ฉันต้องทำอะไรซักอย่าง หลังจาก ตาสว่าง....
ไม่ได้อัพบล็อกบอลยาวๆมานานแล้วครับ หลังจากดูแมตช์นี้จบ ยิ่งเขียนยิงมัน เชียนเองมันเองคนเดียวครับ ท่านใดที่ไม่มีเวลาอ่าน หรือไม่สันทัดด้านฟุตบอล เพียงแปะ ยิ้มไว้ ก็ปลื้มแล้วครับ
บล็อกที่น่าสนใจ
TU Chorus ขอเชิญชมคอนเสิร์ตประสานเสียง “Colours of Life”
ขำขันตลกร้าย
ทริป เชียงใหม่-ปาย - หัวยน้ำดัง : ภาคต่อ ปาย ย ย ย
***************************
ผมเขียนบล็อกนี้หลังจากดูบอล คู่ รูตัน – ลิเวอร์พูล ที่ผลออกมา คือ 3-5
บนเกมที่มันมาก การันตีด้วย 8 ประตู 2 จุดโทษ
ผมไม่ได้พิมพ์ชื่อทีมเจ้าบ้านผิดนะครับ แต่ตั้งใจจะพิมพ์เช่นนี้ เพราะ มันต้องใช้คำนี้จริงๆ เมื่อนึกถึง ความรู้สึก ตอนที่ ทีมโดนนำ 3-1 แถมยังเกือบเสียผู้รักษาประตูไปด้วยจากโปรเฟสชันนั่ลฟาวส์ ลูตันทีมนี้ ทำให้ หงส์แดงเกิดอาการ รูตัน จริงๆ
ยอมรับว่า ตั้งแต่แมตช์สุดท้ายของลิเวอร์พูลเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ไม่มีแมตช์ไหนที่ดูแล้ว ให้ความรู้สึกบีบหัวใจเท่านัดแรกใน FA. CUP ฤดูกาลนี้มาก่อน ต้องถือว่าเป็นความสามารถเฉพาะตัวห้ามเลียนแบบ ผู้ใหญ่ควรอยู่ในความดูแลของเด็กๆอย่างมาก เล่นกับมิลาน ก็แสดงให้เห็นว่าทีมไม่ถอดใจ พอมาเล่นกับลูตัน ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าเอ็งแพ้ เอ็งตายแต่ (ราฟาคงคิดอย่างงี้)
ด้วยผู้เล่น ฟูลทีม ยกเว้น ผู้รักษาประตู สก็ตต์ “ไอ้ถุงเท้า” คาร์สัน ที่ลงมาเล่นแทน เป๊ป “ราฟาน้อย” เรน่า เมื่อมาเจอกับ ลูตันทีมอ่อนชั้นกว่า ดูเหมือนว่า จะไม่ครณาเกือกเท่าไหร่ อย่าลืมว่า 2 มือของคาร์สันคนนี้แหละที่ทำให้ยูเว่น้ำตาตกมาแล้วเมื่อฤดูกาลที่แล้ว
และหลังจากลูกยิงแบบคล้ายตั้งใจแต่ไม่ดีใจของเจอร์ราร์ด ก็ทำให้น่าจะคิดแบบนั้น พาลให้นึกฝันไปว่า จะยิงซักครึ่งโหลดีมั้ย...จบเกม ก็เกือบครึ่งโหลดังหวังจริงๆ แต่ความรู้สึกกลับตรงกันข้าม
ต้องซูฮก ทีมสไปรท์ลิตร เอ๊ย ! ทีมสปิริตของ ลูตันทาวน์ จริงๆครับ ใครจะคิดว่า โนทีมแชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก นำไปก่อนแล้วจะกลับมาพลิกนำ 3-1 ได้ ทั้งที่น่าจะถอดใจตั้งโดนประตูแรก จากการบุกแบบโงหัวไม่ขึ้น
ลูกทีมของไมค์ นีเวลล์ เหมือนจะโด๊ป สไปรท์ลิตรมาจริงๆ เพราะต่อมาก็ค่อยๆ โงหัวขึ้น แล้วก็ โต้กลับทำเอา back 4 ของลิเวอร์พูลปั่นป่วนไป จนป้อแป้ในบางครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซามี ฮูเปีย ซึ่งถือเป็นบ่อพลังงานธรรมชาติอีกแห่งหนึ่ง
แต่ก่อนจะไปพูดถึง บ่อน้ำมันขนาดใหญ่ ขอพูดถึงบ่อน้ำมันขนาดย่อมก่อนครับ
ยอน อาร์เน่ รีเซ่ คือบ่อแรก อันนำมาซึ่งการเสียประตูตีเสมอ 1-1 จังหวะนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าการเช็คลำหน้าที่ผิดพลาด ฮูเปียดันขึ้นมาแล้ว ขณะที่ รีเซ่เอง ยังถอนสมอไปทัน มัวแต่เอ้อระเหยอยู่ (คนนะไม่ใช่แอลกอฮอลล์ จะได้ “ระเหย” ได้) แล้วเป็นไงครับ ไข่แตกกันพอดี
บ่อน้ำมันต่อมา เจมี่ คาร์ราเกอร์ครับ ... ตั้งแต่ ราฟา เบนิเตซเข้ามาคุมทีม ผมไม่เคยเห็นนัดไหนที่ คาร์ร่า เอ๋อ เท่านี้มาก่อน ลูกขยัน ลูกทุ่มเท นั้นมีอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง ทว่า จังหวะบอลนี่แหละที่ ดูเหมือนจะไม่เป็นใจเอาซะเลย เมื่อกะจังหวะผิด ทำให้ต้องออกแรงวิ่งมาสกัดจังหวะสุดท้ายเยอะ มองเผินๆ อาจดูคล้าย ผู้ช่วยชีวิต แต่ ถ้าอ่านเกมได้ไม่ผิด ก็จะไม่ต้องมีจังหวะเสี่ยงชีวิตอย่างหลายๆครั้งที่เห็น
ประตูขึ้นนำครั้งแรกของลูตันก็ได้มาจากความผิดพลาดเพียงนิดเดียวของ คาร์ร่า บวกกับความโป๊ะเชะของ โรบินสัน ผู้เล่น ลูตันนายนั้น ทำให้โมเมนตัมของเกมเริ่มเปลี่ยนไป
และแล้ว ก็ได้เวลาของ บ่อน้ำมันขนาดใหญ่ของเราครับ ...ซามี่ ฮูเปีย ที่น่าจะเปลี่ยนชื่อเป็น ซามี่ กูเพลีย กูเพลีย เอ๊ย ! ฮูเปีย ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว ความแน่นอน เด็ดขาด ฟิตปั๋ง พลันหายไปเป็นตรงกันข้าม ราฟาเองก็คงมองเห็นในจุดนี้ และพยายามจะหากองหลังมาช่วยกดดันผลงานในดีขึ้นรวมทั้งแบ่งเบาภาระการกรำศึกหนัก
การสะกัดบอลพลาดของฮูเปียทำให้ คาร์สันซึ่งออกมานอกประตูมาไป ไม่มีทางเลือกนอกจากโปรเฟสชั่นนั่ลฟาวล์ นึกดูแล้ว ก็ถือว่าเป็นโชคดีของ คาร์สันและลิเวอร์พูลอยู่ไม่น้อย ที่ไม่โดนใบแดง หาไม่แล้ว การที่ต้องเล่น 10 และตามหลังอยู่ 1-3 คือภาระที่หนักหน่วงกว่า การพลิกตีเสมอมิลาน 3-3 ซะอีก
กลับกัน เกมมันคงจะง่ายกว่านี้ ถ้าเพียงแต่ ซิสเซ่ยิงลูกโทษ เข้าไป และทีมตีเสมอเป็น 2-2 ด้วยความกำลังใจเช่นนี้ ลิเวอร์พูลกลับมาบี้ชนะได้แน่...
อนิจจา ลูตัน นำ 3-1 เข้าให้แล้ว ...ถึงตอนนี้ ผมนึกถึงเพลง ของ “หมาสมัยใหม่” เลยทันที
...สุดท้าย เรื่องราว ว่างเปล่า จบไป ต้องเจอ ต้องเป็น แล้วจะเห็นใช่มั้ย...
นั่นคือเพลงตาสว่างครับ
เกมรับเริ่มไม่เหนียวแน่น ยิ่งพอเสียสถิติ ชนะติดต่อกัน ไม่เสียประตู 11 นัด ติดต่อกัน ก็มาเสีย 5 ประตู จาก 2 นัด อาจบางทีมาจากการกรำศึกมาไป โดยเฉพาะ ฟินแน่น-ฮูเปีย-คาร์ราเกอร์ ที่ยังหาตัวแทนมาแบ่งเบาไม่ได้ จึงออกอาการล้าบางจังหวะ อาจบางที เป็นอีกสาเหตุหนึ่งซึ่งอันตรายกว่าเหตุผลข้างบน คือ ไม่มีสามาธิ จะด้วยความประมาทในชื่อชั้นของคู่ต่อสู้หรือไม่ก็ตามที แต่จะเห็นบ่อยครั้งมา ที่กองหลังหงส์แดง โชว์เหนือ ไม่เตะบอลขาดไปเลยกลับเล่นกันสั้นๆ กิ๊กกั๊กกันหน้าโกล์ คาร์ร่าเองที่มีเครื่องหมายการค้าเป็นการเคลียร์บอลจังหวะเดียวก็เอากับเค้าด้วย ฮูเปียเองยิ่งแล้วใหญ่ มองในแง่ดีร คือ ไม่โฉ่งฉ่าง แถมอาจเก็บบอลเปิดเกมรุกต่อได้ แต่มองในแง่ร้าย คือ มันจะเสียบอลง่ายหน้าโกลไปทำไมฟะ...
ถึงตอนนี้ ราฟา ก็คงจะนึกถึงเพลงของพี่ป้าง บ้างแล้ว
...ฉันต้องทำ ทำอะไรซักอย่างแล้ว...
จึงเสริม ฟลอริยงต์ ซินิม่า ปองโกล มาเล่นเกมรุก แทน ซิสโซโก้ ตัวตัดเกมที่ไม่จำเป็นแล้วสำหรับวินาทีนั้น โดยโยกเจอร์ราร์ดกลับมาเล่นกลางเพื่อเปิดทางให้ ปองโกล พริ้วทางริมเส้น
ปองโกลและชื่อของเขาก็ไม่ได้ทำให้ เดอะ ค็อป ที่สนามและหน้าจอทีวีผิดหวัง เมื่อยิงประตู ตีตื้น 2-3 และประตู และลูกโหม่งนำ 4-3 หลังจากตั่นกลางด้วยลูกยิงไกลใบไม่ล่วงของ ชาบี้ อลอนโซ่
ถ้าแมตช์นี้ เป็นแมตช์ที่น่าจดจำของ ปองโกล แต่คงใครคนนึงที่อยากจะลืม แน่นอน ต้องเป็นซิสเซ่
ด้วยเวลา 88 นาที ที่อยู่ในสนาม ซิสเซ่เหมือนได้ได้พกดวงมาด้วย โอกาสที่ดีที่สุดของเกม คือลูกจุดโทษที่น่าจะเป็นประตูตีเสมอ 2-2 แต่เขากลับยิงลูกนั้นให้มันหมับมือ ผู้รักษาประตูลูตัน เจอร์ราร์ด เองที่หวังปั้นความมั่นใจให้เพื่อน (เคยทำมาแล้ว ตอนที่เสียสละหน้าที่เพชฌฆาตให้ เคร้าช์ ทว่าได้ผลเหมือนกับคราวนี้) แต่คงลืมไป ว่าความมั่นใจ ไม่ใช่ดินเหนียว จะเอามาปั้นกันง่ายๆ เหมือนปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่นไม่ได้ นี่ยังไม่นับจังหวะ หลุดเดี่ยว อีกหลายจังหวะ ที่ไม่จับยาวไป ก็ยิงไม่ได้ลุ้นไปซะงั้น ครั้นเมื่อไปนึกเปรียบเทียบกับนักเตะรุ่นน้องชาติเดียวกัน ที่ลงเล่นไม่ถึง 30 นาที คิดเป้นเวลา เกือบ 1 ใน 3 ของเขา แต่กลับยิงได้มากกว่า 2 ลูก มันน่าน้อยใจจริงๆ
ผมว่าเวลานี้ ซิสเซ่ กำลังมีปัญหาทางสภาพจิตใจ เหมือนที่ เคร้าช์ เคยเป็นมาก่อน แต่คิดว่า ถ้าราฟา ยังไม่ตัดหางซิสเซ่ซะก่อน เขาก็มีสิทธิ์ที่จะกลับมาเป็น ซิสเซ่ ที่ฟอร์มร้อนแรงก่อนย้ายมาลิเวอร์พูลได้ไม่ยาก เพราะโดยพื้นฐาน ทักษะ เขามีพร้อมอยู่แล้ว ทั้ง เร็ว แกร่ง คม (การที่เอล มอโร่ เจ็บ ก็นับว่า เป็นโอกาสทองของซิสเซ่อยู่)
แมน ออฟ เดอะ แมตช์ของนัดนี้ ผมอยากจะยกให้ ชาบี้ อลอนโซ่ ที่นอกจากจะทำประตู ตี เสมอ 3-3 แล้วยังทำประตูที่ไกลที่สุด ในปีนี้อีกด้วย เรียกได้ว่า สวยๆทั้ง 2 ลูก ยังเป็นห้องเครื่องตัวจริงของทีม
ถ้าเจอร์ราร์ด คือหัวใจของทีม ชาบี้ ก็คือ ปอด
เป็นปอดที่ไม่มีวันแหก เพราะเข้าบอลทุกจังหวะ ปอดที่ไม่มีวันแฟ่บ เพราะวิ่งเชื่อมเกมตลอด
ดูชาบี้แล้วคิดถึง เจมี่ เร้ดแนปป์ ขึ้นมาตะหงิดๆ เพราะนี่แหละ คือสิ่งที่ลิเวอร์พูลรอมานาน
จบเกมนี้ ราฟาคงจะได้ อะไรอีกเยอะ เดอะ ค็อปก็คงจะได้อะไรอีกเยอะ ..อย่างน้อยผมก็ได้รู้ว่า ลิเวอร์พูล ชอบเล่นให้แฟนบอลได้ลุ้นเสมอไม่ว่าจะ เจอกับ มิลาน หรือลูตันก็ตาม
Nutty Professor
ปล. ขออภัย พี่เคอ้อนและสาวกปิศาจแดง-ดำที่พาดพิง หลายจุด ครับ อิอิ
Create Date : 08 มกราคม 2549 |
|
61 comments |
Last Update : 8 มกราคม 2549 13:27:25 น. |
Counter : 683 Pageviews. |
|
|