1 2 3 4 5 6 7
8 9 10 11 12 13 14
15 16 17 18 19 20 21
22 23 24 25 26 27 28
29 30
"พุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ" : เหตุผลจากฝ่ายสนับสนุน (1)
[อ่าน "ตัดแปะ" เรื่องอื่น]
บอกกล่าวกันก่อน ก่อนอื่น ต้องขอหมายเหตุไว้เสียตรงนี้ว่า โดยส่วนตัวแล้ว ไม่เห็นด้วย กับการบัญญัติศาสนาประจำชาติ เลยไม่ว่าจะด้วยประการใด ๆ ทั้งสิ้น หากใครจะว่าประเทศอื่นยังมีเลย ข้าพเจ้าก็จะบอกว่าประเทศนั้น ๆ ก็ควรจะถอนออกด้วย ประเทศอื่นจะได้ไม่เอาไว้เป็นข้ออ้าง เพื่อเอาอย่าง แต่ว่า... เราควรฟังความเห็นหลาย ๆ ด้าน ดังนั้นในวันนี้ข้าพเจ้าจึงนำเอาเหตุผลของฝ่ายสนับสนุน ว่า จะต้องบัญญัติคำว่า "พุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ" มาให้อ่านกัน (แล้วโอกาสต่อไป จะนำเอาเหตุผลของฝ่ายที่ต่อต้าน มาเสนอด้วย) โปรดอ่านและวิจารณ์อย่างมีสติ ข้าพเจ้าขอยกบทความเรื่อง "การบัญญัติว่าพุทธ เป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญ : เหตุผลหลักที่ควรสำเหนียก" โดย พระราชปัญญาเมธี (สมชัย กุสลจิตฺโต) ซึ่งได้ตีพิมพ์ไปแล้วใน หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2550 โดยบทความนี้ข้าพเจ้าคัดลอก มาจาก website ของ ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย (The Buddhism Protection Center of Thailand) โดยไม่ได้ตัดตอน และ ไม่ได้ดัดแปลง แต่จะเน้นเป็นบางข้อความ(ที่สำคัญ) เท่านั้น พระราชปัญญาเมธี (สมชัย กุสลจิตฺโต) (ภาพจาก ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ที่อยู่ในหน้าบทความ )จะขึ้นป้ายชื่อป้าย ทำรั้วบ้านให้เป็นขอบเขต เป็นสัดเป็นส่วนแน่นอนตามสมัยนิยม ทั้งนี้ เพื่อความอยู่สุขสบายของสมาชิกในบ้านนี้ทุกคน คงไม่มีสมาชิกที่แท้จริงของบ้านคนใด จะออกมาคัดค้านไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน นอกจากพวกคนร้าย หรือคนไม่ประสงค์ดีต่อบ้านหลังนี้ !!! 1) อันรัฐธรรมนูญ นับเป็นกฎหมายมหาชน หรือแม่บทพิเศษ จึงย่อมต้องบรรจุประเด็น เป็นข้อเท็จจริง เช่น ประเทศไทยเป็นราชาอาณาจักรหนึ่งเดียวใครจะแบ่งแยกมิได้ และหลักการแห่งระบอบประชาธิปไตย เช่น เรื่องสิทธิ เสรีภาพ เรื่องหน้าที่ของคนไทย องค์การอิสระต่างๆ เช่น กกต. ป.ป.ช. ศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้น การจะเขียนว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ (ซึ่งขาดหายไปใน รธน.ของฉบับ คมช.) และเป็นองค์ศาสนูปถัมภกหรือแม้แต่ "พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" ก็ชอบในทางวิธีการทางกฎหมาย การไม่บัญญัติไว้ให้ชัดเจนเช่นนี้ถือว่าเป็นการไม่ซื่อตรง ต่อประวัติความเป็นมา แห่งพระราชาอาณาจักร หรือประเทศไทยนี้ ถ้าไม่มีเจตนาบิดเบี้ยวกัน ก็ถือว่าเป็นความเลินเล่อเผลอสติอย่างไม่น่าให้อภัยกันด้วย!!! 2) พระพุทธศาสนา เป็นยิ่งกว่า ศาสนาประจำชาติไทยเราเสียอีก เพราะประเทศนี้ ชาวพุทธ ได้มาก่อร่างสร้างไว้ พัฒนาให้เจริญรุ่งเรือง และรักษาให้อยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงคนรุ่นพวกเรา จึงเรียกอีกอย่างได้ว่า พระพุทธศาสนาเป็นทั้งศาสนาประจำชาติ พัฒนาทำชาติให้เจริญรุ่งเรืองและปกป้องคุ้มครองรักษาชาติ ควบคู่กับสถาบันพระมหากษัตริย์และประชาชนคนพุทธส่วนใหญ่ส่วนพี่น้องคนศาสนาอื่น นั้น แม้จะมีอุปการคุณแก่ชาติบ้านเมืองของเราอยู่บ้าง แต่ก็เป็นพลังส่วนน้อยและอพยพมาเพิ่มเติมกันในตอนหลัง เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น พระพุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาประจำชาติไทยของเรามาแต่เริ่มก่อตั้งประเทศ แล้ว ในกาลต่อมาพระมหากษัตริยาธิราชเกือบทุกๆ พระองค์ได้ทรงตรัสยืนเสมอว่า "พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" อย่างชัดเจน!!! 3) จากข้อเท็จจริงดังกล่าว พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติอยู่แล้ว โดยจารีตประเพณี ข้อนี้เป็นการรับรองโดยพระบรมราโชวาท พระราชนิพนธ์และพระราชหัตถเลขา ในพระเจ้าอยู่หัวหลายองค์ตามกาลตามเวลา ซึ่งในทรรศนะของผู้เขียนถือว่าเป็นกฎหมาย บทบัญญัติแห่งรัฐเหมือนกัน และเมื่อยังไม่มีการออกกฎหมายมายกเลิกหรือลบล้างกันเช่นนี้ ก็ถือว่ายังคงมีผลบังคับใช้อยู่ ดังนั้น การไม่ บัญญัติมาตรานี้ไว้ในรัฐธรรมนูญ คงต้องถือว่ารัฐธรรมนูญฉบับนั้นแสดงข้อความขัดกับข้อเท็จจริง ทางประวัติศาสตร์ และเป็นการขัดต่อกฎหมายจารีตประเพณีซึ่งเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์แม้กว่าตัวเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับใดๆ อีกด้วย!!! 4) การที่คณะราษฎรและ ส.ส.ร.รุ่นต่อๆ มาไม่ได้เขียนว่าพระพุทธเป็นศาสนาประจำชาติใน ธรน.ฉบับก่อนๆ นั้น ก็มิได้หมายความว่าเป็นเรื่องถูกต้อง หรือยุติกันเพียงนั้น เพราะมีหลายสิ่งที่ไม่เคยเขียนไว้ใน รธน.ฉบับก่อนๆ พวกเราก็ได้พยายามนำมาใส่ไว้มากมายหลาย เรื่อง เช่น เรื่องผู้ตรวจการรัฐสภา คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้น จะเป็นการดีมากถ้าพวกเราจะตรวจสอบกันอีกทีว่ามีเหตุผลหรือความจำเป็นอันใดหรือ? ที่ท่านๆ ทั้งหลายจึงไม่เขียนข้อความที่สำคัญมากอย่างนี้ไว้ในรัฐธรรมนูญ ผู้เขียนคิดว่าน่าจะมีเหตุผลหรือความจำเป็นหลักๆ อยู่สัก 2 ประการคือ หนึ่ง ด้วยความเกรงใจ กรรมการคณะราษฎรที่นับถือศาสนาอื่น (อิสลาม) และสองอาจจะเป็นไปได้ว่าคณะราษฎรที่เปลี่ยนการปกครองแผ่นดินครั้งนั้น อาจจะมีหลายท่านตั้งใจจะล้มระบอบกษัตริย์เสียสิ้นเชิง เมื่อทำไม่ได้ก็พยายามลดทอนพลังของสถาบันโดยตรงและสถาบันพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นสถาบันคอยสนับสนุนส่งเสริมระบอบพระมหากษัตริย์ จึงเป็นเหตุให้เกิดมีการบอนไซสถาบันพระพุทธศาสนาเรื่อยมา โดยการไม่บัญญัติยกย่องพระพุทธศาสนาไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับแรกๆ และจำกัดสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้งของพระภิกษุ สามเณร และแม่ชีด้วย !!! 5) การบัญญัติไว้จะเป็นการกีดกันบุคคลศาสนา อื่น หรือแบ่งแยก หรือก่อให้เกิดความขัดแย้ง กันในทางศาสนาหรือไม่? ข้อนี้ขอตอบว่า ไม่มี แน่นอน เพราะโดยธรรมชาติของพระพุทธศาสนามีความเป็นสากล ไม่คับแคบแบ่งแยกอยู่แล้ว ไม่ว่าด้านอุดมการณ์ เนื้อหาแห่งพระธรรมคำสั่งสอน ทัศนคติ หรือการบริหารการจัดการ ตลอดเวลากว่า 2500 ปีที่ผ่านมา แม้ชาวพุทธจะได้ครองความเป็นใหญ่ในบางกาลเวลา แต่ก็ไม่เคยเบียดเบียน หรือทำสงครามในนามศาสนา ให้ใครต้องเสียเลือดแม้เพียงสักหยดเดียวในนามศาสนาเลย ดังการรับรองของท่านศาสตราจารย์ ริส เดวิดส์ อดีตปฐมนายกสมาคมบาลีปกรณ์ หรือ Pali Text Society ชาวอังกฤษ (ดูในพระพุทธเจ้าในสายตานักปราชญ์โลก ของผู้เขียน น.63) แต่ในทางตรงกันข้าม พระพุทธศาสนาต่างหากที่ถูกศาสนาอื่นเบียดเบียนบีฑาตลอดเวลา จนถึงกับในหลายประเทศ ได้สาบสูญ เช่น อินเดีย อัฟกานิสถาน และอินโดนีเซีย ดังที่พวกเราทราบกัน!!! 6) การบัญญัติพุทธเป็นศาสนาประชาตินี้ จึงเป็นประเด็นที่ชาวพุทธไม่ว่าพระภิกษุ สามเณร อุบาสก และอุบาสิกาทุกคน ผู้ที่ต้องเห็นพ้องต้องกัน และพากเพียรพยายามทำให้เกิดเป็นมรรคเป็นผลจริง เรียกว่าถ้าเป็นชาวพุทธแล้วจะเห็นเป็นอย่างอื่นจากประเด็นนี้ไม่ได้ ถ้าเกิดมีขึ้นมาบ้างก็คงต้องถือว่าเป็นพวกพระเทวทัต แห่งยุคสมัย มีความจงใจในการบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศชาติ สถาบันพระพุทธศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแน่แท้ หากเมื่อ ส.ส.ร.และ สนช.ไม่กล้าเขียนข้อความนี้ลงใน รธน.ก็จะอาจเข้าข่ายข้อความข้างต้นนั้นได้เช่นกัน ทั้งๆ ที่เรื่องอย่างนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา เคยตรัสยืนยัน มาหลายครั้งแล้ว ล่าสุด ตรัสต่อหน้าองค์สันตะปาปาจอห์นปอล ที่ 2 เมื่อคราวเสด็จมาเยือนประเทศไทย ครั้งล่าสุด (10 พ.ค.2527) ว่า"ประชาชนคนไทยล้วนเป็นศาสนิกที่ดี แต่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาประจำชาติ" และผลการสำรวจความคิดเห็นของสวนดุสิตโพล เมื่อไม่นานนักมานี้ ผลปรากฏว่า 70.94% เห็นว่าควรระบุ และมีเพียง 27.18% ไม่เห็นด้วยในจำนวนนี้กลุ่มชาวมุสลิมเห็นด้วยถึง 44.86% (เห็นว่าไม่ควรระบุ 40% ไม่ออกเสียง 05.14% ส่วนชาวคริสต์มีตัวเลขเป็น 43.29,51.90 และ 04.81% ตามลำดับ ส่วนศาสนาอื่นๆ เป็น 61.90 ต่อ 38.10%) !!! 7) มาถึงเวลานี้ บ้านเมืองไทยกำลังประสบปัญหา และวิกฤตการณ์ค่อนข้างรุนแรงรอบด้านไม่ว่าปัญหาการก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหาวิกฤตการเมืองการปกครอง ที่คอร์รัปชั่น การซื้อสิทธิขายเสียง การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งพรรคแบ่งพวก ปัญหาการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ตกต่ำ และวิกฤตการณ์ทางการศึกษา เป็นต้น แม้แต่การปฏิรูปการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งยังหาสมรรถนะ-ความมั่นคงไม่ได้ ระบอบประชาธิปไตย มิใช่รัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญมิใช่ประชาธิปไตย เพราะถ้ารัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตย พวกเราคงมีประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบตั้งนานแล้ว และเป็นมากกว่าประเทศไหนๆ ด้วย เพราะเรามีการเขียนรัฐธรรมนูญกันถึง 16-17 ฉบับแล้ว แต่เรายังไม่มีประชาธิปไตยจริงกันเลยตลอดเวลา 75 ปีที่ผ่านมา จึงดูเหมือนว่า พวกเราไม่มีแหล่งพลังอย่างอื่นมาช่วยเหลือกันหนักหนาสากรรจ์แล้ว คงถึงเวลานี้แล้วที่พวกเราจะอัญเชิญพระพุทธศาสนามาเป็นอุดมการณ์แห่งชาติโดยตราไว้ใน รธน.เพื่อจะได้ออกจากปัญหารุนแรงเหล่านี้เสียที ดังกรณีพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่ได้ทูลอาราธนาอัญเชิญพระพุทธศาสนามาเป็นขวัญ-กำลังใจทหาร จนสามารถตีกองทัพพม่าให้แตกกระเจิงไปกู้กรุงศรีอยุธยาได้สำเร็จดังนั้น เห็นทีพวกเราจะต้องรีบเร่ง บัญญัติคำว่า "พุทธฯเป็นศาสนาประจำชาติ" ใน รธน.ฉบับใหม่ ดีร้ายพลังแห่งพระพุทธานุภาพนั้น อาจช่วยปกป้องมิให้รัฐธรรมนูญฉบับต่อไปถูกทำลายลงได้ก็ได้นะ !!! 8) ส่วนปัญหา เรื่องความไม่รู้ ไม่เข้าใจพระพุทธศาสนา และไม่ปฏิบัติธรรมจริงจังของชาวพุทธนั้น เมื่อบัญญัติคำนี้ไว้แล้ว จะมีอะไรดีขึ้นหรือไม่ ข้อนี้ขอเฉลยว่า เพราะไม่มีการรับรองพระพุทธศาสนาอย่างเป็นทางการนี่เอง เราจึงไม่มีการสอนและปฏิบัติตามพระพุทธศาสนากันอย่างจริงจัง ทั้งในบ้าน ในหน่วยราชการ และสถาบันการศึกษา สื่อวิทยุเราก็มีตั้งราว 500-600 สถานี และโทรทัศน์กว่า 10 แห่ง ฝ่ายองค์กรพุทธศาสนาในประเทศ และพระเจ้าพระสงฆ์ก็เข้าไม่ถึง เพราะไม่มีทุน และแรงสนับสนุนจากภาครัฐอย่างจริงจัง พร้อมกันนี้ นโยบายของรัฐหลายประการแม้ขัดแย้งหรือตรงกันข้ามกับศีลธรรมอันดีงาม เช่น ทำเหล้าสาโทของชาวบ้านให้ถูกกฎหมาย ขุดหวยใต้ดินขึ้นบนดิน เป็นต้นบางเรื่องแม้ยังไม่รับรองด้วยกฎหมาย รัฐก็ทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เช่น เรื่องบ่อน เรื่องซ่อง เรื่องการเรียกรับสินบน ฯลฯ จนภาพลักษณ์ของประเทศไทยเสียหายอย่างมากต่อสายตาของสื่อต่างประเทศ เมื่อเอาพระพุทธศานาเป็นศาสนาประจำชาติ ชาวพุทธทั้งหลายมีกำลังใจแล้วก็จะพากันส่งเสริมการศึกษา ปฏิบัติธรรม เผยแผ่ และพิทักษ์รักษาพระศาสนากันอย่างจริงจังส่วนภาครัฐก็จะระมัดระวังในเรื่องการออกนโยบายเกี่ยวกับศึกษา บริหารจัดการ และกวดขันเรื่องนี้อย่างจริงจัง เมื่อมีการกระทำอย่างนี้ศีลธรรมของคนไทยไม่กระเตื้องบ้างก็ให้มันรู้ไป เรื่องนี้กุญแจสำคัญอยู่ที่พวกเราชาวไทยนี่แหละจะเอาจริงกันแค่ไหนเท่านั้น อย่าไปโทษปี่โทษกลองเลย?!!! 9) เรื่องการยกย่องพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาตินี้ เป็นทั้งเรื่องเอกลักษณ์-อัตลักษณ์ เป็นทั้งความมั่นคงของประเทศไทย ซึ่งมีประชาชนราว 94.2% เป็นชาวพุทธ มีพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันเป็นพุทธมามกะ องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก (พสล.) มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศไทย เรามีมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาอยู่ 2 แห่ง คือ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหามกุฎราชวิทยาลัย และมีสาขาอยู่ทั่วประเทศ และบางแห่งในต่างประเทศ และล่าสุด สหประชาชาติยอมวันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญสากล และเมื่อตัวแทนชาวพุทธทั่วโลกประชุมกันในกรุงเทพฯ เพื่อเฉลิมฉลองกันถึง 2-3 ครั้งติดต่อกันมานี้ ก็มีมติเห็นร่วมกันยกให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาแห่งโลก ข้อนี้อาจมีคำถามตามมาว่าเมื่อชาวต่างประเทศยกย่อง ประเทศไทยว่าเป็นดินแดนแห่งผ้ากาสาวพัสตร์ (The Land of Yellow Robe) แต่เป็นว่า สนช.,ส.ส.ร.คนไทยแท้ๆ กลับไม่รับรองกันเสียฉิบ มันอนาถสามตลบเลยจริงไหม!!! 10) ในการรณรงค์ให้มีการบัญญัติว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ถือว่าเป็นปัญหาเรื่องความมั่นคง หรือเป็นเรื่องความเหมาะสมของแต่ละประเทศ เมื่อพิจารณาว่าเป็นความจำเป็นแล้ว ก็ต้องรีบทำเลย ไม่ต้องรีรอหรือไปเกรงอกเกรงใจของคนที่นับถือศาสนาอื่นใด ในการเลือกสรรกันจัดกันเองของแต่ละประเทศนี้ เราก็มีตัวอย่างอยู่หลายประเทศ ดังเช่น ประเทศกัมพูชา เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงของเรานี้แม้มีพลเมืองเป็นชาวพุทธน้อยกว่าประเทศของเราเสียอีก (ดูจะราว 85% เศษ) ก็บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญว่า "พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" ได้ และพระภิกษุ-สามเณร มีสิทธิในการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร แม้แต่ประเทศมาเลเซียที่มีพลเมืองเป็นมุสลิมอยู่ 50% เศษๆ ก็บัญญัติว่า ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำสหพันธรัฐ (มาตรา 3) เรื่องนี้เป็นเรื่องการรักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ พระศาสนา และพระมหากษัตริย์ของเรา เป็นเรื่องของคนไทยส่วนใหญ่ที่กำลังรักษาบ้านเมืองของเรา จะขึ้นป้ายชื่อป้าย ทำรั้วบ้านให้เป็นขอบเขต เป็นสัดเป็นส่วนแน่นอนตามสมัยนิยม ทั้งนี้ เพื่อความอยู่สุขสบายของสมาชิกในบ้านนี้ทุกคน คงไม่มีสมาชิกที่แท้จริงของบ้านคนใด จะออกมาคัดค้านไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน นอกจากพวกคนร้าย หรือคนไม่ประสงค์ดีต่อบ้านหลังนี้ หรือคนทรยศที่แฝงตัวเข้ามา อยู่ปะปนกับพวกเราเพื่อลักขโมยสมบัติ มาถึงเวลานี้แล้วมีเหตุผล และความจำเป็นที่อย่างที่สุดแล้วที่ต้องบัญญัติคำว่า "พุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ" เสียที"ติฏฐตุ จิรัง พุทธัสสะ สาสนัง" !!! ส่งท้าย โดยส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับแถลงการอันนี้ แต่ว่าจะขอยังไม่อภิปราย จะผลัดไปก่อน เพราะเดี๋ยวสหายความคิดจะบอกว่า ข้าพเจ้าเอาเรื่องปวดหัวมายัดเยียดให้อีกแล้ว สหายหลายท่านอาจจะคล้อยตาม หรือสหายบางท่านอาจจะไม่เห็นด้วย (เช่นเดียวกับข้าพเจ้า) ไม่อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยเราไม่ควรจะยึดแต่ความคิดเรา เราควรจะเข้าใจเหตุผลของฝ่ายสนับสนุนด้วย เพื่อจะได้มองปัญหาประเด็น "ศาสนาประจำชาติ" นี้ได้กว้างขวางมากขึ้นอ เผื่อจะหาทางออกร่วมกันได้ แล้วข้าพเจ้าจำนำเสนอเหตุผลจากฝ่ายสนับสนุน จากผู้เขียนท่านอื่นอีก และจะนำเหตุผลจากฝ่ายคัดค้านมาให้อ่านกันด้วย ถ้าข้าพเจ้ามีเวลาพอ จะเขียนบทความของข้าพเจ้าเองในส่วนนี้ต่างหาก [อ่าน "ตัดแปะ" เรื่องอื่น]
Create Date : 17 เมษายน 2550
5 comments
Last Update : 29 เมษายน 2550 14:12:56 น.
Counter : 2196 Pageviews.
โดย: ดีดีชั่วชั่ว IP: 58.8.115.245 18 เมษายน 2550 11:16:06 น.
โดย: พระมหาประเสริฐ มนฺตเสวี IP: 202.28.111.17 21 เมษายน 2550 19:27:51 น.
โดย: นอกกรอบ-ตกขอบ IP: 58.8.116.9 25 เมษายน 2550 9:32:15 น.
โดย: ดิน IP: 61.19.65.196 16 สิงหาคม 2550 21:13:38 น.
โดย: รักคนข้างเดียว IP: 125.27.116.255 23 พฤศจิกายน 2551 13:04:13 น.
ปล่อยวางพุทธศาสนาไว้หรือฝืนดันทุรังเชียร์จนตกเหวเพราะคนวงในกันเองนี่แหละตัวดีมีอัตตาอัดแน่นทั้งนั้น
ความคิดสติปัญญากมลสันดานกลายพันธุ์นักการเมือง
รู้อยู่ว่าบ้านเมืองยามนี้มองไปทางไหนมันแตกแยกแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นเห็นแก่ตัว ถ้วนทั่ว ทุกสาขาอาชีพ ทุกสี
หรือแบ่งรุ่น แบ่งเหล่า แบ่งขั้วระบบอุปถัมภ์เส้นสายใคร
วันสงกรานต์เห็นพ่อใหญ่จิ๋วยืนอมยิ้มที่ริมโขง ซดน้ำยา
ขนมจีน-ข้าวปุ้นกับไข่ต้มยางมะตูมแล้ว อิจฉาท่านจริงๆ
ไม่น่าขยิบตาให้น้องๆออกมาเปลืองตัวเหนื่อยรากเลือด
อยู่ทุกวันนี้แถมมีข่าวปล่อยว่าไปรับงานจ๊อบล๊อบบี้ยิสต์
ทางอังกฤษให้มาป่วน คมช. กับรัฐบาลอีก ชนะเลิศครับ