1 2 3 4 5 6 7
8 9 10 11 12 13 14
15 16 17 18 19 20 21
22 23 24 25 26 27 28
29 30
"พุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ" : เหตุผลจากฝ่ายคัดค้าน (1)
[อ่าน "ตัดแปะ" เรื่องอื่น]
บอกกล่าวกันก่อน ก่อนอื่น ต้องขอหมายเหตุไว้เสียตรงนี้ว่า โดยส่วนตัวแล้ว ไม่เห็นด้วย กับการบัญญัติศาสนาประจำชาติ เลยไม่ว่าจะด้วยประการใด ๆ ทั้งสิ้น หากใครจะว่าประเทศอื่นยังมีได้เลยนี่ ข้าพเจ้าก็จะบอกว่าประเทศนั้น ๆ ก็ควรจะถอนออกด้วย ประเทศอื่นจะได้ไม่เอาไว้เป็นข้ออ้าง เพื่อเอาอย่าง แต่ว่า... เราควรฟังความเห็นหลาย ๆ ด้าน ในคราวก่อน ข้าพเจ้าได้นำเอาเหตุผลของฝ่ายสนับสนุน ว่า จะต้องบัญญัติคำว่า "พุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ" มาให้อ่านกันแล้ว (Click อ่านได้ที่นี่) ในโอกาสนี้ ข้าพเจ้าจะขอนำเอาเหตุผลของฝ่ายที่คัดค้าน (หรือ ต่อต้าน) มาเสนอให้สหายได้อ่านกัน และจะนำบทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องมาเสนออีกครั้งหนึ่ง โปรดอ่านและวิจารณ์อย่างมีสติ ในวันนี้ขอยกบทความเรื่อง "เหตุผล ที่รัฐธรรมนูญไม่ควรระบุ ศาสนาประจำชาติ" โดย เมตฺตานนฺโท ภิกฺขุ ซึ่งได้ตีพิมพ์ไปแล้วใน หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2550 โดยในครั้งนี้ ข้าพเจ้าได้คัดลอกมาจาก Website ของมติชน จาก link ต้นฉบับนี้ โดยไม่ได้ตัดทอนและไม่ได้เพิ่มเติม แต่จะเน้นบางข้อความ ที่ข้าพเจ้าเห็นว่าสำคัญ(ส่วนความเห็นและข้อเสนอของข้าพเจ้านั้นอยู่ที่นี่ ) (ภาพจาก บทความเรื่อง กระแสฝรั่งเรียนรู้พระพุทธศาสนา ใน นสพ คมชัดลึก)เหตุผล ที่รัฐธรรมนูญไม่ควรระบุ ศาสนาประจำชาติ โดย เมตฺตานนฺโท ภิกฺขุ !!! ประเทศไทยมีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติโดยพฤตินัยอยู่แล้ว สิ่งที่เป็นที่ประจักษ์แก่ทั้งคนไทยและอาคันตุกะทุกคนที่มาเยือนประเทศ และเห็นได้ชัดเจนจากการที่ประเทศไทยมีการใช้ปี พ.ศ.อย่างเป็นทางการในการนับศักราช การมีวันหยุดประจำชาติเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลสำคัญในพระพุทธศาสนา โดยที่รัฐบาลไทยไม่เคยกำหนดให้มีวันหยุดราชการของศาสนาอื่นใดมาเลย ยิ่งไปกว่านั้นพระมหากษัตริย์ของราชอาณาจักรไทย ทุกพระองค์ทรงเป็นพุทธมามกะมาตลอด ไม่เคยปรากฏพระมหากษัตริย์องค์ใดของชาติที่นับถือศาสนาอื่นเลย และมหากษัตริย์ทุกพระองค์ทรงประพฤติธรรมตามทศพิธราชธรรมมาตลอด แม้จะทรงอุปถัมภ์ศาสนาอื่นด้วย แต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อยการระบุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญจะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ แก่ชาวพุทธ แต่จะทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดี และความน้อยเนื้อต่ำใจในหมู่ราษฎรที่ไม่นับถือพระพุทธศาสนา การที่ระบุว่า "พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" ย่อมทำให้เกิดการตีความไปได้หลายนัย เช่น ประเทศนี้หรือแผ่นดินนี้เป็นของชาวพุทธ ไม่ใช่ของผู้นับถือศาสนาอื่น หรือประชาชนที่ไม่ได้นับถือพุทธย่อมไม่มีสิทธิเท่าเทียมกับที่นับถือพุทธ หรือแผ่นดินนี้มีชาวพุทธเป็นใหญ่ ไม่ใช่ศาสนาอื่น หรือผู้ที่นับถือพุทธพึงได้รับความเกรงใจจากศาสนิกชนของศาสนาอื่นๆ หรือแม้กระทั่งความเป็นธรรมของประชาชนจะเอาของชาวพุทธสำคัญกว่าศาสนาอื่น และผลประโยชน์ของชาวพุทธย่อมมาก่อนศาสนาอื่น เป็นต้น เมื่อเกิดความคิดที่น้อยเนื้อต่ำใจเช่นนี้ คนไทยที่นับถือศาสนาอื่นจะเกิดความรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าตนเองคือประชาชนชั้นสองของประเทศ ส่วนประชาชนชั้นหนึ่งนั้นคือชาวพุทธ!!! แม้ว่าพระพุทธศาสนาจะได้ชื่อว่าเป็นศาสนาแห่งสันติและเมตตาธรรม แต่ประวัติศาสตร์ของโลกได้มีปรากฏการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นเสมอ คือ ครั้งใดก็ตามที่ความศรัทธาของชาวพุทธผนวกกับลัทธิชาตินิยม ผลที่ออกมาคือความรุนแรงทางสังคมเสมอไป ตัวอย่างประการแรกเกิดในแผ่นดินพระนารายณ์มหาราช ซึ่งเป็นยุคสมัยที่สยามมีความรุ่งเรืองด้วยศิลปะวิทยาสาขาต่างๆ มีกวีเอกแห่งชาติเกิดขึ้น การค้าและการติดต่อกับต่างประเทศได้รับความสำเร็จ มีชาวต่างชาติมารับราชการในแผ่นดินมากมายราชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์จบลงด้วยการยึดอำนาจของพระเพทราชา และขุนหลวงสรศักดิ์ลูกชาย ซึ่งรัฐประหารครั้งนั้นเกิดขึ้นจากความหวาดระแวงศาสนาโรมันคาทอลิก ที่เข้ามาเผยแพร่ในกรุงศรีอยุธยา นำโดยเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ซึ่งเป็นขุนนางไทย เชื้อสายกรีก รัฐประหารครั้งนั้นนำมาสู่การตัดความสัมพันธ์กับฝรั่งเศส การค้าระหว่างประเทศที่ยุติลงและความไม่ไว้วางใจชาวตะวันตกในหมู่คนไทยได้แพร่หลาย ประเทศสยามในขณะนั้นเป็นประเทศในเอเชียประเทศแรกที่กำลังเปิดรับความรู้และอารยธรรมจากยุโรป และมีศักยภาพที่จะเป็นผู้นำแห่งความก้าวหน้าในเอเชีย ก็ยุติลงไปโดยปริยายไปครั้งหนึ่ง!!! เหตุการณ์แบบเดียวกันเกิดขึ้นอีกในศตวรรษที่ 19 ในประเทศทิเบตภายใต้การปกครองของดาไล ลามะองค์ที่ 13 ผู้ที่มีนโยบายที่จะพัฒนาประเทศชาติให้ก้าวหน้าโดยการจัดตั้งกระทรวง ทบวง กรม แบบประเทศในยุโรป และการจัดสร้างโรงเรียนสอนภาษาตะวันตกโครงการพัฒนาชาตินี้ยุติลงเมื่อเจ้าอาวาสวัดใหญ่ 5 แห่งของทิเบต ออกโรงคัดค้าน เพราะกลัวว่าการสอนภาษาตะวันตกและการบริหารแบบฝรั่งจะทำให้ศาสนาอื่นจากยุโรปเข้ามาเผยแพร่ในทิเบต ชาวทิเบตจะเปลี่ยนไปเข้ารีตกันหมด การคัดค้านครั้งนี้เป็นผลทำให้ประเทศทิเบตล้าหลัง ทั้งทางวิชาการ การปกครอง จนเป็นเหตุให้จีนเข้ามายึดครองได้โดยง่ายในที่สุด (เหตุอย่างหนึ่งที่น่าจะทำให้ดาไล ลามะองค์ที่ 13 ประสงค์ที่จะพัฒนาประเทศในลักษณะเช่นนี้น่าจะมาจากตัวอย่างสำคัญคือประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ทรงโปรดฯให้มีการจัดตั้งกระทรวง ทบวง กรมแบบตะวันตก และทรงสนับสนุนให้คณะมิชชันนารีเข้ามาเปิดโรงเรียนในประเทศไทย)!!! ประวัติศาสตร์แบบเดียวกันนี้เองเกิดขึ้นในสหภาพพม่า เมื่อสี่สิบปี มาแล้วเมื่ออูนุ ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี พระภิกษุเลือดรักชาติออกโรงเดินขบวนต่อต้านนโยบาย เปิดกว้างให้สิทธิหมอสอนศาสนาเข้ามาเผยแพร่ในประเทศ ให้รัฐให้สิทธิในการนับถือศาสนาแก่ประชาชนเท่าเทียมกัน การประท้วงรุนแรงขึ้นทุกขณะจนรัฐบาลเข้าขั้นวิกฤต และนำมาสู่รัฐประหาร ที่นำโดยนายพลเนวิน เมื่อสี่สิบปีที่แล้วมานั้น พม่าเป็นประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นประเทศที่มีประชากรมีรายได้เฉลี่ยสูงสุดในแถบนี้ โดยมีการส่งออกข้าวเป็นอันดับหนึ่งของโลก นักการทูตของพม่าได้รับการยอมรับเป็นเลขาธิการใหญ่องค์การสหประชาชาติ แต่ปัจจุบันพม่าแม้ว่าจะอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติและป่าไม้ แต่ได้แปรสภาพเป็นประเทศที่มีประชากรยากจนที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประชาชนอดอยากและถูกขึ้นบัญชีว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนสูงสุดประเทศหนึ่งของโลก!!! สถานการณ์แบบเดียวกันอุบัติขึ้นอีกในศรีลังกา เมื่อชาวพุทธซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวสิงหล ที่นับถือพุทธต้องการที่จะให้เชื้อสายและศาสนาของตนเองเป็นใหญ่ จึงให้มีการระบุในรัฐธรรมนูญ ว่ามีภาษาสิงหลเป็นภาษาประจำชาติ ทันทีที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ประการใช้ กระบวนการพยัคฆ์ทมิฬ เกิดขึ้นทันที ชาวทมิฬส่วนใหญ่นั้นไม่นับถือพุทธแต่เป็นฮินดู พูดภาษาทมิฬ เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจว่าเผ่าพันธุ์ของตนเป็นประชากรชั้นสอง ประชากรชั้นหนึ่งเป็นสิงหลนับถือพุทธ การก่อการร้ายโดยกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬนั้นรุนแรง ฆ่าไม่เลือกไม่ว่าหญิงหรือเด็ก แม้ในปัจจุบันศรีลังกาอยู่ในภาวะสงครามกลางเมืองที่ประชาชนเสียชีวิตไปกว่าสามแสนคน และผู้บาดเจ็บอีกนับล้านคน!!! ประวัติศาสตร์แบบนี้กำลังจะซ้ำร้อยในประเทศไทยในปี พ.ศ.2550 นี้ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลทหารของไทยประกาศที่จะให้มีการลงประชามติในเดือนสิงหาคม เพื่อให้ประชาชนตัดสินว่าจะยอมรับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้หรือไม่ เพราะรัฐธรรมนูญทุกฉบับของราชอาณาจักรไทยมิเคยระบุเรื่องศาสนาประจำชาติเลย ตลอดระยะเวลา 25 ปีที่ผ่านมาได้เกิดความหวาดวิตก ที่ได้แพร่หลายไปในวงกว้างของชาวพุทธในประเทศไทยว่าศาสนาต่างชาติกำลังมีแผนการที่จะเข้ามากลืนพระพุทธศาสนา ในประเทศไทย โดยการเผยแผ่ของพระเถระผู้มีคนศรัทธารูปหนึ่งจนทำให้เกิดกระบวนการพิทักษ์พุทธฯ และแนวร่วมเพื่อต่อสู้ป้องกันพระพุทธศาสนา ในลักษณะแบบเดียวกับที่ได้เกิดในพม่าและศรีลังกา ในปีนี้ได้เกิดเอกสารแพร่ระบาดไปในหมู่ชาวพุทธให้กลัวภัยในศาสนาอิสลาม เพื่อประสานให้เกิดการขับเคลื่อนทางการเมืองให้บรรจุในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้สถานภาพพิเศษแก่พระพุทธศาสนา โดยอ้างว่าจะเป็นวิธีการที่จะป้องกันการคุกคามของศาสนาอื่น!!! ลัทธิชาตินิยมผนวกศรัทธา ในศาสนาได้แพร่ระบาดไปแล้วทั่วประเทศอย่างทั่วถึง และเป็นช่วงเวลาขาขึ้นที่กำลังได้เปรียบ เพราะหากร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ไม่บรรจุประโยคที่ระบุสถานภาพพิเศษ ของพระพุทธศาสนาแล้วไซร้ ก็เป็นที่เชื่อมั่นได้ว่าจะเกิดความวุ่นวาย ทางการเมือง จนเป็นเหตุให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ไม่ผ่านการยอมรับของประชาชน แต่หากกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญใจอ่อนยอมตามและบรรจุข้อความดังกล่าวลงไป ก็เป็นที่เชื่อมั่นได้ว่า ประวัติศาสตร์แบบที่เคยเกิดขึ้นในศรีลังกาก็จะซ้ำรอยในประเทศไทย และอาจรุนแรงยิ่งขึ้นเนื่องจากเงื่อนไขมิใช่อยู่ที่ภาษาประจำชาติแต่อยู่ที่ศาสนา อันเป็นเงื่อนไขทางสังคมที่รุนแรงกว่ามากหากเป็นเช่นนั้นโจรแบ่งแยกดินแดนก็จะมีเหตุผลที่ฟังขึ้น ในหมู่นานาชาติและประเทศอิสลาม ว่า พวกตนได้รับการคุกคามทางศาสนา และมีความจำเป็นที่จะต้องแบ่งแยกดินแดน เป็นรัฐอิสระ ประเทศไทยก็จะก้าวเข้าสู่ยุคแห่งสงครามก่อการร้ายอย่างไม่รู้จบ แม้จะกลับมาแก้รัฐธรรมนูญกันใหม่ก็ไม่อาจแก้ไขอะไรได้ !!! ชาวพุทธที่รักชาติทั้งหลายจงหยุดคิดสักครั้งเถิดว่า สิ่งที่ท่านกำลังทำอยู่นี้จะส่งผลอะไรบ้าง ขณะนี้ยังไม่สายเกินไปที่จะกลับใจพระพุทธเจ้าทรงเป็นศาสดาผู้ประกาศสันติธรรม และย่อมจะไม่ทรงเห็นชอบกับการที่จะให้สาวกของท่านเดือดร้อน เพราะทิฐิอันมาจากความยึดมั่นถือมั่นในศาสนากับลัทธิชาตินิยมเลย โลกนี้ร้อนเพราะไฟกิเลสมากเพียงพอแล้ว การระบุในรัฐธรรมนูญให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาตินั้น นอกจากจะไม่ยังประโยชน์ใดๆ ให้เกิดขึ้นแก่ชาวพุทธหรือพระพุทธศาสนาแล้ว ยังจะสร้างความบาดหมางให้เกิดขึ้นกับผู้อื่นและอาคันตุกะที่มาเยือนประเทศไทยอีกจำนวนมาก อย่าให้เหตุการณ์อัปยศที่เกิดขึ้นในอดีตกลับมาสร้างความปั่นป่วนในสังคมไทยอีกเลย ประเทศชาตินั้นบอบช้ำมามากพอแล้ว !!! ส่งท้าย โดยส่วนตัว "เห็นด้วย" กับแถลงการอันนี้ และจะขอยังไม่อภิปรายเพิ่ม เพราะนี่เป็นสิ่งทีข้าพเจ้าคิดอยู่แล้ว และไม่คิดว่าจะเขียนบทความได้ดีกว่านี้อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเป็นไปได้ที่ผู้ก่อการร้ายในการแบ่งแยกดินแดนจะใช้ประโยชน์จากข้อความ "ศาสนาประจำชาติ" นี้ สหายหลายท่านอาจจะคล้อยตาม หรือสหายบางท่านอาจจะไม่เห็นด้วย อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยเราก็ไม่ควรจะยึดถือเอาแต่ความคิดของเราแต่ฝ่ายเดียว ถ้าเรา "สนับสนุน" เราก็ควรจะเข้าใจ "เหตุผล" ของฝ่าย "คัดค้าน" ด้วย เพื่อเราจะได้มองปัญหาประเด็น "ศาสนาประจำชาติ" นี้ได้กว้างขวางมากขึ้น เผื่อจะหาทางออกที่ดี ร่วมกันได้ ขอให้ชาวพุทธทุกท่าน ก่อนจะตัดสินใจเชื่อ และอภิปรายในเรื่องใด โปรดได้คิดถึงหลักกาลามสูตร ไว้ด้วย [อ่าน "ตัดแปะ" เรื่องอื่น]
Create Date : 18 เมษายน 2550
25 comments
Last Update : 21 กรกฎาคม 2550 0:57:06 น.
Counter : 2402 Pageviews.
โดย: Alex on the rock IP: 203.146.80.148 18 เมษายน 2550 14:03:21 น.
โดย: pun@ru 18 เมษายน 2550 15:15:42 น.
โดย: JewNid 18 เมษายน 2550 21:37:19 น.
โดย: พระมหาประเสริฐ มนฺตเสวี IP: 202.28.111.17 21 เมษายน 2550 19:02:42 น.
โดย: พระมหาประเสริฐ มนฺตเ IP: 202.28.111.17 23 เมษายน 2550 2:06:25 น.
โดย: พระมหาประเสริฐ มนฺตเสวี IP: 202.28.111.17 23 เมษายน 2550 14:53:05 น.
โดย: พระมหาประเสริฐ มนฺตเสวี IP: 202.28.111.17 23 เมษายน 2550 14:56:10 น.
โดย: เทพ IP: 202.28.52.3 26 เมษายน 2550 11:46:02 น.
โดย: พระมหาประเสริฐ มนฺตเสวี IP: 202.28.111.17 30 เมษายน 2550 19:46:57 น.
โดย: คนมุสลิม IP: 125.27.130.75 4 พฤษภาคม 2550 16:11:32 น.
โดย: คนมุสลิม IP: 125.27.130.75 4 พฤษภาคม 2550 16:19:02 น.
โดย: คนมุสลิม IP: 125.27.130.75 4 พฤษภาคม 2550 16:20:43 น.
โดย: montasavi IP: 124.157.172.113 5 พฤษภาคม 2550 10:32:24 น.
โดย: pp IP: 58.9.185.104 5 พฤษภาคม 2550 18:01:31 น.
โดย: Leo IP: 202.142.204.1 15 มิถุนายน 2550 13:08:47 น.
โดย: เจียบ IP: 58.9.95.108 18 กรกฎาคม 2550 21:13:33 น.
โดย: ขุนแผน IP: 118.172.65.203 28 กุมภาพันธ์ 2551 9:43:14 น.
โดย: ปรีชา IP: 124.122.50.192 18 ตุลาคม 2552 17:12:56 น.
โดย: Louis Vuitton Sale IP: 94.23.252.21 2 สิงหาคม 2557 14:04:51 น.
แค่นี้ความแตกแยกในสังคมระดับชนชั้น ก็เยอะจะตายแล้ว ยังจะมีความแตกในศาสนาอีกเหรอ เราเป็นพุทธนะ แต่ถ้าพระสงฆ์ฟุ้งซ่านขนาดนี้ เราว่าเราก็อยากจะลาออกจากการเป็นชาวพุทธเหมือนกัน
ดูแลศาสนาของตัวเองให้คนที่อยู่ในศาสนาเป็นคนดี และตัวเองก็พิทักษ์รักษาศาสนาด้วยการมุ่งมั่นทำดี ดีกว่าจะมายึดถือลายลักษณ์อักษรอยู่เลย