานี Trocadero เพื่อถ่ายรูปสวยๆก่อนกลับไปล้างก้นที่โรงแรม





ถ่ายรูปแนวฮาๆเล็กน้อย เสียดายมืดเชียว


ยืนชมความประทับใจก่อนกลับ



จากนั้นก็ทำการร่ำลาน้าเชนค่ะ เชนมีสอบเลยต้องลากลับก่อน อุตส่าห์มาเที่ยวเป็นเพื่อน 2 วัน ช่วยสอนการดูแผนที่นั่งรถ Metro จนทำให้เราเข้าใจและสามารถไปเที่ยวกันเองต่อในวันที่เหลือได้ แถมยังอุตส่าห์ซื้อตุ๊กตากระต่ายน้อยมาฝากน้องเพลงด้วย และยังเลี้ยงอาหารเราอีก ขอบคุณในน้ำใจที่น้องมีให้มากๆค่ะ