sansook
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 40 คน [?]




คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...
โค้ดนี้เป็นภาพพื้นหลังนำไปวางที่ช่อง Script Area ค่ะ https://youtu.be/K2vg5yDgVX4
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2553
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
24 พฤษภาคม 2553
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add sansook's blog to your web]
Links
 

 

ตอนที่ ๓ สาวงามกับทางรอด




“พวกเรานั่นใช่คู่กรณีของคุณดนุเดชหรือเปล่าฮึ”

เสียงทุ้มของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นเมื่อเห็นร่างสูงเปรียวเดินออกมาจากทิศทางที่พวกเขาต่างกำลังเฝ้ารอเหยื่อข่าว

“ไม่ใช่มั๊งเห็นคนในผับเม้ากันให้แซ่ดว่าพวกคุณดนุเดชโดนอัดเสียยับเยิน....คงไม่ใช่คุณคนสวยนั่นหรอกเอวบางร่างน้อยแบบนั้นถ้าบอกว่าเป็นคู่ควงยังพอลุ้น”

เสียงค้านของใครคนหนึ่งดังขึ้นบ้าง

“แต่ฉันว่าอาจจะใช่เพราะได้ข่าวว่าคราวนี้คุณดนุเดชมีเรื่องกับผู้หญิง”

เสียงนักข่าวสตรีนางหนึ่งเสนอความคิดเห็นพร้อมกับเตรียมความพร้อม

“ใช่เหรอถ้าเป็นคู่กรณีของคุณดนุเดชคุณคนสวยนั่นคงไม่ได้ออกมาเดินเฉิดฉายเร็วขนาดนี้หรอกฉันว่าไม่น่าใช่”

บรรดาเหยี่ยวข่าวของสำนักพิมพ์และนิตยสารยังคงสันนิษฐานกันไปต่างๆ นาๆ เมื่อเห็นว่าคนที่กำลังเดินออกมาดูขัดแย้งกับสิ่งที่พวกเขาได้ยิน

นักข่าวเกือบสิบชีวิตต่างกระชับกล้องในมือแต่ยังไม่มีใครกล้ากดซัตเตอร์เพราะต่างไม่แน่ใจว่าหญิงสาวสองคนที่เดินใกล้เข้ามาจะเป็นคนที่พวกเขาเฝ้ารอ

“เฮ้ย! ไอ้ดาวบรรลัยแล้วนักข่าวเพียบเลย”

วิกานดาถึงกับหน้าเสียเมื่อเห็นกองทัพนักข่าวยืนอยู่ตามมุมต่างๆ

“เอาไงดีไอ้ดาว...แกอย่าให้พวกนั้นถ่ายรูปนะไม่งั้นคุณพ่อเอาฉันตายแน่”
หญิงสาวผมหยิกเดินเบียดเข้าไปกระซิบบอกน้ำเสียงสั่นๆ

ดวงหน้าหวานละมุนถึงกับเผือดซีดเมื่อเห็นนักข่าวกลุ่มใหญ่ต่างจ้องมาที่เธอและเพื่อน พริบพันดาวกวาดตามองหาพี่สาวพอเห็นมือของหนึ่งจันทร์กวักไหวๆ อยู่ห่างจากกลุ่มนักข่าวราวสองร้อยเมตรเธอจึงยิ้มอย่างโล่งใจ

“ใจเย็นนะต้อยดูเหมือนพวกนักข่าวยังสับสนอยู่แกเชิดไว้เดี๋ยวฉันจัดการเอง”

ร้อยเอกหญิงกระซิบสั่งการด้วยน้ำเสียงที่หวาดหวั่นพอกัน

“โอย...รถหายแบบนี้จะมีหวังได้คืนไหมเนี่ย...เฮ้อ!”

พริบพันดาวรำพึงรำพันขึ้นเมื่อเดินเข้าไปใกล้นักข่าวคนหนึ่ง หญิงสาวหันไปยิ้มเจื่อนๆ ให้กับนักข่าวคนนั้นแล้วเอ่ยถามน้ำเสียงเหมือนกำลังตื่นเต้น

“พี่มาทำข่าวรถหายหรือเปล่าคะ....หนูเองค่ะที่รถหาย”

วิกานดาถึงกับเหวอจนพูดไม่ออกเมื่อเห็นผู้กองคนสวยแห่งกองทัพไทยเลือกใช้วิธีนี้แหกตานักข่าว....เจ้าประคุ๊ณขอให้ทุกคนเชื่อมันด้วยเถอะ...หญิงสาวนึกภาวนาอยู่ในใจ

“อ้าว..รถหายเหรอครับพอดีพี่เป็นนักข่าวของหนังสือบันเทิงเลยไม่ได้ตามข่าวนี้น้องลองไปถามพี่คนนั้นดูสิ”

ชายหนุ่มร่างท้วมลดกล้องในมือลงแล้วชี้มือไปทางนักข่าวอีกคนที่กำลังยืนขยับแว่นอยู่หน้ากระถางต้นไม้ข้างทางออก

“รถหายค่ะรถหาย”

พริบพันดาวพยายามปั้นหน้าให้เจื่อน และประกาศความเสียหายของตัวเองไปตลอดทางเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ

พอเป้าหมายที่สร้างความกังขาใจประกาศเสียงดังฟังชัดว่ามาสถานีตำรวจเพื่อแจ้งความเรื่องรถหาย บรรดานักข่าวที่ถกเถียงกันเมื่อครู่จึงไม่คิดสนใจเธออีก

หญิงสาวทั้งสองพ่นลมหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเดินถึงทางออก วิกานดากลั้นหัวเราะแทบไม่อยู่เมื่อเห็นว่าแผนที่พริบพันดาวนำมาใช้ดันได้ผลจนเกินคาด

หนึ่งจันทร์รู้สึกเบาใจไม่น้อยเมื่อเห็นกลุ่มนักข่าวไม่ได้รุมถ่ายภาพหรือสัมภาษณ์พริบพันดาว พอร่างเปรียวเดินออกจากตึกเหล่านักข่าวจึงหันกลับไปจ้องทางเดินโล่งๆ อย่างจดจ่ออีกครั้ง รอยยิ้มบางๆ ผุดออกจากมุมปากสีสวยเพราะนึกขบขัน...ถ้านักข่าวกลุ่มนั้นรู้ว่าผู้หญิงที่เพิ่งเดินผ่านออกมาคือคนที่พวกเขาเฝ้ารอแต่ละคนจะเสียดายขนาดไหน...

“ฮ่าๆ เอาตัวรอดจนได้นะน้องดาว”

เมื่อขึ้นนั่งประจำที่พลขับกิตติทัตที่กลั้นหัวเราะมาสักพักก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน เมื่อเห็นวิธีชิ่งหนีจากกองทัพนักข่าวของว่าที่น้องภรรยา

“กว่าจะรอดมาได้ก็ลุ้นแทบตายเหมือนกันค่ะพี่กิตดีนะที่พี่ๆ เขาเชื่อไม่งั้นโดนยำเละแน่ๆ”

พริบพันดาวบอกอย่างโล่งใจ

เมื่อทุกคนนั่งประจำที่ของตนรถสปอตร์คันหรูจึงถอยออกจากช่องจอดแล้วขับออกไปช้าๆ เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยของใครๆ

“เดี๋ยวพี่แวะส่งแล้วขอกลับเลยนะจันทร์ขืนลงไปมีหวังโดนหางเลขแน่ๆ”
ด้วยความที่สนิทกับครอบครัวของหญิงสาวทั้งสองเป็นอย่างดีจึงทำให้กิตติทัตยกมือขอลี้ภัยเป็นการด่วน

“ฉันก็ด้วยนะดาว...ช่วงนี้หมอดูทักว่าต้องเข้าบ้านก่อนสองยามไม่งั้นจะมีเคราะห์หนัก”

วิกานดาเอาหมอดูขึ้นมาอ้างหน้าตาเฉย

“แหมแต่ละคนชิ่งกันเห็นๆ “

พริบพันดาวปรายตามองหน้าเพื่อนแล้วยิ้ม

“ถ้าพี่ไม่อยู่บ้านเดียวกับแกสาบานเลยว่าคืนนี้จะชิ่งหนีอีกคน”

หนึ่งจันทร์ประกาศขึ้นบ้าง

“อ้าว....พี่จันทร์ไหงทำกับน้องแบบนั้นล่ะ”

เสียงหัวเราะของคนทั้งสามดังขึ้นพร้อมๆ กันเมื่อพริบพันดาวพูดจบ และเสียงพูดคุยของคนในรถยังคงดังอื้ออึงเมื่อพูดถึงคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ พริบพันดาวไม่ได้รู้สึกฮึกเหิมหรือนึกกระหยิ่มใจแต่อย่างใดกับความช่วยเหลือจากผู้มีอิทธิพลที่เพิ่งยื่นมือเข้ามาช่วยเพราะเธอรู้ดีว่าเรื่องมันคงไม่ได้ยุติเพียงแค่นี้อย่างแน่นอน

หญิงสาวนั่งทอดตามองออกไปนอกรถแล้วพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ถึงวันนี้เธอจะมีทางรอดแต่วันหน้าใครจะกล้ารับประกันว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันจะเงียบหายไปจริงๆ


เสียงรถที่เพิ่งเลี้ยวเข้ามาจอดหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ช่วยระงับความพลุ่งพล่านของคนที่กำลังนั่งเฝ้ารอการกลับมาของหนึ่งจันทร์กับพริบพันดาวให้เบาลง

.ใบหน้าขาวจนดูเหมือนเผือดซีดของหญิงกลางคนวัยสี่สิบปลายๆ ค่อยๆ มีเลือดฝาดขึ้นเล็กน้อยเมื่อชะเง้อคอมองออกไปหน้าบ้านแล้วเห็นรถของว่าที่ลูกเขยจอดอยู่

“พี่จันทร์ซวยแล้วไหมล่ะดูเหมือนเตี่ยกับแม่จะยังไม่นอน คืนนี้เราคงจะโดนไม่ใช่น้อยเล่นเปิดไฟไล่โจรซะสว่างจ้าขนาดนั้นดูท่าด่านหน้าจะลับมีดรอเชือดเราสองคนแน่ๆ ”

แม่สาวเท้ามรณะที่เพิ่งสร้างหายนะหมาดๆ เริ่มขยาดกับผลลัพธ์อันไม่ปรารถนา

“หวังว่าคุณแม่คงจะหาน้ำแข็งให้เตี่ยกินก่อนเปิดศึกนะ...พี่บอกแกแล้วใช่ไหมว่าอย่าสร้างเรื่อง เฮ้อ! โดนจนได้คืนนี้จะได้นอนกันตีไหนอีกล่ะนั่น...ภาวนาขอพรให้เจ้าแม่กวนอิมคุ้มครองก่อนเข้าบ้านเหอะดาวเอ๊ย...”

หนึ่งจันทร์ตำหนิพร้อมกับพ่นลมหายใจก่อนจะแนะนำให้น้องสาวหันไปพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อความอยู่รอดปลอดภัย

“เมื่อกี้พี่กิตบอกว่าคนที่เคลียร์เรื่องคืนนี้เป็นคุณลุงพี่กิตไง...ทำไมเตี่ยถึงยังรู้เรื่องอีกล่ะ”

พริบพันดาวกระซิบถามน้ำเสียงหวาดหวั่นเพราะเกรงอำนาจของผู้พิพากษาที่กำลังนั่งรออยู่ในบ้าน

“แกคิดเหรอว่าเรื่องนี้มันจะเงียบแล้วจบลงง่ายๆ ไปมีเรื่องกับใครไม่มีดันไปมีเรื่องกับลูกรัฐมนตรี...เฮ้อฉันล่ะชูฮกแกจริงๆ ให้ตาย โชคดีแค่ไหนที่นักข่าวไม่ได้รุมยำแกไม่งั้นพี่ว่าคืนนี้เราคงได้ลี้ภัยไปนอนที่อื่นแน่ๆ ”

หนึ่งจันทร์อดปรายตาตำหนิน้องสาวไม่ได้

“อ้าว...ก็ใครมันจะไปรู้ล่ะพี่ว่าลูกรัฐมนตรีมันจะเฮี้ยนถึงปานนั้น...พ่อแม่ออกจะเป็นใหญ่เป็นโตแทนที่จะทำตัวดีๆ ช่วยเสริมสร้างบารมีพ่อแม่ให้ดูมีสง่าราศีแต่ดันมาทำตัวเหมือนกุ้ยอาศัยอำนาจของพ่อแม่มาสร้างปัญหาให้สังคม ลูกนิสัยแย่ๆ แบบนี้น่าจะส่งไปอบรมสันดานบ้างนะดาวว่า”

“พูดน่ะมันง่ายแต่ทำไม่ได้หรอกอำนาจมันทำให้คนฮึกเหิมจนหลงลืมความถูกต้อง ดาวทำงานอยู่ในวงราชการก็น่าจะรู้ดีแล้วยิ่งอยู่ในกองทัพแล้วด้วยเรื่องแบบนี้มีให้เห็นจนชินตาไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องรอให้พ่อเป็นรัฐมนตรีรัฐมนโทหรอกแค่มีพ่อเป็นนายพลนายพันมันก็กร่างกันได้แล้ว”

คนเป็นพี่อธิบายน้ำเสียงเหมือนปลง

“เฮ้อ!....คิดแล้วกลุ้มไม่รู้ว่าจะโดนอะไรบ้างพี่จันทร์ช่วยดาวหน่อยสิ”

ผู้ที่กำลังจะกลายเป็นจำเลยให้ผู้พิพากษาประจำบ้านสอบสวนรีบหันหน้าพึ่งพาทนาย

“แกคิดว่าจะโดนสอบคนเดียวหรือไง...คราวต่อไปไม่ต้องขอไปไหนด้วยเลยนะเดือนก่อนเพิ่งโดนไปหยกๆ ตกลงแกกำลังสถิติอะไรอยู่รึเปล่าฮึ”

“...ทำสถิติบ้าอะไรในผับมันทั้งแคบทั้งมืดเรื่องกระทบกระทั่งนิดๆ หน่อยๆ มันเลี่ยงได้เสียที่ไหน อีกอย่างไอ้พวกผู้ชายที่อยู่ในนั้นมันเป็นอะไรกันไปหมดก็ไม่รู้เห็นผู้หญิงเป็นไม่ได้คิดจะหิ้วขึ้นเตียงลูกเดียว ...ถ้ามันใช้สายตาแก้ผ้าเราได้นะมันคงทำไปแล้วล่ะหื่นชะมัดเวลาเห็นบอกตรงๆ เส้นเอ็นในข้อเท้ามันกระตุก”

คนเป็นน้องบอกอย่างมีอารมณ์

“แกแค่เอ็นเท้ากระตุกแต่พี่สิแก้วหูกระเพื่อมแน่ เดือนก่อนแค่กระทืบลูกชายนักการเมืองท้องถิ่นพี่โดนเตี่ยด่าซะสมองฝ่อไปสามวัน เฮ้อ! วันนี้เล่นกระทืบลูกนักการเมืองระดับชาติโดนคราวนี้สมองจะฝ่อไปอีกกี่วันล่ะเนี่ย”
หนึ่งจันทร์ส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอา

“เอาน่าเตี่ยแกก็ด่าได้แต่คำเดิมๆ นั่นแหละคิดว่าฟังเทศน์ฟังธรรมไปก็แล้วกันพระท่านยังสวดมนต์บทเดิมๆ เลยเราจะฟังเทศน์ของเตี่ยแบบเดิมๆ มั่งมันจะเป็นอะไรไปใช่ไหมพี่”

เมื่อทำใจได้ทั้งสองสาวจึงสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อเอาฤกษ์เอาชัย ถึงจะเกรงผู้ปกครองประจำบ้านเล่นงานแค่ไหนแต่สองพี่น้องก็ทำใจได้เพราะความเคยชินกับสิ่งที่ได้รับ

หนึ่งจันทร์ที่ถูกเอาฐานะของความเป็นพี่ขึ้นมาอ้างจำใจเดินนำเข้าไปในบ้านด้วยสภาพที่ไม่ค่อยเต็มร้อยสักเท่าไรนัก ในขณะที่คนก่อเรื่องได้แต่แอบอยู่ข้างหลังหวังใช้ร่างเล็กๆ ของพี่สาวเป็นบังเกอร์ให้กับตัวเอง
ทั้งสองลงฝีเท้าเบาๆ จนเหมือนกำลังย่องเข้าบ้าน พอร่างเพรียวของหนึ่งจันทร์ผ่านประตูหน้ามาไม่ถึงสองก้าวเสียงทุ้มทรงอำนาจของประมุกสูงสุดในบ้านก็ดังขึ้น

“กลับมากันแล้วเรอะอาจันทร์อาดาว”

สองสาวถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นบิดามารดานั่งพร้อมหน้าอยู่ในห้องนั่งเล่น
“อุ๊ย! เตี่ยมาทำอะไรดึกๆ ดื่นๆ คะเนี่ย...เอ..มันจะตีสองแล้วนะนอนดึกๆ เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะคะเตี่ย”

พริบพันดาวทำเสียงตกอกตกใจก่อนจะยิ้มหวานหยดไปทางมารดาแล้วเหลือบตามองนาฬิกาเรือนใหญ่ยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ข้างประตูด้วยแววตาอันหวาดผวา

“ยังมีหน้ามาระรื่นนะอาดาว...”

เสียงแหบห้าวแผดขึ้นพร้อมกับร่างโปร่งของชายวัยห้าสิบเศษผุดลุกขึ้นพร้อมกับชี้มือไปทางบุตรสาวคนเล็ก

“ดาวเปล่านะคะเตี่ย...เปล่าจริงๆ”

จำเลยสาวยังคงให้การปฏิเสธเสียงแข็ง

“ลื้อไม่ต้องมาตีหน้าหน่อมแน้มอาดาว...ถึงเตี่ยจะไม่มีปัญญาไปเต้นชักดิ้นชักงอเหมือนพวกลื้อในผับนรกนั่นแต่ก็ไม่ได้หูหนวกตาบอดเตี่ยบอกลื้อกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้ไปมีเรื่องกับใครทำไมไม่รู้จักจำฮึ”

เจ้าสัวใหญ่ผู้มั่งคั่งปรายตามองบุตรสาวคนเล็กอย่างเอาเรื่อง

“เตี่ย...จ๋า...เตี่ย”

พอเห็นประกายตาของบิดาลุกโชนราวมังกรกำลังพ่นไฟหญิงสาวจึงเริ่มใช้นิสัยที่สวรรค์ประทานมาพร้อมกับตำแหน่งลูกคนเล็กเปิดทางให้ตัวเอง

“ลื้อไม่ต้องมาทำเสียงอ้อนอาดาววันนี้เตี่ยเอาเรื่องลื้อแน่ ไปมีเรื่องกับใครไม่มีดันไปมีเรื่องกะลูกชายท่ารัฐมนตรีลื้อนี่มันเกิดมาจากดาวสงครามหรือยังไงฮึออกไปเที่ยวทีไรหาแต่เรื่องเข้าบ้าน อาม๊าตอนลื้อท้องอีมันมีอุกาบาตรวิ่งชนโลกหรือยังไงทำไมลูกสาวลื้อมันถึงสร้างแต่หายนะแบบนี้”

เจ้าสัวใหญ่หันไปพาลกับภรรยาที่นั่งอยู่เงียบๆ ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้จริงจังนัก
“อ้าวเตี่ยทำไมมาโทษเก็จแบบนั้นล่ะ”

เก็จแก้วที่นั่งอยู่เฉยๆ เริ่มออกโรงบ้าง

“ก็เตี่ยแปลกใจว่าทำไมอีถึงได้สร้างแต่เรื่องน่ะสิ เฮ้อ! นึกว่าได้ลูกผู้หญิงมันจะเรียบร้อยอย่างลูกคนอื่นที่ไหนได้ร้ายกว่าพวกผู้ชายเสียอีก แค่มันผ่าเหล่าเข้าไปเป็นทหารก็ปวดกบาลจะแย่อาดาวเตี่ยถามแกจริงๆ เถอะแกเป็นทอมหรือเปล่าฮึ”

เจ้าสัวสูงวัยบ่นพร้อมกับหันไปถามบุตรีด้วยสีหน้าที่คนถูกถามถึงกับเหวอ
“อะไรทำให้เตี่ยคิดแบบนั้นหนูสาวทั้งแท่งนะ”

พริบพันดาวยืนยันเสียงหนักแน่น

“ถ้าเป็นสาวแกก็หาผัวได้แล้วขืนอยู่แบบนี้เห็นทีคงสร้างแต่เรื่อง มีลูกสาวคนโตตอนไม่มีแฟนก็บ้าแต่ผู้ชาย พอมีลูกสาวคนเล็กนึกว่าจะเป็นแม่ศรีเรือนที่ไหนได้หาเรื่องตีต่อยแต่กับผู้ชายเตี่ยล่ะปวดหัวกับพวกลื้อจริงๆ ให้ตายเถอะ”

“อ้าวเตี่ย...เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับจันทร์นะ”

หนึ่งจันทร์ที่คิดว่ารอดพ้นจากวงโคจรรีบออกปากชิ่ง

“ไม่เกี่ยวได้ไงถ้าคืนนี้ลื้อไม่พาอาดาวไปด้วยมันจะมีเรื่องงามหน้าแบบนี้ไหม อาจันทร์ลื้อก็ใกล้จะแต่งงานแล้วไม่ใช่เหรอทำไมยังทำตัวเหลวไหลอยู่ล่ะฮึอั๊วไม่น่าส่งลื้อไปเรียนต่างประเทศให้มันเสียคนเลยให้ตายแทนที่จะเอาวัฒนธรรมดีๆ ของพวกฝรั่งมาใช้แต่นี่อะไรเอาแต่ความเหลวแหลกกลับมา”

เจ้าสัวใหญ่เริ่มสวดบทเทศนา

“จันทร์เปล่าทำตัวเหลวไหลนะคะเตี่ย...ตอนเรียนอยู่เมืองนอกจันทร์ก็คบกับพี่กิตคนเดียวแล้วเรื่องไปท่องราตรีเราก็ตกลงกันไว้แล้วนะคะว่าถ้าจันทร์โตและรู้จักผิดชอบชั่วดีเตี่ยจะไม่ว่าอะไรถ้าจันทร์จะมีสังคมอะไรแบบนี้บ้าง แล้วอีกอย่างเวลาไปเที่ยวพี่กิตก็ไปด้วยทุกครั้งจันทร์ไม่ได้ไปกับคนอื่นเสียหน่อย”

หนึ่งจันทร์ยกข้อตกลงขึ้นมาอ้าง

“อาจันทร์ลื้อนี่มันยังไงเถียงคำไม่ตกฟากจริงๆ ส่วนลื้ออาดาวต่อไปห้ามออกไปไหนเด็ดขาดถ้าลื้อไม่เชื่อเตี่ยจะโทรไปบอกผู้บังคับบัญชาของลื้อให้ไล่ลื้อออก เตี่ยล่ะสงสารผู้บังคับบัญชาของลื้อจริงๆ ที่มีคนอย่างลื้ออยู่ใต้บังคับบัญชา”

“แหม..ผู้บังคับบัญชาของดาวก็คุณลุงองอาจไงล่ะเตี่ย...คนนี้สนิทกับอาเจ็กยังกับอะไรดีเตี่ยลองโทรไปถามอาเจ๊กสิว่าดาวน่ะเป็นความภาคภูมิใจของกองทัพขนาดไหนถ้าขาดดาวแล้วใครจะรับผิดชอบเกี่ยวกับการเตรียมข้อมูลสัมภาษณ์ให้คุณลุงองอาจ แล้วไหนจะเป็นตัวเชื่อมการขออนุญาตใช้กำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์อีกล่ะนี่ยังไม่รวมเรื่องการดูแลภาพรวมงานด้านประชาสัมพันธ์ของกองทัพอีกนะแต่ละอย่างสำคัญทั้งนั้น”

พริบพันดาวสาธยายงานของตัวเองน้ำเสียงภาคภูมิใจ

“งานของลื้อฟังดูมันก็เป็นกุลสตรีอยู่นะอาดาวแต่ทำไมนิสัยลื้อมันถึงได้ห่ามผิดเพศแบบนั้น”

“โธ่! เตี่ยดาวได้สายดำตั้งแต่อายุสิบห้าอีกอย่างตอนอยู่หน่วยแพทย์เวลาออกภาคสนามดาวก็ฝึกหนักไม่ต่างจากพวกผู้ชายแถมยังดีกรีนักเรียนโดดร่มอีกด้วยเท่จะตาย”

ร้อยเอกหญิงยังคงยืดอกอวดสรรพคุณของตัวเองด้วยน้ำเสียงอันแสนจะภาคภูมิใจจนคนเป็นบิดาอดทำเสียหึในลำคอเพราะหมั่นไส้ไม่ได้

“หึ..เป็นความภาคภูมิใจหรือความอัปยศกันแน่ อาดาวเตี่ยว่าลื้อลาออกมาช่วยอาจันทร์บริหารงานที่บริษัทเถอะลื้อเป็นทหารแทนที่จะเคารพระเบียบวินัยแต่นี่อะไรใช้ไม่ได้เลยจริงๆ เตี่ยพูดถึงขนาดนี้พวกลื้อยังมีหน้ามาเถียงฉอดๆ ถ้าเก่งนักก็ไปนั่งคุกเข่าแล้วสำนึกผิดต่อหน้าบรรพบุรุษในห้องพระจนถึงเช้าถ้าคิดไม่ได้ไม่ต้องลุกออกมานั่งให้ตายอยู่ในนั้นนั่นแหละ”

เจ้าสัวใหญ่ที่เกิดและโตในไทยแต่มีสายเลือดของมังกรอยู่ในร่างกายครึ่งหนึ่งออกคำสั่งอันเด็ดขาดจนคนที่ได้ฟังถึงกับโอดโอย

“โอย....เตี่ยบทลงโทษแบบนี้มันมีแต่ในหนังจีนนะใครจะบ้าไปนั่งสำนึกอยู่หน้าป้ายวิญญาณของอากงอาม่าในเวลาแบบนี้เล่า...”

พริบพันดาวส่ายหน้าไม่เห็นด้วย

“ใช่เตี่ยสมัยนี้มันยุคไหนแล้วให้ไปคุกเข่าต่อหน้าบรรพบุรุษแบบนั้นไม่มีใครเขาทำกันหรอกอีกอย่างตอนนี้จันทร์กับดาวก็สำนึกแล้วเตี่ยจ๋าเตี่ยเห็นแก่คุณแม่เถอะเห็นไหมนั่นง่วงจนจะหลับอยู่แล้ว”

หนึ่งจันทร์ที่โดนหางเลขรีบสนับสนุนก่อนจะเอามารดาขึ้นมาอ้าง

“ลื้อสองคนหุบปากแล้วทำตามคำสั่งของเตี่ยไม่งั้นพรุ่งนี้เช้าเตี่ยจะให้พวกลื้อไปนั่งคุกเข่าตากแดดอีกสักแดด”

“โห...เตี่ยคิดจะทำดาวแดดเดียวเลยเหรอคะนั่น”

พริบพันดาวบ่นงึมงำ

“อาดาวลื้อคงไม่คิดใช่ไหมว่าเรื่องมันจะจบแค่นี้”

เมื่อเห็นท่าทางขัดขืนคำสั่งของบุตรีทั้งสองประมุกของบ้านจึงถามคำถามไม้ตายออกไป และก็ได้ผลเมื่อสองศรีพี่น้องที่แข็งขืนมาตลอดถึงกับอ่อนยวบลงทันใด

“คนที่ลื้อกระทบกระทั่งเป็นถึงลูกชายคนเดียวของรัฐมนตรีกลาโหมคนที่อยู่เหนือลื้อตั้งกี่เท่าวันนี้คุณทศพลขอผ่านเรื่องคดีความให้ได้แต่วันต่อไปอนาคตของลื้อง่อนแง่นแค่ไหนลื้อย่อมรู้ดี”

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครออกปากคัดค้านเจ้าสัวรุ่งโรจน์จึงพูดย้ำถึงสถานการณ์ที่พริบพันดาวนึกหวั่นมาตลอด

“หนูรู้ค่ะเตี่ย..”

พริบพันดาวเดินเข้าไปนั่งคุกเข่าต่อหน้าบิดาแล้วก้มหน้านิ่งๆ ความรู้สึกบอกให้เธอแก้ตัวแล้วอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดแต่ความเป็นจริงเธอกลับทำได้เพียงแค่ก้มหน้าแล้วยอมรับผิด

“เตี่ยรู้ว่าลื้อใจนักเลงแต่อาดาวการตัดสินปัญหาด้วยอารมณ์มันไม่ได้ช่วยให้คนเราประสบความสำเร็จหรอกสติปัญญาต่างหากที่จะทำให้เรายิ่งใหญ่ การตัดสินปัญหาด้วยกำลังมันไม่ใช่ทางแก้ที่ดี...เตี่ยเคยเป็นวัยรุ่นมาก่อนทำไมจะไม่เข้าใจว่าความรู้สึกเวลาที่เราถูกคนอื่นหยามเกียรติมันเป็นยังไง...อากงสอนให้เตี่ยเป็นต้นหลิวที่พลิ้วตามสายสมไม่ใช่ต้นไม้ใหญ่ที่ยืนตระหง่านต่อต้านลมวันนี้ลื้อก็ควรหัดเป็นต้นหลิวบ้างลื้อเป็นผู้หญิงจะแข็งแกร่งสู้ผู้ชายได้ยังไงเตี่ยไม่ได้กดขี่ว่าลื้อเป็นเพศไหนแต่ในวันหน้าลื้อต้องเป็นแม่คนลื้อต้องอ่อนโยนนะอาดาว”

เมื่อเห็นว่าบุตรีอ่อนลงเจ้าสัวจึงเริ่มอบรม

“หนูขอโทษค่ะเตี่ยหนูผิดไปแล้ว..”

“เตี่ยจันทร์ก็มีส่วนผิดที่ไม่รู้จักห้ามน้องถ้าจะโทษก็โทษจันทร์เถอะค่ะ”
หนึ่งจันทร์ที่หัวแข็งไม่แพ้น้องสาวเดินเข้าไปนั่งคุกเข่าต่อหน้าบิดาแล้วน้อมรับความผิดบ้าง

“เตี่ยเก็จว่าไหนๆ ลูกก็ยอมรับผิดแล้วอีกอย่างตอนนี้มันดึกมากแล้วด้วยเอาไว้ค่อยคุยกันพรุ่งนี้ดีกว่าว่าเราจะเอายังไงกันต่อไป”

เมื่อเห็นลูกๆ อ่อนข้อจนก้มหัวยอมรับความผิดแต่โดยดีเก็จแก้วที่สงสารลูกเหลือกำลังจึงรีบเสนอทางออก

“การกล่าวโทษของคนในครอบครัวไม่มีอะไรร้ายแรงเท่าการกล่าวโทษจากคนอื่นหรอกอาจันทร์ลื้อเป็นพี่คนโตหน้าที่คือต้องเป็นเสาหลักคอยช่วยงานพ่อแม่และดูแลน้องเตี่ยรู้ว่าลื้อรักน้องแต่การตามใจจนไม่รู้ถูกผิดมันก็ไม่ต่างจากลื้อกำลังสอนสิ่งผิดๆ ให้กับน้อง ลื้อสองคนกลับไปคิดให้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้มันเป็นเพราะอะไรคิดได้แล้วก็หาทางป้องกันเพื่อจะไม่ต้องผิดซ้ำซากในวันหน้า...พวกลื้อไปพักได้แล้วไป..”

ใบหน้าเหี่ยวย่นที่เคร่งเครียดเริ่มปรับเป็นปกติ เจ้าสัวยิ้มน้อยๆ กับท่าทีของบุตรีทั้งสองถึงแม้ว่าความรู้สึกลึกๆ จะยังไม่วางใจกับปัญหาแต่มันก็ต้องทำใจหากอะไรมันจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า...





 

Create Date : 24 พฤษภาคม 2553
4 comments
Last Update : 24 พฤษภาคม 2553 13:45:42 น.
Counter : 651 Pageviews.

 

ทักทายตอนบ่ายๆ จ้า อิอิ ^__^

 

โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว 24 พฤษภาคม 2553 14:06:25 น.  

 

 

โดย: nuyza_za 24 พฤษภาคม 2553 14:18:27 น.  

 

อืมอ่านแล้วไม่คอยงงเนอะ

 

โดย: ซาตานเกรท 24 พฤษภาคม 2553 18:29:30 น.  

 

แวะมาทักทายจร้า ...

 

โดย: oleang 26 พฤษภาคม 2553 13:49:35 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.