3..อีกวิธีหนี่ง การรู้ว่าจิตอยู่ทีได สามารถรู้ได้ด้วยการเห็น **แสงแว๊บของจิต**
เวลานักภาวนาเกิดเผลอขึ้นมา จิตจะมืดมัวลง แต่เมื่อใดทีจิตหลุดจากเผลอ จะมีแสงจิตแว๊บขึ้นมา
คล้ายๆ กับแสงของกล้องถ่ายรูป ทีโผล่มาแว็บหนี่ง ถ้ากำลังสัมมาสติของนักภาวนาว่องไวพอ นักภาวนาเห็นแสงจิตทีแว๊บนี้ได้ในตอนทีกำลังสัมมาสมาธิค่อนข้างตั้งมั่นดี ก็จะรู้ว่า จิตทีมันแว๊บอยู่ทีใด
4..วิธีการภาวนาแบบโคแม่ลูกอ่อนเล็มหญ้าแล้วชำเลืองดูลูกน้อย
เมื่อนักภาวนารู้ว่า จิตนั้นอยู่ทีใด โดยใช้วิธีการของข้อ 2 หรือ ข้อ 3 ต่อไปก็เป็นวิธีการภาวนา
วิธีการปฏิบัติก็คือ เมื่อนีกขึ้นมาได้ว่า ให้มองไปทีจิตแว๊บเดียวสั้น ๆ เพียงเสี้ยววินาที เมื่อมองไป นักภาวนาจะพบว่า มีอะไรนิ่งๆ ปรากฏอยู่
การมองจิตนั้น ใหม่ ๆ นักภาวนาจะไม่รู้จักวิธีการชำเลืองมอง แต่มักจะมองไปตรง ๆ ทีจิตเลย
ซี่งการมองตรง ๆ นี้ ผลก็คือ จะทำให้นักภาวนาเกิดการปวดศรีษะถ้ามองนาน ๆ ดังนั้น ในระยะแรก จึงแนะนำให้มองไปเพียบแว๊บเดียวสั้นๆ ก่อน เพื่อไม่ให้เกิดการปวดศรีษะขึ้น
นักภาวนาจะพบเองว่า เมื่อมองไปเพียงแว๊บเดียวสั้น ๆ พอเลิกมอง แต่จะพบว่า ยังเห็นจิตได้อยู่
ต่อไปอีกสักระยะหนี่งทีไม่นานนัก แล้ว การเห็นก็จะเปลี่ยนเป็นมองไม่เห็น นี่เกิดจากทียังไม่ชำนาญในการมองของนักภาวนา
ให้นักภาวนา วนทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ กล่าวคือ พอนีกขึ้นมาได้ ก็มองไปทีจิตแว๊บหนี่งดังทีเขียนไว้ข้างต้น
ต่อเมื่อนักภาวนาเริ่มชำนาญ จะพบวิธีการมองทีเรียกว่า การชำเลืองมอง ซี่งถ้านักภาวนารู้จักวิธีการชำเลืองมอง ก็ให้มองแบบชำเลืองมองแทนการมองแบบตรง ๆ แล้วนักภาวนาจะพบเองว่า การชำเลืองมองนี้ จะมองจิตได้นาน โดยทีไม่เกิดการปวดศรีษะแต่อย่างใด
เมื่อฝีกอย่างนี้ไปเรื่อยๆ นักภาวนาจะพบเองว่า สภาวะแห่งการชำเลืองมองจะค่อยๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องได้เอง
ผลจากการฝีกฝนนั้น เมื่อนักภาวนาชำนาญมากขึ้น จะเกิด ญาณ ซี่งญาณทีเกิดขึ้นนี้ จะทำให้นักภาวนาสามารถเห็นจิตได้เองอยู่เสมอโดยทีไม่ต้องไปตั้งใจเพื่อชำเลืองมองเลย
มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
๘. โกสัมพิยสูตร
//www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=12&A=9992&Z=10133
[๕๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บุคคลผู้ถึง
พร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยธรรมดาเช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยธรรมดาเช่นนั้น. ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยธรรมดาอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดา
นี้ของบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ คือ อริยสาวกถึงความขวนขวายในกิจใหญ่น้อยที่ควรทำอย่างไร
ของเพื่อนสพรหมจารีโดยแท้ ถึงอย่างนั้น ความเพ่งเล็งกล้าในอธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และ
อธิปัญญาสิกขา ของอริยสาวกนั้นก็มีอยู่ เปรียบเหมือนแม่โคลูกอ่อน ย่อมเล็มหญ้ากินด้วย
ชำเลืองดูลูกด้วยฉะนั้น. อริยสาวกนั้น ย่อมรู้ชัดอยู่อย่างนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบ
ด้วยธรรมดาเช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยธรรมดาเช่นนั้น. นี้ญาณที่ ๕ เป็นอริยะ เป็นโลกุตระ
ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน อันอริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว.