sansook
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 40 คน [?]




คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...
โค้ดนี้เป็นภาพพื้นหลังนำไปวางที่ช่อง Script Area ค่ะ https://youtu.be/K2vg5yDgVX4
Group Blog
 
 
เมษายน 2562
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
22 เมษายน 2562
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add sansook's blog to your web]
Links
 

 
บทที่ 2

เหนี่ยวหัวใจสุดไกปืน นิยายลำดับที่1 ซีรีย์ชุด ภารกิจรัก
อักษรา
www.mebmarket.com
ชีวิตของเขาได้อุทิศไว้เพื่อแผ่นดิน แต่หัวใจของเขาได้วางลงตรงแทบเท้าเธอ“นภัสชลยอดรัก...ครั้งหนึ่งผมเคยมอบดอกกล้วยไม้ให้กับคุณ แต่ไม่เคยเอ่ยความในใจ วันนี้ผมจึงไม่อาจเก็บความปลื้มเปรมที่คุณกรุณาตอบรักผู้ชายต่ำต้อยคนนี้ไว้กับตัวเองได้อีกต่อไป...เวลานี้จึงอยากประกาศให้ทุกคนรู้ว่าหัวใจของผมได้ถูกวางลงบนแทบเท้าของคุณแล้ว...และพร้อมที่จะรองรับกับทุกย่างก้าวของคุณและเดินเคียงคู่ไปตลอดกาล...ผมรักคุณ...”





บทที่ 
2
          ชยินใช้เวลาถามตอบตัวเองอยู่หลายวัน  ในที่สุดก็คิดได้ว่าการที่เขานั่งหวาดหวั่นกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึงนั้น  นอกจากจะไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์เขายังเสียเวลาเปล่า  เมื่อเห็นว่าควรทำอะไรให้ดีกว่าเดิม  ชายหนุ่มจึงตัดสินใจลุกขึ้นเดินหน้าทวงหัวใจ  โดยไม่คิดกังวลอีกต่อไปว่าเธอจะตอบรับหรือปฏิเสธ

ซาเยร์มองเจ้านายในชุดลำลองที่ดูดีตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแล้วอมยิ้มน้อยๆ  ...หล่อบาดใจขนาดนี้ถ้าแพทย์หญิงวริสาจะไม่ใจเต้นก็ให้มันรู้ไป  คนที่เชียร์ให้ทั้งคู่ลงเอยกันสุดหัวใจบอกตัวเองอย่างชื่นชม

“ผู้กองจะให้ผมเข้าไปด้วยไหมครับ”  ถามขณะเหลือบมองดอกไม้ช่อใหญ่ในมือของผู้เป็นนาย

“ไม่ต้อง  แค่ขับรถไปส่งฉันก็พอ”  ชายหนุ่มปฏิเสธ

“แน่ใจนะครับ”  ถามย้ำอย่างไม่เชื่อมั่น

“ทำไมแกต้องทำเสียงเหมือนไม่เชื่อมั่นในตัวฉัน” 

“ผมก็แค่เป็นห่วง  กลัวผู้กองจะป๊อด”  คำตอบนั้นทำเอาแข้งขาของอดีตผู้กองหน้าดุกระตุก  แต่เพราะรู้ทางตีนกันมานมนานซาเยร์จึงกระโดดหลบทันอย่างฉิวเฉียด

“ไวเป็นลิงป่าเลยนะไอ้ซาเยร์”  คนถีบพลาดชี้มือคาดโทษ

“ตั้งแต่เลิกเป็นทหารฝีตีนผู้กองตกไปเยอะเหมือนกันนะครับ”  ซาเยร์พูดจบก็เผ่นแนบขึ้นไปนั่งประจำที่พลขับ  เพราะรู้เท่าทันว่า  หากยังชักช้าคนถูกปรามาสคงจัดฝ่าตีนลงบนร่างกายเป็นแน่ 

“ฉันเริ่มรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่อนุญาตให้แกไปไหนมาไหนด้วย  เดี๋ยวนี้ความคิดความอ่านชักล้ำหน้าใหญ่แล้ว”  “คนเรามันก็ต้องมีการพัฒนาบ้างสิครับ  ผู้กองจะให้ผมจมอยู่กับวิถีเดิมๆ ได้อย่างไร”

“ถ้าแกไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตในวิถีเดิมๆ ก็เลิกพล่าม...ออกรถได้แล้ว”  ชายหนุ่มออกคำสั่งด้วยใบหน้าดุดันจนคนด้านข้างอดยิ้มให้กับประกายจริงจังในสีหน้านั้นไม่ได้ 

“เอ่อ...ผู้กองจะออกไปรบหรือครับ”  คำถามกวนอารมณ์พร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มขึ้น  ทำให้คนถูกถามหันไปมองคนสนิทแล้วนิ่วหน้าด้วยความงุนงงกับคำถาม

“ฉันแค่กำลังไปตามหาความรัก  อะไรทำให้แกคิดว่าฉันกำลังออกรบเรอะ”

“ก็สีหน้าผู้กองตอนนี้มันดุดันเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นสุดๆ นะสิครับ  เห็นแล้วบอกตรงๆ ว่ามันทำให้ผมอดนึกถึงวันที่ได้ออกไปลุยกับผู้กองอยู่ในสนามรบ”

“หน้าฉันมันบ่งบอกขนาดนั้นเลยหรือ”  ถามพลางลูบหน้าตัวเอง

“บ่งบอกชนิดเหมือนกำลังตะโกนอยู่แนวหน้าเลยทีเดียว  ผมว่าผู้กองลองทำหน้าตาแบบผ่อนคลายสบายอารมณ์ดีไหมครับ”

“หน้าตาฉันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิด  และนี่มันก็เป็นความผ่อนคลายในแบบของฉัน”

“แน่ใจเหรอครับ...”

“ไอ้ซาเยร์...แกจะมายุ่งอะไรกับหน้าฉันหนักหนา  มีหน้าที่ขับรถก็ขับไป”  พอถูกกวนอารมณ์หนักเข้าชยินจึงตัดบท

“ผมเปล่ายุ่งนะครับ  แต่ที่จำเป็นต้องพูดก็เพราะผมเกรงว่าถ้าผู้กองทำหน้าดุดันแบบนี้คุณหมอคนสวยจะตกใจ  ก็เท่านั้น”

“ก็หน้าฉันมันเป็นแบบนี้แกจะให้ทำยังไงวะ”   ถามอย่างเหลืออด

“ยิ้มไงครับ...ผู้กองต้องยิ้ม  แบบนี้...” ซาเยร์สาธิตวิธียิ้มพิมพ์ใจให้เจ้านายดู

“แกจะบ้าเรอะ...อยู่ๆ จะให้ฉันยิ้มโดยไม่มีสาเหตุใครเห็นคงคิดว่าบ้า”  ชายหนุ่มตะคอกอย่างไม่สบอารมณ์กับคำแนะนำนั้น  “หุบปากไปเลย...เลิกยุ่งวุ่นวายกับหน้าฉันและทำหน้าที่ขับรถอย่าเดียวได้ไหมฉันชักรำคาญแล้ว” 

“ใจคอผู้กองจะไปพบคุณหมอด้วยใบหน้าถมึงทึงแบบนี้จริงๆ เหรอครับ”

“ไอ้ซาเยร์ฉันชักจะหมดความอดทนกับแกแล้วนะ  ถ้าแกยังเสือกยุ่งกับหน้าฉันวันนี้แกได้กลับเข้าป่าแน่  ขับรถไป”

“แต่...”  ซาเยร์ที่กำลังอ้าปากจะแย้งรีบหุบฉับ  เมื่อถูกสกัดด้วยน้ำเสียงดุดันเอาจริงของเจ้านายจุดเดือดต่ำ

“ยังอีก!...” 

เมื่อเห็นว่าชยินไม่ได้สนใจทำตามคำแนะนำ  คนหวังดีจึงยอมสงบปากสงบคำและขับรถไปตามเส้นทาง  โดยไม่พูดอะไรนอกจากอมยิ้มน้อยๆ แล้วนึกถึงแพทย์หญิงวริสา  ว่าเธอจะทำหน้าอย่างไร  หากเจ้านายของเขายื่นดอกไม้ให้เธอในขณะการแสดงออกทางสีหน้าเย็นชาเป็นผีดิบ
 
ราวสามสิบนาทีรถที่ขับเคลื่อนด้วยความเร็วอย่างสม่ำเสมอก็ตีไฟ  และเลี้ยวเข้าไปในโรงพยาบาล  เมื่อเข้าเขตโรงพยาบาลชยินกวาดตามองไปรอบ  ก่อนจะหลุบเปลือกตาลงเรียกสมาธิแล้วสูดลมหายใจเข้าปอด  แม้รถจะหยุดสนิทอยู่ในลานจอดรถ  แต่เขาก็ยังนั่งกอดดอกไม้อยู่ในรถอีกชั่วครู่

“โชคดีนะครับผู้กอง”

“ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าในชีวิตจะต้องมาทำอะไรแบบนี้”  ก้มมองดอกไม้ช่อใหญ่ในมือสีหน้าลังเล

“คนเราถ้าลองตกลงไปในหุบเหวของความรัก  มันยังมีสิ่งมหัศจรรย์ให้ทำอีกเยอะครับผู้กอง”

“ทำเป็นรู้ดี  ทำอย่างกับว่าในชีวิตผ่านความรักมาอย่างโชกโชนอย่างนั้นแหละ”

“ถึงผมจะยังไม่มีครอบครัวเป็นตัวเป็นตน  แต่หัวใจของผมก็ไม่ค่อยว่างนะครับผู้กอง”  ซาเยร์ยืดอกอย่างอวดตัว

“หาเมียให้ได้เป็นตัวเป็นตนก่อนเถอะแล้วค่อยอวด  ฉันไปละ” 

“ผู้กองกล้าพนันกับผมไหมว่าใครจะมีเมียก่อนกัน”  พอถูกดักคอคนที่คิดว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่าจึงขอวางเดิมพัน

“เอาสิ...ฉันรับเดิมพัน” 

“ถ้าชนะผมไม่ขออะไรมากหรอกครับ  เอาแค่เงินขวัญถุงสักสามสี่ล้านก็พอ” 

“ถ้าแกชนะฉันจะแถมบ้านพักตากอากาศพร้อมรถอีกคันก็ยังไหว”  ชยินวางสิ่งของเดิมพันอย่างใจป้ำ

“ดูเหมือนผู้กองมั่นอกมั่นใจเหลือเกินนะครับว่าจะไม่กินแห้ว”

“แกคอยดูก็แล้วกัน”  พูดจบก็เปิดประตูแล้วก้าวลงจากรถ 

ซาเยร์มองตามร่างสูงใหญ่เดินประคองช่อดอกไม้เข้าไปในตัวอาคารแล้วกระตุกยิ้ม  ด้วยเคยจีบหญิงมาหลายสนามจึงทำให้ชายหนุ่มรู้ดีว่า  แค่ดอกไม้เพียงช่อเดียวมันไม่มีทางทำให้เส้นทางความรักโรยด้วยกลีบกุหลาบแน่...

โธ่เอ๋ย...ผู้กองผู้น่าสงสาร  ริจะจีบผู้หญิงแต่ไม่รู้จักทำการบ้าน  งานนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า  มือที่หอบช่อดอกไม้อย่างมั่นอกมั่นใจนั่น  จะต้องเปลี่ยนเป็นแบกเข่งแห้วกลับมาอย่างไม่ต้องสงสัย...
********
 
ร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์เรียบหรูผิดกับคนในพื้นที่กำลังเดินเข้าไปในโรงพยาบาลด้วยจังหวะมั่นคง  กลายเป็นเป้าสายตาของคนจำนวนมากที่นั่งอยู่ในบริเวณนั้น  สายตามากกว่าสามสิบคู่มองชายหนุ่มรูปงามหอบดอกไม้ช่อใหญ่  เดินไปหยุดอยู่หน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์   อย่างสนใจว่าเป็นญาติของคนไข้คนไหน 

แม้รู้สึกประหม่ากับสายตาอยากรู้อยากเห็นของเหล่าผู้คนที่มารอรับการรักษาที่พากันจ้องเอาๆ ราวกับเขาเป็นตัวประหลาด  แต่ชายหนุ่มก็พยายามทำเป็นไม่สนใจ   นอกจากแจ้งเจ้าหน้าที่ว่าเขาต้องการพบแพทย์หญิงวริสา  พอแจ้งความประสงค์เจ้าหน้าที่เหลือบมองดอกไม้ช่อใหญ่แล้วอมยิ้ม...

“คุณหมอมะ...”  พูดยังไม่ทันจบชายหนุ่มก็ตะโกนขึ้น

“หมอ!  หมอครับ”  ชยินที่จดจ่อกับคำตอบตะโกนขึ้น  เมื่อเห็นใครคนหนึ่งกำลังเดินออกจากห้องตรวจ  “ขอบคุณนะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยคำขอบคุณทั้งอีกฝ่ายยังพูดไม่ทันจบ  แล้วรีบผละไปหาหญิงสาวที่ยืนจ้องเขาอย่างตกตะลึงในทันที

“คุณ...ชยิน!”  เจ้าของดวงตากลมโตอุทาน  ขณะจ้องชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์เรียบหรูกำลังเดินตรงดิ่งเข้ามาด้วยความประหลาดใจ

“สวัสดีครับหมอ”   ชายหนุ่มทักทายอย่างยินดี

“สวัสดีค่ะ...คุณมาเยี่ยมใครเหรอคะ”  ถามพร้อมมองไปที่ดอกไม้ช่อใหญ่ในมือของเขา

“ผมเอ่อ...มาเยี่ยมหมอ”  คำตอบนั้นทำให้หญิงสาวจ้องใบหน้าคมคายหากดุดันไม่เปลี่ยนแปลงแล้วนิ่วหน้าด้วยความประหลาดใจ

“มาเยี่ยมหมอ...”  ถามย้ำพลางมองดอกไม้ช่องามอย่างไม่สบายใจ  เพราะเกรงว่าหมอที่เขาต้องการมาเยี่ยมจะเป็นตนเอง  ขณะรู้สึกอึดอัดกับการปรากฏตัวของบุคคลที่คาดไม่ถึง  ด้านหน้าอาคารนายทหารหน้าเข้มก็กำลังเดินหน้าตึงตรงดิ่งเข้ามา 

ภูริชมองภาพชายหนุ่มนิรนามกำลังยืนถือช่อดอกไม้พูดคุยกับภรรยาของเขาราวกับรู้จักกันมาก่อน  อย่างไม่สบอารมณ์นัก  เพราะจากภาพที่เห็นมันทำให้เข้าใจว่าเวลานี้  กำลังมีไอ้หนุ่มชะตาขาดคิดจะมาเลื่อยใบทะเบียนสมรสของเขา  แม้ไม่พอใจแต่เขาก็มีวุฒิภาวะพอที่จะไม่แสดงความเกรี้ยวกราดจนสร้างความลำบากใจให้กับเธอ

“คุณมีธุระอะไรกับภรรยาของผมไม่ทราบ”  คำถามห้วนสั้นและไม่เป็นมิตรที่ดังขึ้นทำให้  ชยินหันขวับไปทางต้นเสียงทันที

“มองเทร์!  ไม่ใช่สิผู้กองภูริช...เอ่อผู้พัน...”  ชยินทักทายอดีตคู่ปรับด้วยสรรพนามที่ยังไม่คุ้นนัก

“เรียกผมภูริชก็ได้” 

“ครับคุณภูริช”  คำเรียกขานเต็มไปด้วยความเกรงใจอยู่ในที  ทำให้อดีตสายลับจอมกวนจ้องคนตรงหน้าอย่างพินิจ

“คุณมาทำอะไรที่นี่”  ถามพลางเหลือบมองช่อดอกไม้อย่างไม่ไว้ใจ 

“เราไปคุยกันที่ห้องพักของฉันดีกว่าไหมคะ”  แพทย์หญิงนภัสชลเอ่ยขึ้น  เมื่อเห็นว่ามีสายตาของคนที่อยู่ในบริเวณมองมาบ่อยครั้ง  เมื่อคนถูกชวนพนักหน้าเธอจึงเดินนำไปก่อน  โดยมีภูริชเดินเคียงคู่อยู่ไม่ห่าง

  ระหว่างเดินไปยังห้องพักของแพทย์หญิงนภัสชล  ภาพภูริชที่แสดงออกถึงความรักและเอาใจใส่ต่อภรรยา  กำลังทำให้คนที่ทำหัวใจหล่นหายมาหลายปี  นึกอิจฉากับความรักที่งอกงามอยู่ในทุกย่างก้าวของพวกเขา  จนอดตั้งคำถามกับตัวเองไม้ได้ว่า  ตลอดหลายปีมานี้เขามัวทำอะไรอยู่...
...ชยินเอ๋ย...แกมันหน้าโง่จริงๆ...เมื่อตอบคำถามนั้นไม่ได้  เขาจึงก่นด่าตัวเองที่โง่เขลาอยู่กับความคิดอันคับแคบจนปล่อยให้เวลาล่วงเลยมานาน...

พอเข้าเขตส่วนตัว  ภูริชเลื่อนเก้าอี้ให้กับอดีตคู่ปรับตามมารยาท  แล้วเดินไปนั่งเก้ากี้ตัวที่ว่าง  พอชยินนั่งลงเขาจึงมองไปยังดอกไม้ช่อใหญ่ที่อีกฝ่ายหอบอยู่ในวงแขนอย่างทะนุถนอม  ราวกับมันเป็นสิ่งของล้ำค่าที่นำมากำนัลให้กับคนสำคัญ

“คุณหอบดอกไม้มาเยี่ยมใครเรอะ”  นายทหารขี้หวงถามออกไปอย่างไม่อ้อมค้อม

“ผมมาเยี่ยมหมอ...”

“ที่โรงพยาบาลมีหมอป่วยด้วยเหรอครับ”  เขาหันไปถามภรรยา

“ไม่นี่คะ”

“ผู้กองอย่าบอกนะว่าคุณหอบดอกไม้ช่อนั้นมาเยี่ยมเมียผม”  คำถามนั้นทำให้ชยินก้มมองช่อดอกไม้  แล้วเงยขึ้นสบตากับคนถาม

“ถ้าผมจะหอบดอกไม้มาเยี่ยมเธอคุณมีปัญหาอะไรงั้นหรือ”

“มีสิ...ผมไม่ชอบให้ผู้ชายหน้าไหนซื้อดอกไม้ให้เมีย  เพราะนั่นมันเป็นหน้าที่ของผม ”  ภูริชตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง

“ใจเย็นๆ คุณภูริช”  พอเห็นสีหน้าจริงจังของนายทหารหน้าเข้ม  ชยินจึงรีบกางมือขึ้น

“ถ้าอยากให้ผมกินน้ำแข็งแทนน้ำเดือดคุณก็รีบบอกมาซะ  ว่าไอ้ดอกไม้นั่นตั้งใจเอามาให้ใคร” 

“ผมมาหาหมอลี”  เพราะไม่อยากยั่วยุอารมณ์ของอีกฝ่าย  ชยินจึงรีบบอกจุดประสงค์ของเขา

“หมอลี!”  สองสามีภรรยาทวนชื่อบุคคลที่ชายหนุ่มต้องการพบขึ้นพร้อมกัน

“ใช่...ผมตั้งใจมาหาเธอ” 

“หมายความว่ายังไงคะ”  นภัสชลถามขณะหันไปทางสามี

“ผมรักหมอลี” 

“อะไรนะ!”  ทั้งสองอุทานขึ้นพร้อมกัน

“ทำไมพวกคุณต้องตกใจด้วย” 

“คุณกำลังบอกว่ารักเพื่อนถ้าไม่ให้ฉันตกใจ   แล้วจะให้ฉันทำยังไง”  นภัสชลถามกลับทั้งยังไม่หายจากอาการตกใจ

“คุณก็ดีใจสิครับ”  คนที่มองเห็นแต่ถนนสายความรักโรยด้วยกลีบกุหลาบตอบสีหน้าจริงจังอย่างเสมอต้นเสมอปลาย

“เดี๋ยว! ผู้กองคุณไปรักหมอลีตอนไหน”  ภูริชถามขึ้นบ้าง

“ก็ตั้งแต่ที่คุณพาหมอแยกไปนั่นแหละ  ผมกับเธอผจญความเป็นความตายร่วมกันมา  มันคงไม่แปลกใช่ไหมที่ความรักของผมมันจะเริ่มขึ้นท่ามกลางสมรภูมิรบ  เพราะจะว่าไปความรักของพวกคุณก็คงเริ่มจากจุดนั้นเหมือนกัน”

“ความรักของผมเริ่มต้นจากความลึกซึ้ง  และที่สำคัญมันเกิดมายาวนานกว่านั้น  ผู้กองผมไม่รู้ว่าความรักของคุณเริ่มจากอะไร  หากคุณคิดว่าเพียงแค่ได้ร่วมเป็นร่วมตายกับผู้หญิงคนหนึ่งแล้วทึกทักว่าคือความรัก  บอกตรงๆ ว่ามันเชื่อยาก”

“ใช่ค่ะ...ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเหตุการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายนั่นจะทำให้คุณรักหมอลี  อีกอย่างตั้งแต่วันนั้นจนกระทั้งวันนี้มันผ่านมาหลายปี  คุณบอกว่ารักหมอลีแต่ไม่เคยโผล่มาให้เห็น...หรือว่าความจำเสื่อมเลยเพิ่งนึกได้คะ”  นภัสชลมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่เชื่อถือ

“หมอพูดถูกคุณบอกว่ารักเธอแต่ตลอดหลายปีมานี้ไม่เคยแสดงตัว  หรือทำอะไรที่แสดงออกถึงความรักที่มีต่อเธอ   แล้วอยู่ๆ วันนี้ก็โผล่มาบอกรักพร้อมกับดอกไม้ช่อนี้เนี่ยนะ...ดูหนังโรแมนติกมากไปหรือเปล่าสหาย”  และภูริชก็มีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกับภรรยา

“การที่ผมไม่เคยแสดงตัวนั่นเพราะผมยังไม่พร้อม  คุณก็น่าจะรู้ว่าสถานการณ์ในตอนนั้นมันไม่เอื้ออำนวย  และอีกอย่างเวลานั้นผมบาดเจ็บสาหัส  หลังจากคุณพ่อยอมวางมือจากอำนาจ  รัฐบาลได้เข้ามาบริหารจัดการอะไรหลายๆ อย่าง  รวมถึงการใช้ประโยชน์จากเหมืองแร่ทองคำ  และเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจหลังจากรักษาตัวระยะหนึ่งผมกับเตโชจึงถูกส่งไปฝรั่งเศส  แม้การไปของพวกเราจะไม่ใช่ในฐานะผู้ลี้ภัย  แต่มันก็เป็นการไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในผืนแผ่นดินที่เราไม่คุ้นเคย”  ชยินเล่าไปตามความเป็นจริง

“ผมพอทราบเกี่ยวกับการเปลี่ยนถ่ายอำนาจนั้น  และผมก็ดีใจที่สถานการณ์ในผืนแผ่นดินของคุณเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น” 

“ผมก็หวังว่ามันจะดีขึ้น  ตลอดหลายปีมานี้ผมพยายามสร้างรากฐานให้กับตัวเองและผู้ใต้ปกครอง  พวกเราละทิ้งถนนสายอุดมการณ์และวางอาวุธที่ใช้ห้ำหั่นกับคนชาติเดียวกันอย่างไร้ทิศทาง  แล้วมุ่งเข้าสู่ถนนสายการค้าเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับอนาคตที่กำลังรออยู่  พวกเราต้องทำงานกันอย่างหนัก  เวลาทุกวินาทีมันมีความสำคัญกับทุกชีวิตที่ผมต้องรับผิดชอบ  แม้หมอจะมีความสำคัญแต่ผมก็ไม่อาจละทิ้งความรับผิดชอบเพื่อไปไขว่คว้าความสุขแห่งตน”  คำบอกเล่านั้นทำให้คนที่ให้ความสำคัญกับภาระหน้าที่ในความรับผิดชอบเข้าใจได้ไม่ยาก

ด้วยเป็นบุคคลหนึ่งที่ได้ฝังจิตวิญญาณไว้ในแผ่นดิน  ภูริชจึงมองอดีตคู่ปรับซึ่งเขารู้ซึ้งเป็นอย่างดีว่า  ในหัวใจอันเข้มแข็งนั้นรักพวกพ้องพี่น้อง  และแผ่นดินมากแค่ไหนด้วยความนับถือ... ชยินอย่างไรก็ยังเป็นชยิน...

“เพื่อพวกพ้องและแผ่นดิน  ผมรู้ว่าคุณคงแบกภาระมาอย่างหนักหนาสาหัสเลยทีเดียว”  ชายหนุ่มวางมือลงบนหัวไหล่บึกบึนแล้วตบเบาๆ อย่างเข้าใจ...

“มันใช่เรื่องง่ายเลยกับการสร้างฐานรากให้กับชีวิตที่เปลี่ยนไปจากเดิม  พวกคุณอาจไม่เชื่อว่าผมจะรักหมอลีจริงๆ แต่ถ้าคุณเคยยืนอยู่ระหว่างความเป็นกับความตาย  และในขณะที่นอนฟังลมหายใจผะแผ่วอย่างสิ้นหวัง  แล้วอยู่ๆ มีใครสักคนตะโกนบอกให้คุณรักษาลมหายใจไว้  สำหรับหมอเมื่อฟังแล้วคงจะไม่รู้สึกอะไรเพราะสองมือนั่นคงรักษาชีวิตของคนมาแล้วนับไม่ถ้วน  แต่สำหรับคนที่กำลังสิ้นหวังสิ่งที่ยื่นเข้ามาจึงความหมายยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด  คราแรกผมพยายามบอกตัวเองว่าสิ่งที่กำลังรู้สึกนั้นแท้จริงแล้วก็คือความรู้สึกผิดและการติดค้างบุญคุณ  แต่เมื่อเวลาผ่านไปผมจึงเข้าใจว่า  นั่นมันคือความรักต่างหาก...”

“กว่าจะเข้าใจคุณใช้เวลานานไปหรือเปล่าคะ”

“โธ่หมอ...คุณก็รู้ว่าเวลานั้นสถานะของผมและเธอแตกต่างกันมากมายขนาดไหน  ความต่ำต้อยนั้นทำให้ผมต้องเจียมตัว” 

“พวกคุณคิดกันได้แค่นี้เองเหรอคะ”  หญิงสาวเหมารวมไปถึงคนที่เคยเจียมตัวจนน่าหมั่นไส้เข้าไปด้วย  และคำพูดนั้นก็ทำให้ภูริชยิ้มน้อยๆ

“การที่ผมคิดแบบนั้นก็เพราะไม่อยากให้หมอลีรู้สึกน้อยหน้าใคร”

“ข้อนี้ผมเห็นด้วยกับผู้กองนะ”  ภูริชสนับสนุนคำพูดของชยินเพราะตัวเขาเองก็เคยรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน

“บางครั้งผู้หญิงก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าความรักที่มั่นคงหรอกนะคะ”

“แต่ในมุมมองของผมความรักที่มั่นคง  ก็ต้องวางอยู่บนฐานของความมั่นคงอื่นๆ ด้วย  และวันนี้ผมก็มีทุกอย่างพร้อมแล้ว”

“ฉันรู้สึกอยากจะดีใจกับหมอลีจังเลยนะคะที่กว่าคุณจะพร้อมก็ใช้เวลาหลายปีเลยทีเดียว”  น้ำเสียงของหญิงสาวกึ่งประชด

“ผมก็พยายามสร้างมันอย่างเร็วที่สุดแล้วนะหมอ”

“ก็ดีไงคะเพราะอย่างน้อยมันก็ไม่ได้ใช้เวลาสร้างเท่ากับชั่วอายุขัยของคุณ”  คำพูดสวนกลับนั้นทำให้ภูริชเหลือบไปมองผู้กองหน้าดุแล้วเลิกคิ้วขึ้น...เป็นไงผู้กองหน้าดุกับคำพูดอันคมกริบยิ่งกว่ามีดผ่าตัดของคุณเมีย  ได้ยินแล้วเจ็บชนิดกรีดลึกไปถึงตับไตไส้พุงเผลอๆ ทะลุยันไส้ติ่งเลยไหมละ...


 


Create Date : 22 เมษายน 2562
Last Update : 22 เมษายน 2562 13:45:31 น. 0 comments
Counter : 457 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.