เสนียดประจำบ้าน! วันนี้จะมาพูดถึงหนังสือ... พูดถึงหนังสือแล้วทำไมถึงจั่วหัวว่า “เสนียด” เพราะมันเป็นหนังสือเชิดชูคนหน้าเหลี่ยมชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” นั่นปะไร ขึ้นแบบนี้สงสัยมีคนคิดในใจแล้วแน่ๆ ว่าไอ้นี่เป็นสาวกพันธมิตรกะทิสุริยะใสแหงๆ... โอเคล่ะ.. ตอนนี้ก็จะพยายามทำใจให้เป็นกลาง ระหว่างอ่านหนังสือเล่มนี้ “ชีวิตทักษิณ ฉบับการ์ตูน” เรื่องราวในหนังสือก็ไม่ได้ต่างอะไรมากมายจากหนังสือเกี่ยวกับอดีตนายกรัฐมนตรี (ผู้เป็นพลเรือนที่อยู่ในตำแหน่งยาวนานที่สุด ตามที่ในหนังสืออ้าง) คนที่ 23 ของประเทศไทยอย่าง “ตาดูดาว เท้าติดดิน” หรืออะไรทำนองนั้น เพราะคนเขียนก็ไปหาข้อมูลมาจากหนังสือพวกนั้น แล้วก็มาถอดความเรียบเรียงออกมาเป็นการ์ตูนที่ลายเส้นก็ไม่ได้ดีอะไรมากมายนัก ด้วยจุดประสงค์ 5 ข้อในคำนำ 1. เพื่อถ่ายทอดชีวิตผู้นำประเทศในแต่ละด้านตั้งแต่เด็ก นักเรียน ทำงาน และเส้นทางการเมืองแต่ละช่วงว่าผ่านอะไรมาบ้าง 2. ถ่ายทอดแนวคิดสำคัญๆ ของพันตำรวจโทดอกเตอร์ทักษิณ ชินวัตร ให้เยาวชนได้เข้าใจได้ถูกต้องจากข้อมูลปฐมภูมิ แทนการรับรู้จากข่าวและเสียงเล่าลือ 3. ถ่ายทอดชีวิตการต่อสู้ให้เยาวชนได้รับรู้และเป็นต้นแบบสำคัญ เพื่อให้เข้าใจถึงเบื้องหลังความสำเร็จที่แลกมาด้วยหยาดเหงื่อและแรงงาน ใช่โรยด้วยดอกกุหลาบไม่ 4. เมื่อเข้ามาบริหารบ้านเมืองตลอดที่ผ่านมาได้สร่างการเปลี่ยนแปลงและวางรากฐานอะไรให้ประเทศไทย 5. สิ่งที่ผู้นำท่านนี้อยากเห็นประเทศไทยและเยาวชนไทยในยุคหน้าเป็นอย่างไร เมื่อลองนั่งอ่านดู.. รวมถึงชื่อหนังสือและสื่อต่างๆที่คนเขียนได้ไปค้นคว้าหาข้อมูลมา ก็เป็นแค่ข้อมูลด้านเดียวอย่างที่คิดเอาไว้ตั้งแต่เห็นหน้าปกและสกรีนรอบแรกจากร้านหนังสือ (ก่อนที่แม่ -- บุพการีผู้เป็นสาวกคนหน้าเหลี่ยม – จะไปซื้อมาจากศูนย์หนังสือจุฬา) แม้ว่าจะอ้างชื่อหนังสือพิมพ์ต่างๆ รวมไปถึงหนังสือพิมพ์มติชนที่มุ่งสาปส่งคนหน้าเหลี่ยมอย่างสุดตัว (และแน่นอน แม่เราก็สาปส่งมติชนไปแล้วเรียบร้อย) แต่ว่าข้อมูลในด้านที่ค้านและเป็นเนกาตีฟต่อตัวทักษิณ ก็ถูกนำมาพูดถึงอย่างผิวเผิน หนังสือเริ่มบทแรกด้วยเรื่องที่ทักษิณประกาศเว้นวรรคด้วยน้ำตาคลอเบ้าออกทีวี ว่าถึงชนะเลือกตั้งก็ไม่ขอเป็นนายกรัฐมนตรี แม้ว่าจะได้คะแนนถึงสิบหกล้านเสียงก็ตาม จากนั้นก็เฟดออกมาพูดถึงครอบครัวหนึ่งที่มีคนรุ่นปู่ย่าเป็นสาวกทักษิณเต็มตัว นั่งคุยกับลูกหลาน (โดยมีคุณปู่ของบ้านเป็นคนที่ติดตามข่าวการเมืองอย่างสุดชีวิต เพราะรักทักษิณสุดหัวใจ) คุณปู่อ้างเหมือนที่ทักษิณเคยอ้างว่าการยุบสภาเมื่อ 24 กุมภาพันธ์เป็นการคืนอำนาจทางประชาธิปไตยให้แก่ประชาชน เหมือนที่ฝ่ายสนับสนุนเป็นคนอ้างเมื่อนานมาแล้ว แล้วก็นั่งคุยถึงที่มาของเสียงโนโหวตร่วมสิบล้านเสียง ด้วยน้ำเสียงดูถูกดูแคลนว่าโนโหวตเหล่านั้นก็เป็นแค่พวกแฟนพันธุ์แท้พันธมิตรกับฝ่ายค้าน และเป็นเพียงคนที่ไม่มีทางเลือก เพราะผู้สมัครน้อย... ไม่เห็นพูดว่า โนโหวตเพราะไม่เอาเหลี่ยม ทั้งที่เหตุผลนี้น่าจะมีมากกว่าไอ้เหตุผลที่ยกมาอ้างซะอีก หลังจากนั้นคุณปู่ก็ยกย่องเชิดชูทักษิณให้ลูกชายตัวเองฟัง ว่าทักษิณถอยแล้วถอยอีกตั้งไม่รู้กี่ก้าว เพราะไม่อยากให้ประเทศบอบช้ำ จนกระทั่งลูกชายหัวอ่อนก็พูดว่า ทักษิณเป็น “วีรบุรุษประชาธิปไตย” พูดออกมาได้ อ่านแล้วอยากจะอ้วก วีรบุรุษประชาธิปไตย? คนคนนี้ไม่รู้จักประชาธิปไตยจริงๆด้วยซ้ำ... มีอย่างที่ไหนด่าเสียงข้างน้อยสาดเสียเทเสียว่าไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ อย่ามากำแหง อย่ามาเสนอ อย่ามาอย่างงู้นอย่างงี้ ทั้งที่ปรัชญาที่แท้จริงของประชาธิปไตยคือการถือเอาเสียงส่วนมาก แต่รับฟังเสียงส่วนน้อยด้วยต่างหาก.. ส่วนการถือเสียงส่วนมากแล้วละเลยเสียงส่วนน้อยเหมือนที่ทักษิณทำ แบบนั้นเค้าเรียกเผด็จการอำนาจนิยมโว้ย!! หลังจากนั้น หลานปู่ก็ตื่นนอน แล้วก็มาถามปู่เรื่องที่ว่า ลุงทักษิณเป็นคนดีแล้วทำไมถึงถูกประท้วงล่ะครับ (ต๊ายยย... เด็กนี่โดนล้างสมอง) เมื่อปู่พูดถึงเรื่องหุ้น สะใภ้ของปู่ (ก็แม่เด็กนั่นแหละ) ก็บอกว่ามันเรื่องของลูกท่าน ไม่เห็นเกี่ยวกับท่านตรงไหน ไม่เกี่ยว?? เชื่อตายล่ะ - -* ปู่ก็พล่ามต่อไปเรื่องที่ว่ากฎหมายหุ้นไม่เสียภาษีออกมาตั้งแต่ปี 2534 สิงคโปร์,มาเลเซีย บลาๆๆ ก็ยกเว้นทั้งนั้น.. แล้วก็พูดชื่นชมแบบไม่อ้อมว่า ทักษิณมีความพร้อม มีความสามารถ ก็เอามาพัฒนาชาติให้รุ่งเรือง ไม่ตัดช่องน้อยแต่พอตัวไปใช้ชีวิตร่ำรวยสุขสบาย (แต่ก็ใช่ว่ารวยแล้วจะไม่โกงไม่กินนะจ๊ะ ขอบอกก) เมื่อหลานปู่ถามว่าทำไมลุงทักษิณรวย... เรื่องราวก็เป็นเหมือนกับหนังสือประมาณ “ตาดูดาว เท้าติดดิน” นั่นแหละ.. ตรงนี้จะขอข้ามไปละกัน เพราะเป็นเรื่องตั้งแต่เด็ก การล้มลุกคลุกคลานฟันฝ่าในวงการธุรกิจ ที่ก็น่าจะได้ยินกันมามากมายจนรำคาญหูจะแย่ อื่มม.. จะข้ามไปซะทีเดียวก็ไม่ได้.. เพราะมีตรงนึงอ่านแล้วอยากจะขำตาย “..... กระทั่งมีการยุบสภาในปี 2519 ผม(เหลี่ยม)จึงมีโอกาสไปสัมผัสอีกมิติ คือผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแท้จริง “ผมถูกย้ายไปรับตำแหน่งรองสารวัตรปราบปรามสถานีตำรวจนครบาลพระราชวัง แต่ด้วยการทำหน้าที่ของผมที่เถรตรงเกินไป ทำให้ไปเจอตอกับสองคดีใหญ่ที่เกี่ยวพันกับตำรวจ คือคดีขายปืนเถื่อน กับคดีเมียน้อยตำรวจเบ่งขายเหล้าเกินเวลาที่กำหนด “เมื่อจับทั้งสองคดี ทำให้มีผู้ใหญ่ได้ออกมาเสนอแนะและตักเตือนว่าผมตรงเกินไปไม่เหมาะกับโรงพัก ว่าที่พ่อตาของผมคือพลตำรวจโทเสมอ ดามาพงศ์ แนะนำให้ผมไปเรียนหนังสือต่อ และไปสายตำรวจวิชาการจะเหมาะสมกว่า” อื่ม... น่าเชื่อจริงๆ หลังจากพูดเรื่องธุรกิจ ถึงมาพูดเรื่องสนามการเมือง “ผมเป็นคนมีความทะเยอทะยาน แต่เป็นความทะเยอทะยานที่มีขีดจำกัด และมีคุณธรรมเป็นเครื่องกำกับนำทาง” พูดออกมาได้ -*- เรื่องเริ่มจากตอนที่พลตรีจำลอง ศรีเมืองมาชวนให้ทักษิณไปเป็นรมว.ต่างประเทศ และโดนอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วยข้อหาไม่เหมาะกับตำแหน่งรัฐมนตรีเพราะรับสัมปทานจากรัฐ หลังจากนั้นไม่นาน ถึงได้มาเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม จนถึงยุคพรรคตกต่ำ แล้วก็ออกไปตั้งพรรคไทยรักไทย พร้อมกับการจิกกัดผู้ที่ใช้คำว่า “ประชานิยม” กับนโยบายของรัฐบาลทักษิณว่าไม่ได้รู้อะไรจริง แต่หนังสือเล่มนี้ไม่ได้บอกว่าชนะเลือกตั้งเข้ามาได้เพราะว่าเอาเงินไปซื้ออดีตสส.ประจำพื้นที่แบบยกจังหวัด ทำให้ได้คะแนนเสียงถล่มทลายเมื่อปี 2544 เลยแม้แต่น้อย... ยกความดีความชอบให้กับนโยบาย “ประชานิยม” อย่างสุดโต่ง หลังจากนั้น เนื้อเรื่องเริ่มเหมือนกับโฆษณาล้างสมองทางทีวี ด้วยชาวบ้านที่สำนึกในบุญคุณของทักษิณอย่างสุดชีวิต และคำพูดเก๋ๆ ว่าเป็นนโยบายที่เสริมสร้างความเท่าเทียมกันให้ประชาชน.. ทั้งที่ความเหลื่อมล้ำของทุนนิยมก็ยังปรากฏอยู่ รวมถึงการใช้คำว่า moral hazard อ้างว่าหนี้จากกองทุนหมู่บ้านไม่มีทางเป็น NPL หลังจากโฆษณาล้างสมองแล้วก็มาพูดถึงเรื่องของนโยบายล้างบางยาเสพติด ที่อ้างว่าทั้งมาเฟีย เจ้าพ่อ ยาเสพติด หายไปมาก... หายไปจริง หรือแค่มุดลงไปใต้ดินกันแน่? ภาพตัดกลับมาที่ครอบครัวเดิม... คุณปู่ปิดท้ายหลังจากเล่าเรื่องของลุงทักษิณที่รักของลุง ว่านี่คือการแสดงออกถึงความต้องการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมระหว่างคนรวยกับคนจน ทั้งที่จริงๆแล้วความเหลื่อมล้ำก็ไม่ได้ต่างจากเดิมเท่าไหร่นัก เพียงแต่ว่ามัน “ดูเหมือน” จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เท่านั้นเอง... มันไม่มีทางลดความเหลื่อมล้ำแบบนี้ได้หรอก ถ้าระบบของประเทศยังเป็นแบบนี้อยู่.. ความเป็นทุนนิยมมันยังถ่างช่องว่างนี้ให้กว้างออกอยู่เรื่อยๆ และทักษิณพยายามปิดบังไม่ให้คนเห็นความจริงข้อนี้ต่างหาก บทสุดท้ายของหนังสือถึงได้วกมาเข้าเรื่องการรัฐประหาร ปู่ก็ยังคงวิพากษ์แนวทางแสดงความไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร ด้วยเหตุผลเสร่อๆ อย่างที่พูดว่า “ถ้าใครไม่อยากให้ทักษิณกลับมาเป็นนายกอีก ก็แค่รณรงค์ไม่ให้ประชาชนไปเลือกพรรคไทยรักไทยมากๆเท่านั้นเอง” อุดมการณ์ หรือจะสู้ อำนาจเงิน ในยุคที่คนจนยังมีมาก กระจุกตัวอยู่ในเขตพื้นที่สำคัญ และมีผลได้ผลเสียอย่างมากต่อผลการเลือกตั้งแบบนี้? คำพูดที่คนเขียนยัดใส่ปากตัวละครคุณปู่ของเรื่องจึงเป็นคำพูดที่สิ้นคิดสิ้นดี! นอกจากนี้ยังยัดคำพูดแก้ต่างเรื่องหุ้นชินคอร์ปว่าจริงๆแล้วทักษิณไม่อยากขายให้กับเทมาเส็กของสิงคโปร์ เพราะเป็นธุรกิจที่สร้างมากับมือและหวงแหนมาก ประกอบกับได้รับคำแนะนำจากผู้ที่เคารพว่า หากยังดำเนินการธุรกิจต่อไปพร้อมกับเล่นการเมือง ภาพของคนที่ได้ผลประโยชน์ทับซ้อนก็จะทาบติดตัวไปเรื่อยๆ อีกทั้งลูกสามคนก็ยังมีวุฒิภาวะไม่เพียงพอที่จะดูแลธุรกิจ... ทั้งที่ต้นเรื่องยังบอกอยู่เลยว่า เป็นเรื่องของลูก ไม่เกี่ยวกับพ่อ!! เชื่อตายล่ะ ปิดท้ายด้วยการที่คนเขียนยัดคำพูดให้ตัวละครคุณปู่ ออกอาการเกรี้ยวกราด (แบบเงียบๆ) ด่ากราดถึงชนชั้นกลางเช่น หมอ อาจารย์มหาวิทยาลัย ว่าเป็นพวกใช้ชีวิตบนพรมแดงมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยลำบากมาก่อนจบดอกเตอร์ อยู่แต่เมืองกรุง และคนพวกนี้ก็ทนไม่ได้ที่จะเห็นคนจนเริ่มมีสิทธิทัดเทียมกับตัวเอง หาว่าคนเหล่านี้รับไม่ได้ที่ถูกลดทอนอำนาจทางสังคมของตัวเองลงไป รวมไปถึงการเหยียดอย่างอ้อมๆว่า คนที่ไม่ชอบทักษิณก็ไม่ต่างอะไรกับพวกมาเฟีย เจ้ามือหวยใต้ดิน เจ้าของบ่อนเถื่อน คนค้าของหนีภาษี ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบาย ซะงั้น!! และในที่สุดก็ปิดท้ายว่า “วีรบุรุษคนจนคนนี้คงไม่ทิ้งคนจนแน่! แล้ววันหน้าเขาจะกลับมา” พร้อมกับภาพของทักษิณฉายอยู่บนท้องฟ้า เหลียวหลังมายิ้มแป้นแล้น ราวกับเมสสิอาห์มาโปรด!! เป็นอันว่าจบเรื่องราวของหนังสือเสนียดเล่มนี้.. ไม่ต้องไปหาซื้อมาอ่านหรอก เล่าให้ฟังหมดแล้ว ในฐานะชนชั้นกลางคนหนึ่ง.. ไม่ได้บอกว่านโยบายของทักษิณมันไม่ดี.. เพียงแต่ว่ามันไม่ได้ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างที่อ้างเลยแม้แต่น้อย! ภาษีมรดก ภาษีที่ดิน ภาษีทรัพย์สิน คือสิ่งที่รัฐบาลสามารถแชร์ความร่ำรวยจากคนที่รวยล้นฟ้าไปให้คนจนรากหญ้าเรี่ยดินได้.. นี่คือปรัชญาของรัฐสวัสดิการ หรือ Welfare State ประเทศไทยมีมั้ย? ไม่มี!!! สังเกตมั้ย.. เวลาจะหาเงินเพิ่มจากภาษี ไม่เคยมีนักการเมืองคนไหนพูดถึงภาษีสามตัวนี้ แต่มุ่งไปพูดว่า เก็บ vat เพิ่มสิ ไม่เห็นยาก Vat หรือภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นภาษีที่เก็บจากคนทั่วประเทศในอัตราเท่ากันเมื่อซื้อลินค้า.. คนรวยก็ซื้อ คนจนก็ซื้อ มองเผินๆมันเท่าเทียม แต่เมื่อเทียบกับรายได้แล้วมันต่างกันเหมือนหน้ามือกับหลังตีน พวกนักการเมืองที่ทำธุรกิจจนร่ำจนรวยและมีโอกาสเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ออกกฎหมายได้ ก็ไม่มีใครออกกฎหมายที่ทำให้ตัวเองเสียประโยชน์ออกมาอยู่แล้ว คนพวกนั้นคงไม่อยากโดนเหมือนคนในประเทศสแกนดิเนเวียหลายๆประเทศที่ภาษีมรดก ที่ดิน ทรัพย์สินเก็บเป็นอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 แน่... แล้วในวงการเมืองประเทศไทย มีนักการเมืองกี่คนกันเชียวที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ? เอาง่ายๆ ตรวจสอบทรัพย์สินกันเมื่อเร็วๆนี้ ถ้าเกิดถูกเก็บภาษีตามอัตราสวีเดนเข้าจริงๆล่ะก็ ได้เงินไปเลี้ยงคนจนเพิ่มอีกมากกว่าโครงการเอื้ออาทรหรืออะไรๆเหล่านี้อีกเยอะ ลงอีแบบนี้.. ใครกันที่เป็นคนรับไม่ได้ที่จะถูกลดทอนอำนาจทางสังคมของตัวเองลงไปกันแน่! ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง สุดท้าย... หนังสือเล่มนี้ไม่แตะเรื่องทุจริตสนามบินหรือเรื่องอื่นๆเลย แม้แต่ปลายขี้เล็บ ย้ำ! แม้แต่ปลายขี้เล็บ ไม่พูดถึงแม้แต่นิดเดียว! กลัวอะไรเหรอถึงไม่เขียนถึงน่ะ? น่าคิดนะ น่าคิด   Create Date : 28 ตุลาคม 2549 11 comments Last Update : 28 ตุลาคม 2549 18:17:19 น. Counter : 938 Pageviews. Share Tweet

หนังสือพวกนี้ไม่ซื้ออยู่แล้ว - -"   โดย: Nutonline IP: 124.120.94.4 28 ตุลาคม 2549 18:22:23 น.

คำพูดปู่นี่ ลอกมาเป๊ะๆเลยป่าววะ ท่าทางเป็นหนังสือที่อ่านแล้วเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้เลยนะเนี่ย   โดย: NyaBu IP: 210.250.2.96 28 ตุลาคม 2549 18:27:05 น.

คุนปู่ครับ ด่าหมอหรอสราดดดด !!! 55+ หนังสือกรรมๆ มันทำออกมา เพื่อแชร์บาปกรรมให้คุณๆ สาวกเงินสกปรก สาวกแห่งความโลภ สาวกแห่งความXXX เรื่องนี้รู้ๆกันอยู่ บ่นได้ แต่อย่าเอามาทำประเด็นเลย เมื่อยเปล่าเปล่านาโน !   โดย: จั่น* IP: 58.8.70.41 28 ตุลาคม 2549 18:27:31 น.

เออ...เปนหนังสือ ที่ เสแสร้ง และ....แหล ที่สุด เท่าที่เคย ผ่านตามา.....แย่ด้ายอีก เหนแล้ว อยากจาอ้วก.... ตี้เอ๊ย....กรูเสียใจแทนเมิงจิงจิง...อิๆๆ   โดย: ~oh~of~PMfC~ IP: 58.8.104.37 28 ตุลาคม 2549 18:29:03 น.

เสนียดจริงๆเลยหว่ะ รับไม่ไหวแระ สุดตีนมาก!!!   โดย: S e m a k u t e k ! IP: 124.120.95.58 28 ตุลาคม 2549 20:17:02 น.

เหี้ย พ่อมึงเปงนักเขียนหรอสาด เขียนยาวชิบหาย -*- มันจะยาวไปไหนในแต่ละวัน กรูไม่อ่านหนังสือ ร่างกายมันแอนตี้รุนแรง   โดย: ~SOS~ IP: 58.9.2.193 29 ตุลาคม 2549 20:50:35 น.

ถ้าเป็นฉัน...จะซื้อมาซัก 3 เล่ม แล้วเอามันไปเผาทิ้งซะ... สะใจดีว่ะ หรือจะเอาไปฉีกทิ้งที่หน้าคูหาเลือกตั้ง (ฮา)   โดย: myo 30 ตุลาคม 2549 1:45:40 น.

"วีรบุรุษประชาธิปไตย" เอาหัวแม่เท้าข้างซ้ายคิดเหรอเนี้ย กลับบ้านเปิด ASTV ดู เห็นสนธิพูดแนะนำการออกรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทำตัวยังกะเป็นนักการเมืองคนหนึ่งไปแล้ว ไม่ชอบเท่าไหร่เลย   โดย: zadwaan IP: 161.200.255.162 30 ตุลาคม 2549 3:12:33 น.

หนังสือแนวนี้ ม่ายอ่านค่ะ   โดย: renton_renton 30 ตุลาคม 2549 7:02:10 น.

นี่กูมาเม้นเพื่อเปนชู้กับผีเลยนะเว่ย ไม่ชอบเรื่องการเมืองหว่ะ เครียด ขี้เกียดอ่าน เล่าเรื่องตัวเมิงบ้างดิ๊   โดย: yong IP: 58.8.59.219 2 พฤศจิกายน 2549 0:08:46 น.

ช่างเป็นหนังสือที่ดีอะไรอย่างนี้........... กว่าจะเขียนได้คงต้องใช้จินตนาการขั้นสูงส่งล้ำเลิศเลยนะเนี่ย......... คิดได้ดีจริงๆ.. ตี๊ เราแนะนำนะ....... ไปลองอ่านประวัติศาสตร์นาซีดูนะ...... ไม่ได้ต่างอะไรเลย...... เราเรียนไปขำไป...... ทำไมฮิตเบอร์ช่างมีแนวคิดคล้ายกับสี่เหลี่ยมจริงๆ.......   โดย: Noir IP: 62.254.128.5 2 พฤศจิกายน 2549 5:50:49 น.