Bloggang.com : weblog for you and your gang
sansook
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 40 คน [
?
]
โค้ดนี้เป็นภาพพื้นหลังนำไปวางที่ช่อง Script Area ค่ะ https://youtu.be/K2vg5yDgVX4
Group Blog
สรุป พ.ร.บ.
ความรู้ทั่วไป
ทักทาย
นานาสาระ
วิเคราะห์นะจ๊ะ
ดูดวงกันเถอะ
เก็บมาฝาก
สรุปภาษาไทย
ความรักแม่เอ๊ย
แนวข้อสอบ
แบบทดสอบจิตวิทยา
แนวคิด และมุมมอง
เรื่องเล่า
เคล็ดลับความสวย
เรียงร้อยเรื่องราว
กฎหมายน่ารู้
งาน งาน งาน
รักษาสุขภาพกันเถอะ
เคล็ดลับดีๆ
สรุปแนวข้อสอบหลักสูตรประถมศึกษา
เชิญชวนสู่ธรรมมะ
ฮวงจุ้ยน่ารู้
เมื่อจิตนาการบังเกิด
อสูรพ่ายรัก
แนะนำผลงาน
เรือนรัก - นางรอ
เงาแปร
บรรยากาศสละคาน
คลังข้อสอบ
ดวงไฟในมือมาร
เหลี่ยมรักทรชน
ยั่วรักพยัคฆ์ร้าย
สามนารี
นิยายชุด ภารกิจรัก เรื่องเหนี่ยวหัวใจสุดไกปืน
เกี่ยวกับบริหารงานบุคคลท้องถิ่น
เล่ห์วิวาห์มาเฟีย
ละครเหนี่ยวหัวใจสุดไกปืน
ทวงใจสุดปลายฟ้า
อีบุคสุดแซ่บ
เมษายน 2562
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
20 เมษายน 2562
บทที่ 1
All Blogs
บทที่ 5
บทที่ 4
บทที่ 3
บทที่ 2
บทที่ 1
บทนำ
Friends' blogs
sansook
Chulapinan
baby_15
ไร่ปลายตะวัน
lovers
ge-or-ge
โมกสีเงิน
tingnoy
พลังชีวิต
Mr.Terran
hangclub
nirin_18
คนผ่านทางมาเจอ
patra_vet
ซ่อนรอยยิ้ม
นิยายฝันหวาน
ป้ามด
รำเพย
นิชนันท์
วัตตรา
Insignia_Museum
Baan_Bualoy
ooseabubbleoo
literature
bigger
ใยไหมเจ้าค่ะ
super novel
นัทธ์
Webmaster - BlogGang
[Add sansook's blog to your web]
Links
BlogGang.com
บทที่ 1
เหนี่ยวหัวใจสุดไกปืน นิยายลำดับที่1 ซีรีย์ชุด ภารกิจรัก
อักษรา
www.mebmarket.com
ชีวิตของเขาได้อุทิศไว้เพื่อแผ่นดิน แต่หัวใจของเขาได้วางลงตรงแทบเท้าเธอ“นภัสชลยอดรัก...ครั้งหนึ่งผมเคยมอบดอกกล้วยไม้ให้กับคุณ แต่ไม่เคยเอ่ยความในใจ วันนี้ผมจึงไม่อาจเก็บความปลื้มเปรมที่คุณกรุณาตอบรักผู้ชายต่ำต้อยคนนี้ไว้กับตัวเองได้อีกต่อไป...เวลานี้จึงอยากประกาศให้ทุกคนรู้ว่าหัวใจของผมได้ถูกวางลงบนแทบเท้าของคุณแล้ว...และพร้อมที่จะรองรับกับทุกย่างก้าวของคุณและเดินเคียงคู่ไปตลอดกาล...ผมรักคุณ...”
บทที่ 1
สองอาทิตย์หลังจากนั้น วริสาจ้องเอกสารในแฟ้มเสนอเซ็นต์วางอยู่บนโต๊ะทำงานของผู้บังคับบัญชา ด้วยประกายตามุ่งมั่น จนคนที่นั่งอยู่อีกฟากของโต๊ะคลายมือประสานอยู่ระหว่างอกแล้วขยับยืดตัวขึ้น
“หมอแน่ใจหรือว่าต้องการไปจริงๆ” คำถามนั้นบ่งบอกชัดเจนว่าคนพูดต้องการให้หญิงสาวตัดสินใจใหม่
“ดิฉันแน่ใจค่ะท่าน” เธอตอบอย่างหนักแน่น
“ความเป็นอยู่ที่โน่นมันลำบากนะหมอ บอกตรงๆ ว่าผมไม่อยากให้คุณไปเลย” น้ำเสียงของคนพูดเต็มไปด้วยความห่วงใย
“เวลานี้ที่นั่นมีคนมากมายต้องเผชิญกับความเจ็บไข้ และพวกเขากำลังต้องการหมอนะคะ”
“แต่คนทางนี้ก็ต้องการหมอเหมือนกัน หมอลีบอกตรงๆ นะว่าผมรู้สึกภาคภูมิใจกับความเสียสละของคุณที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ แม้ผมจะสนับสนุนอุดมการณ์ของคุณมากแค่ไหน แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยหากคุณจะเดินทางไปทำหน้าที่แพทย์อาสาไกลถึงแอฟริกา แล้วรู้ไหมว่าไปที่นั่นคุณจะต้องทำงานอย่างหนักจนไม่มีแม้กระทั่งเวลาพักผ่อน ถึงมันจะเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก็ตามที”
“ดิฉันกราบขอพระคุณท่านผู้อำนวยการที่ให้ความเมตตาและห่วงใย เท่าที่ฟังจากคำบอกเล่าของเพื่อนๆ เขาบอกว่าที่นั่นมีผู้คนมากมายรอคอยโอกาสที่ยากเข้าถึง แค่ยาถุงเล็กๆ เพียงถุงเดียวก็ทำให้พวกเขาดีใจมากมาย ดิฉันจึงหวังค่ะว่าความรู้ความสามารถที่มีจะสามารถช่วยสร้างความสุขและความหวังให้กับผู้คนเหล่านั้น”
วริสาเล่าไปตามสิ่งที่เพื่อนร่วมอาชีพถ่ายทอดมา และมันกำลังทำให้สีหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย พอได้ยินกระแสเสียงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น จึงทำให้คนที่ให้ความเอ็นดูต่อผู้ใต้บังคับบัญเหมือนลูกพยักหน้าน้อยๆ อย่างเข้าใจ ดวงตาของผู้สูงวัยกว่ามองดวงหน้าผุดผาดหากไม่มีชีวิตชีวาอย่างเห็นใจ แล้วเอ่ยออกมา
“ผมขอชื่นชมหมอที่มีจิตใจเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ แต่ผมก็ไม่สบายใจอยู่ดีถ้าหมอจะต้องไปทำงานในพื้นที่ห่างไกลแบบนั้น”
“ตามข้อมูลที่ได้รับจากการเข้าอบรมเมื่อสองวันก่อน แม้ความเป็นอยู่ที่โน่นจะมีข้อจำกัดแต่ก็ปลอดภัยดีค่ะ และที่สำคัญลีไปแค่อาทิตย์เดียวเองนะคะ”
“แล้วหมอนภัสว่าอย่างไรบ้าง” คำถามนั้นดังขึ้นพร้อมกับเสียงเคาะประตู ทั้งสองยุติบทสนทนาชั่วขณะจวบจนคนอยู่อีกฟากของประตูก้าวเข้ามา
“อ้าว...หมอผมกำลังพูดถึงคุณพอดีเลย” ผู้อำนวยการเอ่ยทักผู้มาใหม่ทันที
“สวัสดีค่ะท่านผู้อำนวยการ...ลีอยู่นี่หรอกหรือ” หญิงสาวไหว้ทักทายผู้สูงวัยกว่าแล้วเลยไปทางเพื่อนสนิท
“หมอมาก็ดีแล้ว ผมกำลังต้องการกองหนุนอยู่พอดี”
คำพูดเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นนั้นทำให้ หญิงสาวที่นั่งอยู่ก่อนหันไปมองเอกสารตรงหน้าด้วยประกายตาเศร้าสร้อย ส่วนหญิงสาวอีกคนเลิกคิ้วแล้วเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ตัวที่ว่าง
“ท่านผู้อำนวยการมีอะไรกับดิฉันหรือคะ”
“ผมอยากให้คุณอ่านข้อความในเอกสารนั่น แล้วช่วยผมคิดหน่อยว่าเราควรทำอย่างไรกันดี” ประสานมือกับอกขณะพยักพเยิดไปที่แฟ้มตรงหน้า นภัสชลเอื้อมมือไปหยิบแฟ้มบนโต๊ะขึ้นอ่านอย่างว่าง่าย
“อ้อ...ดิฉันทราบเรื่องนี้แล้วค่ะท่าน” เอ่ยหลังจากอ่านข้อความในเอกสารจบ
“อ้าว...หมอรู้มาก่อนแล้วงั้นหรือ”
“ใช่ค่ะท่าน”
“แล้วหมอไม่คิดห้ามเพื่อนเหรอ” ถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“หากถามในฐานะหมอดิฉันยินดีและสนับสนุนกับความตั้งใจนั้นอย่างเต็มที่ เพราะสิ่งที่ลีตั้งใจไม่ใช่แค่การรักษาคน แต่เป็นการอุทิศตน อุทิศความรู้ความสามารถเพื่อผู้อื่นอย่างแท้จริง และถ้าถามในฐานะเพื่อนนั่นก็ยิ่งทำให้ดิฉันเห็นด้วยค่ะท่าน”
“ผมไม่เข้าใจ...คุณไม่รู้สึกเป็นห่วงหมอลีเลยหรือ”
เพราะหญิงสาวทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทกัน จึงทำให้คนมองความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นมาอย่างยาวนานนั้น จ้องหน้าคนทั้งสองอย่างไม่เข้าใจ
“เป็นห่วงสิคะ แต่นภัสก็ไม่คิดใช้ความห่วงใยเป็นอุปสรรค จนไปขัดขวางความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้านั้น” พูดพร้อมกับหันไปมองหน้าเพื่อนรักแล้วยิ้มอย่างภาคภูมิใจในสิ่งที่วริสาได้ตัดสินใจไปแล้ว
“ขอบใจมากนะภัส...ขอบใจที่เข้าใจเรา” วริสาดึงมือของเพื่อนมากุมแล้วบีบกระชับ
“ถ้าเราตัวคนเดียวรับรองเลยว่าจะไม่มีวันปล่อยลีไปคนเดียวเด็ดขาด” คำพูดพร้อมกับรอยยิ้มทำให้ดวงตาของคนฟังเบิกกว้างแทบจะทันที
“อะไรนะภัส...พูดใหม่ซิ” ถามขณะจ้องหน้าคนตอบอย่างตื่นเต้น
“ก็...”
รอยยิ้มของนภัสชลขยายกว้างขึ้นอีกเท่าตัวเมื่อเธอเห็นดวงตาของคนรอฟังเบิกกว้างจนน่าขบขัน
“อย่าบอกนะว่าเธอกำลังมี....”
วริสาหรี่ตาแล้วเดาขณะใช้มือประคองดวงหน้าหวานละมุนอย่างระงับความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ พออีกฝ่ายพยักหน้าความตื่นเต้นนั้นก็ระเบิดเป็นเสียงกรีดร้องอย่างยินดี
“โอย...ฉันดีใจจังเลยภัส แล้วนี่เจ้าของผลงานรู้หรือยัง”
“ฉันเพิ่งรู้เมื่อเช้าเลยยังไม่ได้บอก”
“หมายความว่าฉันรู้ก่อนใช่ไหม” พอนภัสชลพยักหน้าเสียงหวีดร้องของวริสาก็ดังขึ้นอีกเท่าตัว
“ดีใจโอเวอร์ไปหรือเปล่าคุณหมอลี” มองท่าทางดีใจอกดีใจจนเกินความพอดีของเพื่อนอย่างขบขัน
“ไม่ให้ดีใจได้ยังไง ข่าวใหญ่ขนาดนี้ ที่สำคัญรู้ก่อนผู้พันขี้เก๊กด้วย” วริสาเอ่ยอย่างภูมิอกภูมิใจ
“แล้วอย่าไปเกทับกันล่ะ”
“ห้ามได้เหรอ...”
หญิงสาวเลิกคิ้วอย่าเป็นต่อ แล้วหันไปยิ้มแหยๆ ให้กับผู้บังคับบัญชาที่กำลังนั่งอ้าปากค้างเพราะตกใจเสียงกับกรีดร้องของเธอ
“ขอโทษค่ะผู้อำนวยการคือดิฉันดีใจมากไปหน่อย”
“ไม่เป็นไรผมไม่ถือ ว่าแต่ข่าวดีนั่นเป็นเรื่องจริงใช่ไหมหมอ” พยักหน้าแล้วหันไปขอคำยืนยันจากนภัสชล
“ค่ะท่าน...”
“ขอแสดงความยินดีด้วยนะหมอ” น้ำเสียงของคนพูดเต็มไปด้วยความยินดี
“ขอบคุณค่ะท่าน”
“ในเมื่อผู้อำนวยการยินดีกับนภัสแล้ว ก็อย่าลืมเซ็นอนุมัติและยินดีกับโอกาสของลีด้วยนะคะ” วริสาอาศัยจังหวะทันที
“เฮ้อ! สรุปอย่างไรก็จะไปให้ได้ใช่ไหม”
“ดิฉันตั้งใจแล้วค่ะ”
“เอาเถอะแม้ผมจะเป็นห่วงและไม่เห็นด้วย แต่ในเมื่อมันเป็นความตั้งใจของหมอ ผมก็จะเซ็นอนุมัติให้ตามประสงค์” พยักหน้าอย่างจำยอมเพราะเห็นความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของหญิงสาว ในขณะผู้อำนวยการขยับปากกาลงลายมือในเอกสารอย่างไม่เต็มใจ เสียงใสๆ ขอแพทย์หญิงนภัสชลก็ดังขึ้น
“เดี๋ยวค่ะ...”
“มีอะไรหรือหมอ”
คนที่กำลังลงลายมือในเอกสารหยุดชะงักขณะมองรอยยิ้มแปลกๆ ของอีกฝ่ายอย่างฉงน
“เมื่อสักครู่คุณแม่โทร.มาค่ะ ท่านเล่าว่าขณะนี้ที่ฝรั่งเศสกำลังขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ จำนวนแพทย์และพยาบาลก็มีไม่เพียงพอกับการให้บริการ แพทย์ตามโรงพยาบาลต้องทำงานหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแพทย์ฉุกเฉิน นอกจากนั้นที่ค่ายผู้ลี้ภัยก็กำลังต้องการหมอ คุณแม่กับเพื่อนๆ ในสถานกงสุลจึงจัดทำโครงการหน่วยแพทย์อาสาขึ้น เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และวัฒนธรรม และโครงการนั้นก็ได้รับการตอบรับจากรัฐบาลทั้งสองประเทศเป็นอย่างดี ท่านก็เลยโทร.มาชวนภัสกับหมอลีค่ะ”
“ที่ฝรั่งเศสมีปัญหาขาดแคลนแพทย์ด้วยหรือ” ถามสีหน้าประหลาดใจ
“เวลานี้ปัญหาผู้ลี้ภัยกำลังไหลทะลักเข้าไปในยุโรปปัญหานี้ก็น่าจะคล้ายของเรา เพราะหมอที่มีอยู่ต่างก็มีงานจนล้นมือ จึงทำให้มีความเป็นไปได้ว่าจำนวนบุคลากรทางการแพทย์อาจไม่เพียงพอ นอกจากนั้นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเข้ารับบริการด้านการแพทย์ของที่นั่นก็สูงมาก หลังจากคุยกับคุณแม่ภัสก็เลยคิดว่าลีน่าจะเปลี่ยนจากไปแอฟริกาเป็นฝรั่งเศสผู้อำนวยการคิดว่าอย่างไรคะ”
“ถ้าเป็นฝรั่งเศสผมคงหมดห่วง เพราะคุณพ่อของหมอลีก็อยู่ที่โน่นไม่ใช่หรือ แล้วไหนจะท่านทูตกับคุณหญิงก็อยู่ที่นั่น ไปทำงานกับคนใกล้ชิดมันย่อมดีกว่าไปอยู่ในที่ที่เราไม่คุ้นเคยกับใครเลย”
“ถ้าผู้อำนวยการไม่ขัดข้องคุณแม่บอกว่าจะรีบส่งเอกสารมา ส่วนรายละเอียดและการดำเนินการด้านเอกสาร ท่านแจ้งว่าถ้าทางโรงพยาบาลไม่ขัดข้องจะมีเจ้าหน้าที่ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งอาทิตย์”
ด้วยฐานอำนาจของบิดารวมถึงโครงการดังกล่าวเกิดจากความร่วมมือระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ จึงทำให้การดำเนินการด้านเอกสารเป็นไปอย่างรวดเร็ว
“หมอจะไปนานแค่ไหน”
“ประมาณสามเดือนค่ะ”
“สามเดือนเลยเหรอ...ถ้านานขนาดนั้นผมเกรงว่าทางโรงพยาบาลอาจจะได้รับผลกระทบเพราะขาดหมอถึงสองคน”
“ภัสแจ้งคุณแม่ไปแล้วค่ะว่าจะมีแค่หมอลี” คำตอบนั้นทำให้วริสาหันไปจ้องหน้าเพื่อนในทันที
“อ้าว! นภัสไม่ได้ไปด้วยกันหรือ”
“ช่วงนี้เรารู้สึกเหนื่อยๆ คงเป็นผลข้างเคียงจากร่างกายปรับฮอร์โมน เอาไว้สุขภาพเต็มร้อยค่อยว่ากันใหม่ แล้วลีสนใจอยากไปไหม”
“ก็น่าสนใจนะ...แต่อย่างไรก็คงต้องกลับจากแอฟริกาก่อน เพราะถ้าแจ้งยกเลิกกลางครันแบบนี้อาจจะทำให้เกิดปัญหาได้ อย่างไรภัสช่วยเรียนคุณป้าให้ด้วยนะว่าเราอยากไป”
คำตอบนั้นทำให้ผู้อำนวยการสูงวัยส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะจดปลายปากกาลงบนเอกสารอย่างเสียไม่ได้
“ขอบพระคุณค่ะท่าน” เมื่ออีกฝ่ายเซ็นต์เอกสารเสร็จจึงปิดแฟ้ม วริสาไหว้พร้อมกับยื่นมือออกไปรับ
“แล้วจะเดินทางวันไหน”
“อีกสามวันค่ะท่าน”
“ขอให้เดินทางปลอดภัย และขอให้ความดีและความเสียสละส่งผลให้หมอประสบความสำเร็จ”
คำอวยพรอย่างจริงใจนั้นทำให้วริสายิ้มหวานขณะพนมมือไหว้ขอบคุณ
“ขอบคุณค่ะท่าน...ดิฉันขอให้คำมั่นว่าเมื่ออยู่ในหน้าที่ดิฉันจะใช้ความรู้ความสามารถทำงานอย่างเต็มที่ค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ” หญิงสาวเอ่ยขอตัวแล้วพยักหน้าชวนเพื่อนสนิท พออีกฝ่ายลุกขึ้นนภัสชลจึงเอ่ยขอตัวบ้าง
ผู้อำนวยการวัยกลางคนมองตามหลังแพทย์หญิงทั้งสอง แล้วถอนใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะยิ้มให้กับอุดมการณ์อันน่านับถือของพวกเธอ
“เฮ้อ! อย่างน้อยก็ยังโชคดีที่หมอนภัสชลกำลังมีทายาทไม่อย่างนั้นคงได้ปวดหัวกว่านี้แน่” เอ่ยกับตัวเองแล้วเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้
**********
แม้บอกตัวเองว่าพร้อมเดินทางไกล แต่เมื่อใกล้ถึงวันเดินทางเข้าจริงๆ เธอก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้ ขณะนั่งมองข้าวของที่เตรียมไว้ ดวงตาหวานปนเศร้าเบนออกไปยังนอกหน้าต่างแล้วถอนใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่ออยู่ๆ เธอก็นึกถึงใครคนหนึ่ง...คนที่ไม่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำ...แม้ว่าหลังจากถูกส่งตัวกลับทุกเรื่องราวของชยิน...และเหตุการณ์ของพวกเขาจะเงียบหายราวกับไม่มีตัวตนก็ตามที
“จะคิดถึงเขาทำไม...”
หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง ขณะถอนใจเมื่อยอมรับกับตัวเองอย่างคนปลงตกว่า...เธอกับผู้กองหน้าดุคงไม่มีโอกาสได้พบกัน ชีวิตของเขาและเธอคงเป็นเหมือนเส้นขนานที่ไม่อาจบรรจบกันได้...
ในขณะหญิงสาวนั่งถามตัวเองอย่างสับสนกับความรู้สึกที่ตามติด อีกด้านคนที่เข้าไปวิ่งวนอยู่ในหัวใจของเธอก็กำลังเอนกายในท่าสบายๆ อยู่บนเก้าอี้หวายตรงระเบียงห้องพัก ขณะทอดสายตามองพระจันทร์ดวงโตสาดแสงสีนวลอยู่บนท้องฟ้าสีทะมึน และจ้องอยู่อย่างนั้นมาพักใหญ่
“ผู้กองมองพระจันทร์นานๆ ระวังจะแปลงร่างนะครับ” ซาเยร์กระเซ้า
“เมื่อไรแกจะเลิกเรียกฉันว่าผู้กองสักที เวลานี้ฉันไม่ใช่ทหารแล้ว” หันไปถามน้ำเสียงไม่จริงจังนัก
“สำหรับผมเป็นทหารหรือไม่ ผู้กองก็คือผู้กองนั่นแหละครับ...ถ้าผู้กองไม่ชอบผมจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นก็ได้ แต่พูดก็พูดเถอะผมไม่ชินจริงๆ ถ้าจะต้องเรียกผู้กองด้วยสรรพนามอื่น”
“เอาเถอะ...แกสบายใจเรียกแบบไหนก็เชิญ แล้วยังไม่นอนอีกเรอะ”
“ก็ว่าจะนอนแต่เห็นผู้กองมีอารมณ์สุนทรีย์ก็เลยว่าจะมานั่งดื่มเบียร์เป็นเพื่อน” พูดพร้อมกับยื่นขวดเบียร์ขนาดเหมาะมือให้
“เข้าท่าเหมือนกัน” พยักหน้าขณะยื่นมือออกไปรับ
“ผู้กองกำลังคิดอะไรอยู่หรือครับ” ถามพร้อมกับกระดกเครื่องดื่มลงคอ
“ฉันกำลังคิดวิธีบุกโรงพยาบาล” คำตอบนั้นทำเอาคนที่กำลังกลืนเบียร์ลงคอถึงกับสำลัก
“บุก! โรงพยาบาล” ซาเยร์ใช้มือปาดเครื่องดื่มตรงมุมปากแล้วถามเสียงดัง
“ใช่...”
“โอย...ไม่ไหวมังครับ ผมว่าเราเข้าไปพบคุณหมอในฐานะคนรู้จัก น่าจะดีกว่าบุกเข้าไปนะครับผู้กอง”
“ไอ้ดีมันก็ดี แต่ฉันยังนึกไม่ออกเลยว่าจะไปพบเธอยังไง”
“มันจะยากอะไร...ผู้กองก็หอบดอกไม้สักช่อไปให้เธอสิครับ ลืมแล้วหรือว่าเรามาที่นี่ในฐานะนักลงทุน เวลานี้เราสามารถเข้าออกประเทศไทยได้อย่างอิสระ ไม่ได้หลบๆ ซ่อนๆ เหมือนแต่ก่อน”
“ใช่อยู่ว่าเราเข้าออกประเทศไทยได้อย่างอิสระ แต่ฉันก็ไม่กล้าเดินดุ่มๆ เข้าไปหาเธออยู่ดี”
“ผู้กองกลัวอะไรหรือครับ”
“กลัวเหรอ...” ชายหนุ่มทวนคำแล้วครุ่นคิด
“ครับ...ผู้กองกำลังกลัวอะไร”
“ฉันไม่ได้กลัว” ปฏิเสธน้ำเสียงจริงจัง
“แต่ผมว่ากลัว” ซาเยร์จ้องหน้าผู้เป็นนายอย่างจับผิด
“แกจะมารู้ดีไปกว่าตัวฉันได้ยังไง...บอกว่าไม่กลัวก็ไม่กลัวสิ”
“ไม่กลัวแล้วผู้กองรออะไรอยู่เหรอครับ ถ้ารักชอบหมอแล้วไม่รีบทำคะแนนเดี๋ยวก็กินแห้วพอดี”
“ฉันก็รอจังหวะไง” คนที่พยายามหลอกตัวเองว่ามีความกล้าเต็มร้อยเฉไฉ
“ก็นี่ไงครับจังหวะ เวลานี้หมอยังไม่มีใครถ้าผู้กองมัวทำอะไรชักช้าอยู่แบบนี้ เกิดเธอตัดสินใจเลือกใครสักคนขึ้นมา ผมว่าผู้กองอกหักแน่” เตือนด้วยความหวังดี
“แต่ฉันกำลังกังวลนะซาเยร์” คำพูดเต็มไปด้วยความลังเลนั้นทำให้กูรูรู้เรื่องรักถึงกับถอนใจแล้วส่ายหน้า
“นั่นไงชัดๆ เลยว่าผู้กองกำลังกลัว”
“ฉันแค่กังวลไม่ได้กลัว” ชยินแย้ง
“มันก็ความหมายเดียวกันนั่นแหละครับ ว่าแต่ผู้กองกังวลเรื่องอะไร”
“ฉันกังวลว่าหากพบกันหมอจะจำฉันไม่ได้” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวลนั้นทำให้คนที่ลุ้นกับคำตอบถึงกับหัวเราะร่วนออกมา
“ผู้กองกังวลกับเรื่องแค่นี้เองเหรอครับ” ถามน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“แกจะหัวเราะอะไรนักหนา นี่มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับฉันเชียวนะ”
“โธ่...ผู้กองจะไปกังวลกับเรื่องแค่นี้ทำไมครับ จำได้ไม่ได้มันไม่ใช่สาระสำคัญสักหน่อย เพราะความรักมันเริ่มใหม่ได้”
“แล้วเกิดฉันรักเธออยู่ข้างเดียวละจะทำยังไง” ซาเยร์มองประกายคิดหนักบนสีหน้าคมคายอย่างขบขัน เพราะตั้งแต่ติดตามชยินมาเขาไม่เคยเห็นผู้เป็นนายรู้สึกหนักใจกับอะไรมาก่อน
“ก็จีบให้เธอรักตอบสิครับ”
“แต่ฉันไม่เคยจีบผู้หญิงนะ” คนที่ตลอดชีวิตไม่เคยคิดทำอะไรแบบนี้มาก่อนนิ่วหน้าอย่างกังวล
“แล้วผู้กองอยากมีเมียไหม”
“อ้าว...ถ้าไม่อยากมีแล้วฉันจะถ่อมาหาเธอทำไม”
“ก็นั่นไงครับถ้าอยากมีเมียมันก็ต้องลงทุนลงแรงหน่อย”
“ไอ้ลงทุนฉันพร้อม แต่ไอ้ลงแรงนี่สิฉันไม่รู้จะเริ่มยังไง”
“ไม่เห็นยากเลยผู้กองก็ลงทุนไปซื้อดอกไม้มาสักช่อ แล้วออกแรงหอบไปให้เธอสิครับ”
“ถ้าเกิดเธอจำฉันไม่ได้แล้วปฏิเสธล่ะ”
“ถ้าคิดมากขนาดนั้น ผู้กองก็นอนดูพระจันทร์ต่อ
เถอะครับ ผมจะไปนอนแล้ว” ซาเยร์ตัดบทพร้อมกับลุกขึ้นหมุนตัวแล้วเดินกลับห้องพักไปเสียอย่างนั้น
“อ้าว! เดี๋ยวสิ” ชยินตะโกนเรียกแต่อีกฝ่ายทำเป็นไม่ได้ยิน พอเห็นลูกน้องคนสนิทเดินออกไป คนที่นั่งกังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึงก็ได้แต่ส่ายหน้า
เฮ้อ...สรุปฉันจะเอาอย่างไรกับวันพรุ่งนี้ดีวะ ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองอย่างปลงไม่ตกว่าวันพรุ่งนี้เขาจะเริ่มเดินหน้าอย่างไร...
Create Date : 20 เมษายน 2562
Last Update : 20 เมษายน 2562 3:03:56 น.
1 comments
Counter : 666 Pageviews.
Share
Tweet
อาชีพหมอ
โดย:
สมาชิกหมายเลข 865311
วันที่: 22 เมษายน 2562 เวลา:7:21:22 น.
ชื่อ :
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.