Group Blog
All Blog |
พิซซ่า...โฮมเมด เราชอบกินพิซซ่ามากค่ะ แต่มีความรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้พิซซ่าที่ซื้อจะให้หน้า+ชีสน้อยจัง อย่ากระนั้นเลย เราก็ทำอาหารเป็นอยู่แล้ว ก็ทำเองเลยดีกว่า ใส่หน้าเยอะแค่ไหนก็ได้ตามใจชอบ ก็เลยออกมาเป็นเมนูนี้ค่ะ แป้งพิซซ่า แป้งห่าน 2 1/2 ถ้วยตวง (แป้งว่าว,แป้งสาลี,แป้งสาลีเอนกประสงค์) ยีสต์ 2 ช้อนชา นม 3 ช้อนโต๊ะ น้ำตาล 1 1/2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ (น้ำมันพืชทั่วไปก็ได้นะ) น้ำอุ่น 3/4 ถ้วยตวง (เอาหลังมือแตะๆแล้วรู้สึกว่าอุ่นก็พอ ไม่ต้องร้อนมาก) เกลือ 1/4 ช้อนชา หน้าพิซซ่า กุ้งแช่แข็ง,โบโลน่า,ไส้กรอก,เห็ด (อะไรก็ได้ตามใจเราชอบเลย) มอสซาเรลล่าชีส พาเมซานชีส เชดด้าชีส (ใช้แค่มอสซาเรลล่าชีสชนิดเดียวหรือจะใช้ชีสหลายชนิดก็ได้ค่ะ) ไม้คลึงแป้ง(พอดีไม้คลึงแป้งของเราราขึ้น เลยใช้ขวดซอสแทน) ซอสมะเขือเทศที่ทำไว้เมื่อคราวที่แล้ว //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=rita-bunny&group=24 หรือถ้าขี้เกียจทำก็ซื้อซอสมะเขือเทศสำหรับทำพิซซ่าสำเร็จมาเลยก็ได้ เทแป้งลงในชาม ขุดตรงกลางไว้ ใส่ของแห้งลงไปก่อน แต่อย่าใส่เกลือลงในยีสต์โดยตรง เนื่องจากเกลือจะทำให้ยีสทำงานได้น้อยลง แป้งมันจะไม่ฟู (แอบขุดแป้งจุดอื่นแล้วใส่เกลือลงไป) แล้วใส่พวกของเหลวลงไป นวดๆๆเข้า ถ้านวดในชามไม่ถนัด ก็เอามานวดบนโต๊ะ ก่อนจะนวดบนโต๊ะ ก็เอาแรปฟิล์มใสปูก่อน จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องความสะอาด นวดๆให้แป้งเนียนๆ แต่เรานวดมือแรงเราไม่เยอะ ได้แค่นี้ก็โอเคแล้ว จริงๆจะให้ดีต้องนวดจนเวลาดึงแป้งแล้วเป็นแผ่นฟิล์มบางๆ แต่เราไม่สามารถนวดแค่นี้ก็เหนื่อยมากแล้วล่ะ -*- (แต่ออกมาก็อร่อยดีนะ) นวดเสร็จก็นำใส่ชาม แล้วแรปฟิล์มใสทิ้งไว้จนแป้งขึ้นเป็นสองเท่า จะทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมง หรือหนึ่งชั่วโมง ก็แล้วแต่สภาพอากาศ ถ้าอากาศร้อนมากก็ขึ้นไว ถ้าอากาศเย็นแป้งก็ขึ้นฟูช้า ของเราทิ้งไว้สองชั่วโมง (เพราะดูหนังเพลินไปหน่อย) หลังจากแป้งขึ้นเป็นสองเท่าแล้ว เราก็เอามาต่อยๆไล่อากาศซะ ถ้าจะให้แป้งกรอบอร่อยมากขึ้น แนะนำให้แรปฟิล์มใสแล้วทิ้งไว้ให้ขึ้นฟูเป็นสองเท่าอีกรอบ แต่เราหิวแล้ว เลยไม่ทิ้งแล้วล่ะ อบกินเลย นำแป้งมาโรยๆ แล้วก็แบ่งแป้งมา (ให้เอาแรปฟิล์มใสปูที่โต๊ะก่อนโรยแป้งนะคะจะได้ไม่กังวลเรื่องความสะอาด) ให้พระเอกอย่างขวดซอส คลึงๆให้แป้งแผ่ออก แป้งจะหนาจะบางก็ตามใจเราชอบ อย่าให้หนามากเพราะเดี๋ยวมันจะขึ้นฟูอีกตอนอบ ลองอบชิ้นนึงก่อนก็ได้ ดูว่าแป้งที่เราได้มันขึ้นฟูมากน้อยแค่ไหน แล้วชิ้นต่อมาเราจะปรับแป้งหนาบางได้ถนัดขึ้น **และถ้ากังวลว่าจะรับประทานไม่หมดในครั้งเดียวแล้วล่ะก็ ให้เราอบแป้งไว้ก่อน แล้วก็ใส่ถุงแช่ช่องฟรีสไว้ พออยากกินเมื่อไหร่ ก็เอาแป้งพิซซ่าที่อบไว้แล้วมาแต่งหน้าตามชอบแล้วใช้เตาติ้งอบ 10 นาทีก็หม่ำได้แล้ว นำแป้งที่แผ่แล้วมาใส่ถาดไว้ (เราหาถาดเล็กๆไม่ได้เลยเอาถาดฟรอยนี่ล่ะ หาถาดไม่ได้จริงๆก็เอาจานเซรามิคทนไฟนั่นแหล่ะ แล้วปูด้วยกระดาษฟรอยอีกที) ทาซอสลงไป แต่งหน้าตามใจชอบ แล้วโปะชีสลงไปตามชอบ อบไฟแรง 180 องศาเซลเซียส หรือ 375 องศาฟาเรนไฮน์ ใช้เวลาในการอบ 20-25 นาที แล้วแต่ขนาดของพิซซ่า อบเสร็จแล้ว เตรียมตัวแงะออกจากถาดล่ะ แต่นแต๊นนน เรียบแล้วแล้วค่า จากนั้นเรามาลองอบด้วยเตาติ้งดูซะหน่อย ก็ไอ้เจ้าเตาปิ้งขนมปังที่ตั้งได้แต่เวลา แต่ตั้งอุณหภูมิไม่ได้น่ะแหล่ะ คลึงแป้งให้เป็นรูปนี้ คล้ายๆนันเลยแฮะ ขอแป้งบางๆหน่อย จากนั้นก็เอาแป้งไปอบ 10 นาที ให้แป้งสุกก่อน จากนั้นก็แต่งหน้าตามชอบ แล้วนำไปอบอีกทีให้ชีสละลายเยิ้มๆๆ ประมาณ 5-10 นาที แต่บอกไว้ก่อนนะว่าถ้าใช้เห็ดฟางน่ะ ให้นำเห็ดไปลวกก่อน ไม่งั้นตอนอบน้ำจากเห็ดออกมาผสม กลิ่นแปลกๆเลยแหล่ะ -*- อันนี้ของเพื่อนเรา เค้าไม่กินเนื้อสัตว์บก เพราะว่าตอนเรียนจบต้องไปใช้ทุนที่โรงพยาบาล ใกล้ๆโรงพยาบาลนั้นมีโรงฆ่าสัตว์อยู่ ทุกครั้งที่เค้าไปกินข้าวที่ร้านอาหารแถวนั้น จะต้องมีรถขนสัตว์ไปโรงฆ่าสัตว์ทุกครั้งไป เค้าก็เลยกินไม่ลง เลิกกินไปเลย หลังจากนั้นเวลาไปกินข้าวแถวนั้นก็ไม่เคยเห็นรถขนสัตว์อีกเลย แปลกจริงๆ เสร็จแล้ว เหมือนแป้งนันจริงๆด้วย อิอิ ใครไม่มีเตาอบ มีแต่เตาแก๊สแล้วอยากกินพิซซ่าก็ทำได้นะ แต่ให้ใช้กระทะเทฟล่อน ทาน้ำมันบางๆบนกระทะแล้วนำแป้งลงไป คล้ายๆจะจี่แป้งให้สุกน่ะ พอแป้งสุกก็แต่งหน้าตามชอบ แล้วก็หาอะไรมาปิดกระทะไว้ เปิดไฟอ่อนๆ อบไว้ให้ชีสละลาย เห็นมั๊ย ไม่ยากเลย ทำพิซซ่ากินเองง่ายๆ ในราคาไม่สูงมากที่บ้านก็ได้เนอะ เก่งทุกอย่างเหมาะสมกับกุลสตรีจริงๆ ...
เสียดายไม่มีลูกชายจะได้ขอมาเป็นสะใำภ้ โดย: ยายซิ่ง IP: 182.53.17.2 วันที่: 2 มิถุนายน 2554 เวลา:15:29:23 น.
น่ากินดีอ่ะตัว ลาซานญ่าด้วยดิ
โดย: นนนี่มาแล้ว IP: 115.87.7.38 วันที่: 2 มิถุนายน 2554 เวลา:20:01:13 น.
|
Rita_Bunny
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?] ในโลกที่สับสนวุ่นวาย ใครกันที่ถูกพิษรัก ในห้วงทะเลที่กว้างใหญ่ ใครกันดื่มยาแห่งความรักจนหมด ฟ้าไร้ขอบเขตและผืนดินไม่สิ้นสุดกลายเป็นความว่างเปล่า |
น่ากินจังค่ะ