รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2560
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728 
 
19 กุมภาพันธ์ 2560
 
All Blogs
 
วิธีการปฏิบัติเพื่อเข้าสู่เส้นทางแห่งการพ้นทุกข์



วิธีการปฏิบัติเพื่อเข้าสู่เส้นทางแห่งการพ้นทุกข์
.
1..การภาวนาเพื่อการพ้นทุกข์นั้น จะมีอยู่ด้วยกัน 2 ระดับ คือ
AAAA.. ระดับการสร้าง ตาที 3 หรือ ดวงตาเห็นธรรม
BBBB .. ระดับการทำลายล้างอวิชชา ก้าวสู่ผู้รู้แจ้งและการพ้นทุกข์
.
2..การสร้าง ตาที 3 หรือ ทำให้เกิดดวงตาเห็นธรรมนั้น จะทำให้เห็นโลกภายในได้ ซึ่งโลกภายในนี้ คนทีไม่มีตาที 3 จะไม่มีทางเห็นโลกภายในได้เลย
.
ถามว่า ทำไมต้องเห็นโลกภายใน
ตอบว่า ถ้าไม่เห็นโลกภายใน จะไม่สามารถทำลายล้างอวิชชาได้
.
ผลแห่งการเกิดตาที 3 จะทำให้มีสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ทีแข็งแรง
ทำให้สามารถสู้กับกิเลส ทีเป็นการปรุงแต่งทีทำให้เกิดทุกข์ได้ในระดับหนี่ง
ทีว่าระดับหนี่ง ก็คือ พอกิเลสเกิด หรือ ทุกข์เกิด สัมมาสติ สัมมาสมาธิ จะทำลายล้างกิเลสลงได้เองแบบอัตโนมัติ
แต่กิเลส หรือ ทุกข์ ก็จะยังวนเวียนเกิดได้ไม่หยุดหย่อน
ดังนั้น การหมั่นฝีกฝน ยังต้องทำอยู่เสมอไม่ให้ขาด
.
แต่นิสัยของคน เมื่อไม่ชอบทุกข์ ก็ไม่อยากให้ทุกข์เกิดขึ้น
ถึงสัมมาสติ สัมมาสมาธิ สามารถสู้กับทุกข์ได้ก็ตามที
แต่คนก็ยังไม่อยากให้ทุกข์เกิดอยู่ดี
ความอยากแบบนี้ ทีไม่อยากให้ทุกข์เกิด เป็นการสร้างทุกข์ใหม่ขึ้นในจิตใจ ทีนักภาวนาไม่รู้ตัวเอง
.
ผมได้คิดค้นเทคนิคการฝีกในขั้นนี้ได้ ด้วยการดูทีวีพร้อมกับรู้สีกทีกายไปด้วย หลักการนั้นง่ายมาก เพียงรู้สีกทีกายได้ เช่น นั่งอยู่ รู้สีกได้ถึงก้น หรือ แผ่นหลังทีสัมผัสทีนั่ง ถ้ามีพัดลมส่ายไปมาโดนกาย ก็รู้สึกได้ - พัดลมนี่ แนะนำเลย ควรจะเปิดไว้ในขณะดูทีวี ให้พัดลมส่ายแบบโดนตัวบ้างไม่โดนบ้าง -
ตาก็ดูทีวีไปนั่้น ถ้ารู้สีกการสัมผัสทีกายได้ จะเห็นทีวีอยู่ -ห่าง ๆ -จากตัวเรา
ถ้าเราหลงไปแล้ว ไม่รู้การสัมผัสทีกาย ไม่รุ้ลมทีมาโดนกาย ไม่เป็นไรนะครับ นี่คือ เผลอไป เผลอแล้วไม่เป็นไร ให้เริ่มใหม่
ฝีกใหม่ๆ จะเผลอทุกคน เพราะการฝีกทีวีนี่เป็นของยาก ไม่ใช่ง่ายเลย
คนทีเคยฝีกจะรู้ตัวเองดีว่ายากมาก ฝีกไปเรื่อยๆ ถ้าเผลอก็เริ่มใหม่ แบบนี้ ทำไปเรื่อย ๆ การเผลอนี่แหละดีมาก จะทำใ้ห้มีประสบการณ์การฝีกฝนทีดีกว่า การไม่เผลอเลย
.
จำไว้นะครับ  ในการฝีกดูทีวี การเผลอนะดีมากกว่า ทีไม่เผลอ
แต่ถ้าฝีกไปแล้วเริ่มได้ผล พอเผลอแล้ว เราจะรู้ว่าเผลอได้เร็ว เราต้องการตรงนี้ กล่าวคือ เผลอได้ แต่ถ้าฝีกได้ดี เราจะรู้ได้เร็วว่าเมื่อกี้เผลอไป

.
การฝีกดูทีวี ควรทำทุกวัน จะมากบ้างน้อยบ้าง ขอให้ทำทุกวัน
ขอให้ฝีกไป เช่นสัก 1 ปีหรือมากกว่า จะเริ่มเห็นผลของการมีสัมมาสติ สัมมสมาธิเพิ่มขึ้นได้บ้างแล้ว การมีผลแห่งสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ก็คือ ความสามารถของจิตทีต่อสู้ทำลายกิเลสทีเกิดในจิตได้บ้างแล้ว
.
ใหม่ ๆ ทีได้ผล การต่อสู้กับกิเลสจะแพับ้างชนะบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะแพ้ ขอให้ฝีกต่อไป อย่าท้อถอย แล้วความสามารถในการต่อสู้กับกิเลส ก็จะเพิ่มมากขึ้นเองไปเรื่อยๆ จาก 1 ปี 2 ปี 3 ปี ความสามารถก็ยิ่งมีมากขึ้น พอกิเลสเกิด สัมมาสติ สัมมาสมาธิ จะฆ่ากิเลสได้เก่งขึ้นเอง แต่ก็ยังมีที่บางครั้งพลาดท่า นักภาวนาถูกกิเลสฆ่าในบางครั้ง นีคือความจริงของการฝีกระดับนี้
.
แนะนำอ่านเรื่องเกี่ยวกับการฝีกด้วยการดูทีวี ได้ที่

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=12-2017&date=14&group=17&gblog=165
.
3..การฝีกระดับทำลายล้างอวิชชา
.
จากการฝีกทีเขียนในข้อ 2 นั้น ผลทีได้ก็คือ ดวงตาที 3 ได้เกิดขึ้น ภาษาพระจะเรียกว่า มีปัญญาญาณ และ การทีจิตมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ทีแข้งแรงมากขึ้น
.
เมื่อนักภาวนามาถึงจุดนี้ทีว่า มีดวงตาเห็นธรรมเกิดแล้ว จิตมีพลังแห่งสัมมาสติ สัมมาสมาธิ มากพอสมควรทีสามารถทำลายล้างกิเลสได้ดีพอสมควรแล้ว
.
เมื่อมาอยู่ในชีวิตประจำวัน ทำงานในชีวิตประจำวัน เช่น อาบน้ำ ถูบ้าน กวาดบ้าน ทำอาหาร หรือ อื่นๆ ตัวจิตจะเข้าทีเข้าทางเอง ทำให้นักภาวนาสามารถพบสภาวะแห่ง สุญญตา ได้แบบแว๊บ ๆ คือ พบได้ในเวลาสั้น ๆ เพียงเสี้ยววินาทีแล้วก็หายไป.
.
การได้พบกับสภาวะสุญญตานั้น จะบอกนักภาวนาให้ทราบว่า สภาวะทีแท้จริงของตัวเรานั้นเป็นเช่นไร
ซึ่งนักภาวนาทีมีปัญญาญาณ จะเห็นความแตกต่างของสภาวะธรรมทีเคยเป็นในอดีตทียังไม่ได้ฝีกฝน หรือ กำลังฝีกฝนในการดูทีวี และ สภาวะธรรมตอนเกิดสุญญตาขึ้นมา
.
หลวงปู่ดุลย์ อตุโล ได้กล่าวไว้ว่า พบจิตทำลายจิต พบผู้รู้ทำลายผู้รู้
นีคือสภาวะแห่งสุญญตา
นักภาวนาทีมีดวงตาเห็นธรรม จะเห็นความแตกต่างได้ของสภาวะธรรมว่า ตอนทีมีจิต ตอนทีมีผู้รู้ จะเกิดอาการจิตเป็นดวง จิตเป็นก้อน ทีบริเวณใบหน้า หรือ ศรีษะ แต่ถ้าในสภาวะแห่งสุญญตานั้น จิตทีเป็นดวง เป็นก้อนจะหายไป นี่คือความแตกต่าง.
.
นักภาวนาเมื่อทราบความแตกต่างแห่งสภาวะธรรมของจิตเป็นดวง เป็นก้อน และสุญญตาแล้ว ก็ขอให้เฝ้าดูต่อไปเองว่า การเกิดจิตเป็นดวง เป็นก้อน นั้นเกิดได้เพราะอะไร และ เพราะอะไรทีจิตเป็นดวง เป็นก้อน จะจางลงไป หรือหายไปเป็นสุญญตา
นีคือการฝีกฝนฝนระดับทำลายล้างอวิชชา คือ การเฝ้าดูไตรลักษณ์ของตัวจิตทีแปรเปลี่ยนไปมาจากเป็นดวง เป็นก้อน เป็นสุญญตา หรือ จากสุญญตากลับไปเป็นดวง เป็นก้อนอีก
.
การเฝ้าดูไตรลักษณ์ของตัวจิตนี้บ่อยๆ จะทำให้สัมมาสติ จะยิ่งแข็งแรงมากขึ้น เพิ่มมากขึ้น เมื่อมาถึงระดับนี้แล้ว นักภาวนาจะปล่อยวางเรื่องกิเลสในจิตใจลงไป เพราะกิเลสกลายเป็นเรื่องขึ้ผง ทีไร้พิษสงอีกแล้ว ทำอะไรแก่จิตไม่ได้แล้ว
.
ความแข็งแรงของสัมมาสติทีมากขึ้นนี้ ถ้าจังหวะดี ผมเน้นย้ำว่า จังหวะดี ซึ่งนักภาวนาต้องรอเวลาให้เกิดขึ้นเอง นักภาวนาจะเห็นรากเหง่าของการเกิดขึ้นของจิตพลังงานทีอยู่ในโลกภายในได้ทัน - เน้นย้ำว่า เห็นได้ทัน - คำว่า เห็นได้ทันนี้ ถ้าจะเปรียบ ก็เหมือนกับว่า เห็นลูกกระสุนปืนมันวิ่งออกจากปากลำกล้องปืนได้เลยว่า ลูกปืนออกจากตรงนี้
.
การเห็นทันรากเหง่าการเกิดขึ้นของจิตพลังงานนี้ จะทำให้นักภาวนามีปัญญาญาณ และ สัมมาสติ เพิ่มขึ้น นักภาวนาจะเข้าใจกลไกของจิตพลังงานได้ทะลุปรุโปร่ง และเข้าใจเรื่องการเกิดขึ้นของกิเลส และ ทุกข์ทีเกิดขึ้น
เมื่อเข้าใจ ความสงสัยจะหมดไป นักภาวนาจะพบกับอาการความรู้สีกตัวทั่วพร้อมและสติทีเป็นธรรมชาติแท้ ๆ ของคนเรา
มันเป็นสภาวะที่ไม่มีการกระทำใด ๆ เลย ทีทุกคนมีอยู่แล้วนี่เอง
และนักภาวนาจะมีความสามารถทีจะพบกับสภาวะธรรมชาติทีเกิดนี้ได้อย่างยาวนานได้ ซึ่งเมื่อก่อนจะพบได้เพียงแว๊บ ๆ สั้น ๆเท่านั้น
.
นี่คือความรู้แจ้งแห่งอริยสัจจ์ 4
ทุกข์ได้รุ้จักแล้ว คือ รากเหง้าแห่งจิตพลังงาน
ตัณหา ได้ทำลายแล้ว คือ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ทีมีพลัง
นิโรธ ได้พบแล้วด้วยดวงตาเห็นธรรม คือ สุญญตา สภาวะ
มรรค การปฏิบัติได้ผลสำเร็จแล้ว
.
จะเห็นว่า การเข้าสู่วิถีทางแห่งมรรคนั้น
จะต้องมาจากการได้พบไตรลักษณ์ของตัวจิตพลังงานนี่เอง
จากกิเลส จนไปถีงรากเหง้าการเกิดขึ้นของกิเลสของตัวจิตพลังงานเอง
.
การทำอะไร ทีนิ่งๆ ไม่มีไตรลักษณ์เกิด
จะไม่ทำให้จิตรู้มีพลังแห่งสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ปัญญาญาณได้เลย
นีคือวิถีทางแห่งมรรค ทีพระพุทธองค์ได้ทรงตรัสสอนไว้แล้ว
.
นี่คือแนวทางทีขยายความการปฏิบัติจากต้นสู่ปลายทาง
เป็นอย่างนี้เอง
.
แนะนำอ่านเรื่องเกี่ยวกับ การรู้ไตรลักษณ์ของจิตได้ที่

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=05-2015&date=23&group=6&gblog=39





Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2560
Last Update : 31 ธันวาคม 2560 18:20:16 น. 0 comments
Counter : 531 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.