อย่าเจ็บ อย่าไข้และให้ได้พบแต่กัลยาณมิตร
Group Blog
 
 
ธันวาคม 2548
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
7 ธันวาคม 2548
 
All Blogs
 

ทำไม ฮิตเลอร์ จึงเกลียดยิว (ตอนแรก)




ทำไม ฮิตเลอร์ จึง เกลียดยิว
ดำรง พุฒตาล



ทำไมฮิตเลอร์จึงกล้าให้ทหารนาซีฆ่าหมู่คนยิวได้ครั้งละร้อยครั้งละพันคนด้วยการรัวปืนกลใส่

มีอยู่เหตุหนึ่งที่ชาวบ้านเยอรมันเล่ากันปากต่อปากว่า

นักรักฮิตเลอร์มีแฟนสาวอยู่คนหนึ่ง แต่ถูกมหาเศรษญียิวแย่งไป ฮิตเลอร์จึงแค้นคนยิว

ยุทธการการฆ่ายิวแบบรวบรัดประหยัดเวลาก็คือ การต้อนยิวชาย-หญิง ลูกเล็กเด็กแดงกลุ่มละ 2,000 คน เข้าไปในห้องทึบแล้วรมด้วยแก๊สพิษเพียง 15 นาที ทั้งหมดก็จะตายเรียบ ซึ่งค่ายกักกันยิวที่ดังที่สุด สยองที่สุดอยู่ในประเทศโปแลนด์ ที่นาซียึดได้ชื่อค่าย เอาส์ซวิตช์ ซึ่งเพิ่งเปิดเป็นอนุสรณ์สถานไปเมื่อเร็วๆ นี้

มีการสอบประวัติครอบครัวของฮิตเลอร์ ทำให้ได้สาเหตุเพิ่มขึ้นมาอีกว่า เหตุที่เขาเกลียดยิวนั้น อาจจจะมาจากความแค้นแทนย่า เพราะย่าเขาเป็นคนรับใช้อยู่ในครอบครัวคนยิว และย่าก็ตั้งท้องขึ้นมากับเจ้านายชาวยิว แต่ไม่มีนายจ้างยิวคนไหนรับว่าเป็นพ่อของเด็กในท้อง

เมื่อย่าคลอดลูกออกมาและเป็นผู้ชาย

ผู้ชายคนนั้นคือ พ่อของฮิตเลอร์นั่นเอง



ก็แปลว่า แท้ที่จริงแล้ว ฮิตเลอร์ก็มีเลือดยิว เพราะมีปู่เป็นยิว เพียงแต่หาตัวไม่ได้ว่าใคร ยิวคนไหนคือปู่ เพราะถูกปฏิเสธและทอดทิ้ง ... ฮิตเลอร์จำฝังใจและครุ่นแค้นมาตั้งแต่เล็ก

เขาจึงเกลียดยิว

ยิวคือสัตว์ชั้นต่ำประเภทแมลงสาบหรือหนูที่สกปรกและเป็นพาหะนำโรคในทัศนะของฮิตเลอร์

คนเยอรมันเป็นชนชาติชั้นสูงเผ่าอารยัน

คนยิวเป็นคนชั้นต่ำมนุษย์ลิงในความคิดของฮิตเลอร์

ความเก็บกดและปมด้อยที่มีมาแต่เด็ก เป็นแรงขับให้เขาเกลียดชังคนยิว จึงทำให้คนยิวถูกเผาสดๆ บ้าง ยิวถูกใช้ทดลองยาแทนหนูบ้าง ซึ่งเมื่อผมไปมิวนิกเที่ยวที่แล้วมีคนบอกว่า ค่ายกักกันคัดเชาและค่ายบุคเคนวาลด์ ซึ่งอยู่ใกล็ๆ นี้แหละ ที่เขาเอายิวมาทดลองยาและถูกทรมานล้มตายจำนวนมาก



นักวิชาการไทยที่ศึกษา "พฤติกรรมทางการเมือง" คือ อาจารย์ทิพาพร พิมพ์พิสุทธิ์ และอาจารย์อนุสรณ์ ลิ่มมณี คณะรัฐศาสตร์ รามคำแหงฯ อ้างไว้ในหน้า 109 ซึ่งน่าสนใจมากว่า

"ครั้งหนึ่ง นายแพทย์ยิวได้ช่วยช๊วิตแม่และตัวฮิตเลอร์ไว้จากการป่วยไข้ ทำให้เขาเกิดความรู้สึกสำนึกในบุญคุณของแพทย์ยิวผู้นั้นอย่างล้นพ้น และต้องหาทางตอบแทนบุญคุณไปตลอดชีวิต ภาพของแพทย์ยิวจึงกลายเป็นตัวมารที่คอยรบกวนให้เขาชดใช้บุญคุณไม่รู้จบ เพื่อขจัดความกังวลใจในเรื่องนี้ ทำให้เขาหาทางออกด้วยการ สร้างปมเกลียด ขึ้นมาแทนเพื่อขจัดความผูกพันในเรื่องบุญคุณให้หมดไป"
(จากหนังสือผู้ป่วยปกครองโลก เขียนโดยนายแพทย์บุตร ประดิษฐ์วณิช)

นี่ก็อาจเป็นอีกเหตุหนึ่งที่ลึกๆ ลงไปมากว่า ฮิตเลอร์นั้นเกลียดยิว



เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2548 เป็นวันครบรอบ 60 ปีของการปลดปล่อย "เอาส์ชวิตซ์" ของกองทัพพันธมิตรช่วยเชลยสงครามที่ยังเหลืออยุ่จากการรอคิวประหารของฮิตเลอร์ออกมาได้ และผู้ที่รอดชีวิตในครั้งนั้น ซึ่งปัจจบันอายุอยู่ในวัยเลข 8 นำหน้า พร้อมด้วยญาติมิตรผู้ถูกสังหารหมู่ ได้กลับไปที่ "เอาส์ชวิตซ์" อีกครั้งหนึ่ง เพื่อประกอบพิธีไว้อาลัยร่วมกัน

ทุกคนไปรวมกันอยู่ด้านนอกของค่ายกักกันหรือแดนมรณะ ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ มีหิมะปกคลุมไปทั่วพื้นที่ที่เคยเป็นเส้นทางจากประตูค่ายไปสู่ห้องแก๊ส รั้วลวดหนาม หอสังเกตการณ์ของยาม รวมไปถึงอาคารที่สร้างด้วยอิฐสีแดง ปล่องไฟ ห้องแก๊ส สถานที่เผาศพ ยังคงได้รับการรักษาไว้ในสภาพเดิม เพื่อเป็นอนุสรณ์เตือนใจคนรุ่นหลัง ให้ได้รู้ถึงพิษสงของสงครามและผลของความเกลียดชังกันระหว่างเผ่าพันธุ์ ซึ่งไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นอีก โดยเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงว่า คนเยอรมันนาซีที่มีฮิตเลอร์เป็นผู้นำ คือฆาตกรที่ลงมือสังหารยิว



บรรยากาศที่ซึมเศร้าและเงียบสงบ ทำให้ผู้สูงอายุหลายคนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ เมื่อนึกถึงความทารุณโหดร้าย ความทุกข์ทรมานที่เคยได้รับจากสถานที่นี้ รวมทั้งรำลึกถึงเพื่อนๆ ที่จากไปในครั้งนั้น

ประธานาธิบดียิว โมเช่ คัตซาฟ ของอิสราเอล เรียกค่ายนี้ว่า "เมืองหลวงของอาณาจักรมรณะ" และบอกว่า

"ถ้าเงี่ยหูฟังให้ดี จะรู้สึกเหมือนมีเสียงร้องอย่างหวาดกลวและเจ็บปวดทรมารแว่วมาให้ได้ยินอยู่ตลอดเวลา"

ผู้หญิงอีกคนที่รอดชีวิตและกลับมาร่วมในพิธีไว้อาลัยด้วยคือ ซีโมน เวล อดีตประธานรัฐสภายุโรป เธอถูกนำตัวไปขังไว้ใน "เอาส์ชวิตซ์" ตอนอายุ 16 ปี ซีโมนพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองและเด็กคนอื่นๆ ที่โชคร้ายและไม่สามารถรอดกลับออกมาได้เหมือนเธอ
และหนึ่งในจำนวนนั้นเป็นน้องสาวของซีโมนเอง

"ถ้าไม่ถูกฆ่า... เด็กๆ เหล่านั้นอาจกลายเป็นนักปรัชญา เป็นศิลปิน เป็นนักวิทยาศาสตร์เอกของโลกก็ได้ หรือแม้จะเป็นแค่ช่างฝีมือหรือแม่บ้านธรรมดาๆ ก็ตามที แต่ทุกคนก็มีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตอยู่... ฉันรู้แต่ว่าเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ทีไรก็อดร้องไห้ไม่ได้สักที"



ผู้แทนของสหราชอาณาจักรที่มาร่วมในวันที่ระลึกครบรอบ 60 ปี "เอาส์ชวิตซ์" คือเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด โอรสองค์เล็กของพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 และมีพระราชวงศ์ชั้นผุ้ใหญ่จากยุโรปอีกหลายประเทศเสด็จมาร่วมงานด้วย เช่น กษัตริย์อัลเบิร์ต แห่งเบลเยี่ยม พระราชินีเบียทริกซ์ แห่งเนเธอร์แบนด์ เจ้าชายจัวคิม จากเดนมาร์ก เจ้าชายฮารกอนจากนอร์เวย์และเจ้าหญิงวิคตอเรีย จากสวีเดน เป็นต้น

ส่วนผู้นำระดับสูงจากประเทศต่างๆ ก็มีอาทิ ประธานาธิบดีฮอร์สท์ โคห์เลอร์ จากเยอรมัน ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินจากรัสเซีย ประธานาธิบดีฌาร์ค ชีรักจากประเทศฝรั่งเศส ประธานาธิบดียูสเชนโกจากยูเครน รวมทั้ง ดิค เชนีย์ รองประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา

ในขณะเดียวกันที่กรุงลอนดอน สมเด็จพระนางเจ้าเอลิซาเบธที่ 2 ได้เสด็จไปร่วมพิธีไว้อาลัยร่วมกับผู้รอดชีวิตจากการสังหารหมู่ครั้งกระโน้นและยังมีชีวตอยู่ด้วย พิธีจัดขึ้นเป็นพิเศษที่ เวสท์มินสเตอร์ ฮอลล์ ทรงประทับรับฟังอย่างสนพระทัย



ขณะที่ ฮันนาห์ พิค ผู้รอดชีวิตคนหนึ่งเล่าถึงการที่เธอกับเพื่อนคือ แอนน์ แฟรงค์ เคยเก็บสะสมภาพถ่ายสมัยทรงพระเยาว์เป็น "เจ้าหญิงเอลิซาเบธ" ไว้เป็นจำนวนมาก ก่อนที่จะถูกจับตัวส่งเข้าค่ายนรก

ฮันนาห์บอกว่าได้พบกับแอนน์ แฟรงค์เป็นครั้งสุดท้ายที่ค่ายกักกันเบลสัน ซึ่งชีวิตของเธอได้จบลงที่นั่น

นายโทนี่ แบลร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้เรียกร้องให้ทุกคนกำจัดความรู้สึกอคติต่อกัน แบบที่ฮิตเลอร์มีต่อชาวยิวให้หมดไปจากโลกนี้

"วันฮอละคอสท์ ไม่ได้เริ่มต้นที่ค่ายกักกัน แต่มันเริ่มมาตั้งแต่การขว้างปาก้อนหินใส่หน้าต่างร้านค้าของชาวยิว การเผาทำลายโบสถ์ยิว การตะโกน ประณามเหยียดหยามยิว ของพวกแบ่งแยกเชื้อชาติเผ่าพันธ์ไปตามถนนโน่นแล้ว..." เขาบอก

สำหรับผู้รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่มาชุมนุมกันริมรั้วค่ายมรณะ "เอาส์ชวิตซ์" ในวันนั้น ต่างรู้ดีว่าการสังหารหมู่เริ่มต้นเมื่อใด แบบไหนและอย่างไร แต่ผลก็คือ ชีวิตของผู้คนเป็นจำนวนมากได้สิ้นสุดไปเพราะมัน

พิธีรำลึกครบรอบ 60 ปีของการปลดปล่อย "เอาส์ชวิตซ์" อาจทำให้จิตใจของผุ้คนบางกลุ่ม ที่กำลังหน้าก้มตาเข่นฆ่ากันแบบเป็นรายวัน ตามภูมิภาคต่างๆ ของโลกในปัจจุบัน ได้สำนึกถึงผลแห่งการกระทำของตนบ้างก็ได้ว่า ได้ก่อความสูญเสียต่อชีวิตของคนบริสุทธิ์ไปแล้วมากน้อยแค่ไหน และทิ้งความเศร้าโศก ความคับแค้นใจไว้กับญาติมิตรที่อยู่ข้างหลังอย่างไรบ้าง

ปัจจุบันนี้ คนยิวเป็นชนชาติทีทรงอิทธิพล ทั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองของโลก...เศรษฐกิจของโลกที่มีศูนย์กลางอยู่มหานครนิวยอร์กก็อยู่ในกำมือของคนยิวและยิวอยู่เบื้องหลังการเลือกตั้งและพรรคการเมืองของสหรัญอเมริกามาตลอดจนถึงทุกวันนี้

คนในครอบครัว "คู่สร้างคู่สม" คนหนึ่งคือ คุณปัทมา ธนบัตร (เสียชีวิตแล้ว) ซึ่งอาศัยอยู่ในนิวยอร์กเกือบ 10 ปี ก็เป็นลูกจ้างของธุรกิจขายเพชรของยิว ไม่ว่าเธอจะย้ายงานกี่บริษัท เธอก็จะเจอนายจ้างเป็นยิวทุกแห่งจริงๆ

ถ้าวันนี้ฮิตเลอร์ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาใหม่ เขาก็จะได้รู้ว่า

ความพยายามล้มล้างคนยิวให้หมดโลกของเขานั้นล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง












 

Create Date : 07 ธันวาคม 2548
1 comments
Last Update : 23 ธันวาคม 2548 0:00:53 น.
Counter : 16178 Pageviews.

 



Sarah Connor

Title: Love is Color-Blind
Album: Key To My Soul

It don't matter if you're black

white or yellow, if you're brown or red

let's get down to that

love is color-blind
Verse 1:
I remember when

I was a child and couldn't understand

people having fun

discriminating all the different ones

mama just used to say

when you grow up you'll maybe find a way

to make these people see

that everything I do comes back to me
Bridge:
You gotta live your live

we're all the same, no one's to blame

they gotta live their lives

just play the game and let love reign
Chorous:
It don't matter if you're black

white or yellow, if your brown or red

let's get down to that

love is color-blind

you're my brother, you're my friend

all that matters in the very end

is to understand

love is color-blind
TQ:
I remeber as a young boy
I watched my neighbourhood go up in flames
I saw the whole thang thru tears of pain
and a situation's rackin' my brain
I wish I could fly away and never come back again
we need some love y'all
we need some real deal help from above y'all
I mean the kids watchin'
and I just can't see it stoppin', I don't understand
I mean we all bleed the same blood, man!
Bridge:
You gotta live your life

better than our fathers did

let's make some love, baby, have some kids

they gotta live their lives

and I don't care what color they are, or u are, or we are

it's all love, baby!
Chorous:
It don't matter if you're black
white or yellow, if your brown or red
let's get down to that
love is color-blind

you're my brother, you're my friend
all that matters in the very end
is to understand
love is color-blind

C-Part:
You have been my mother
you could have been my brother
what if you were my sister
if you were my father?
you could have been my fella
you could habe been my teacher
what if you were my friend?
would be so nice to meet ya

C-Part:
You have been my mother
you could have been my brother
what if you were my sister
if you were my father?
you could have been my fella
you could habe been my teacher
what if you were my friend?
would be so nice to meet ya

Verse 2:
take it out to the world
tell every boy and every little girl
be proud of yourself
cause you're as good as anybody else

put away your prejudice
open your mind, don't need a stick to this
try to make this earth
a better place without a racial curse


TQ:
Yeah, it's time for some changes














Chorous:
It don't matter if you're black

white or yellow, if your brown or red

let's get down to that

love is color-blind

you're my brother, you're my friend

all that matters in the very end

is to understand

love is color-blind
C-Part:
You have been my mother
you could have been my brother
what if you were my sister
if you were my father?
you could have been my fella
you could habe been my teacher
what if you were my friend?
would be so nice to meet ya





LOVE IS COLOR-BLIND







 

โดย: hidden file 17 ธันวาคม 2548 2:40:33 น.  


hidden file
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





หยดน้ำเล็กๆ ทำให้เธอมีชีวิตอยู่ได้
คนไม่ยอมขายวิญญาณ ใครสักคนบอกฉัน
ชีวิต...งานศิลป์ที่มีลมหายใจ
ดำรงชีพอย่างขาดศิลปะ
คงไม่ต่างจากโคกระบือที่เขาสนตะพาย
เส้นทางที่ฉันขีดฉันวาดมันเองกับมือ
มันก็แค่ทางเล็กๆ ดูยุ่งเหยิง
ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากจนเกินไป
ที่ยากก็ตรงที่ทำให้ใครๆ เขาเข้าใจไม่ได้ แค่นั้นแหละ



มีความฝันตราบที่ยังมีลมหายใจ
คนที่ไม่มีความฝันก็เหมือนตายไปแล้ว
คนตายแล้วย่อมไม่หลับฝัน
คนไม่มีความฝัน - คนตาย



เป็นเรื่องแปลกที่ว่า
เมื่อเรารักใครแล้วหากเขาทำผิดพลาด
เรามักโกรธเขามากกว่าคนอื่น
เพราะเรามีความคาดหวังในคนที่เรารักไว้สูง
พอไม่ได้ดั่งใจ
ก็โกรธหรือน้อยใจเขามากกว่าคนอื่น
ดังนั้น การให้อภัย
จึงจำเป็นอย่างยิ่งในการครองชีวิตคู่



Destiny can be change

Time sometimes flows backwards

Snow can fall in the Spring

and even a frozen heart can come back to life...




ปฏิทินพระจันทร์

Friends' blogs
[Add hidden file's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.