วิธีการปฏิบัติเพื่อเข้าสู่เส้นทางแห่งการพ้นทุกข์
วิธีการปฏิบัติเพื่อเข้าสู่เส้นทางแห่งการพ้นทุกข์ . 1..การภาวนาเพื่อการพ้นทุกข์นั้น จะมีอยู่ด้วยกัน 2 ระดับ คือ AAAA.. ระดับการสร้าง ตาที 3 หรือ ดวงตาเห็นธรรม BBBB .. ระดับการทำลายล้างอวิชชา ก้าวสู่ผู้รู้แจ้งและการพ้นทุกข์ . 2..การสร้าง ตาที 3 หรือ ทำให้เกิดดวงตาเห็นธรรมนั้น จะทำให้เห็นโลกภายในได้ ซึ่งโลกภายในนี้ คนทีไม่มีตาที 3 จะไม่มีทางเห็นโลกภายในได้เลย . ถามว่า ทำไมต้องเห็นโลกภายใน ตอบว่า ถ้าไม่เห็นโลกภายใน จะไม่สามารถทำลายล้างอวิชชาได้ . ผลแห่งการเกิดตาที 3 จะทำให้มีสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ทีแข็งแรง ทำให้สามารถสู้กับกิเลส ทีเป็นการปรุงแต่งทีทำให้เกิดทุกข์ได้ในระดับหนี่ง ทีว่าระดับหนี่ง ก็คือ พอกิเลสเกิด หรือ ทุกข์เกิด สัมมาสติ สัมมาสมาธิ จะทำลายล้างกิเลสลงได้เองแบบอัตโนมัติ แต่กิเลส หรือ ทุกข์ ก็จะยังวนเวียนเกิดได้ไม่หยุดหย่อน ดังนั้น การหมั่นฝีกฝน ยังต้องทำอยู่เสมอไม่ให้ขาด . แต่นิสัยของคน เมื่อไม่ชอบทุกข์ ก็ไม่อยากให้ทุกข์เกิดขึ้น ถึงสัมมาสติ สัมมาสมาธิ สามารถสู้กับทุกข์ได้ก็ตามที แต่คนก็ยังไม่อยากให้ทุกข์เกิดอยู่ดี ความอยากแบบนี้ ทีไม่อยากให้ทุกข์เกิด เป็นการสร้างทุกข์ใหม่ขึ้นในจิตใจ ทีนักภาวนาไม่รู้ตัวเอง . ผมได้คิดค้นเทคนิคการฝีกในขั้นนี้ได้ ด้วยการดูทีวีพร้อมกับรู้สีกทีกายไปด้วย หลักการนั้นง่ายมาก เพียงรู้สีกทีกายได้ เช่น นั่งอยู่ รู้สีกได้ถึงก้น หรือ แผ่นหลังทีสัมผัสทีนั่ง ถ้ามีพัดลมส่ายไปมาโดนกาย ก็รู้สึกได้ - พัดลมนี่ แนะนำเลย ควรจะเปิดไว้ในขณะดูทีวี ให้พัดลมส่ายแบบโดนตัวบ้างไม่โดนบ้าง - ตาก็ดูทีวีไปนั่้น ถ้ารู้สีกการสัมผัสทีกายได้ จะเห็นทีวีอยู่ -ห่าง ๆ -จากตัวเรา ถ้าเราหลงไปแล้ว ไม่รู้การสัมผัสทีกาย ไม่รุ้ลมทีมาโดนกาย ไม่เป็นไรนะครับ นี่คือ เผลอไป เผลอแล้วไม่เป็นไร ให้เริ่มใหม่ ฝีกใหม่ๆ จะเผลอทุกคน เพราะการฝีกทีวีนี่เป็นของยาก ไม่ใช่ง่ายเลย คนทีเคยฝีกจะรู้ตัวเองดีว่ายากมาก ฝีกไปเรื่อยๆ ถ้าเผลอก็เริ่มใหม่ แบบนี้ ทำไปเรื่อย ๆ การเผลอนี่แหละดีมาก จะทำใ้ห้มีประสบการณ์การฝีกฝนทีดีกว่า การไม่เผลอเลย . จำไว้นะครับ ในการฝีกดูทีวี การเผลอนะดีมากกว่า ทีไม่เผลอ แต่ถ้าฝีกไปแล้วเริ่มได้ผล พอเผลอแล้ว เราจะรู้ว่าเผลอได้เร็ว เราต้องการตรงนี้ กล่าวคือ เผลอได้ แต่ถ้าฝีกได้ดี เราจะรู้ได้เร็วว่าเมื่อกี้เผลอไป . การฝีกดูทีวี ควรทำทุกวัน จะมากบ้างน้อยบ้าง ขอให้ทำทุกวัน ขอให้ฝีกไป เช่นสัก 1 ปีหรือมากกว่า จะเริ่มเห็นผลของการมีสัมมาสติ สัมมสมาธิเพิ่มขึ้นได้บ้างแล้ว การมีผลแห่งสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ก็คือ ความสามารถของจิตทีต่อสู้ทำลายกิเลสทีเกิดในจิตได้บ้างแล้ว . ใหม่ ๆ ทีได้ผล การต่อสู้กับกิเลสจะแพับ้างชนะบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะแพ้ ขอให้ฝีกต่อไป อย่าท้อถอย แล้วความสามารถในการต่อสู้กับกิเลส ก็จะเพิ่มมากขึ้นเองไปเรื่อยๆ จาก 1 ปี 2 ปี 3 ปี ความสามารถก็ยิ่งมีมากขึ้น พอกิเลสเกิด สัมมาสติ สัมมาสมาธิ จะฆ่ากิเลสได้เก่งขึ้นเอง แต่ก็ยังมีที่บางครั้งพลาดท่า นักภาวนาถูกกิเลสฆ่าในบางครั้ง นีคือความจริงของการฝีกระดับนี้ . แนะนำอ่านเรื่องเกี่ยวกับการฝีกด้วยการดูทีวี ได้ที่
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=12-2017&date=14&group=17&gblog=165 . 3..การฝีกระดับทำลายล้างอวิชชา . จากการฝีกทีเขียนในข้อ 2 นั้น ผลทีได้ก็คือ ดวงตาที 3 ได้เกิดขึ้น ภาษาพระจะเรียกว่า มีปัญญาญาณ และ การทีจิตมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ทีแข้งแรงมากขึ้น . เมื่อนักภาวนามาถึงจุดนี้ทีว่า มีดวงตาเห็นธรรมเกิดแล้ว จิตมีพลังแห่งสัมมาสติ สัมมาสมาธิ มากพอสมควรทีสามารถทำลายล้างกิเลสได้ดีพอสมควรแล้ว . เมื่อมาอยู่ในชีวิตประจำวัน ทำงานในชีวิตประจำวัน เช่น อาบน้ำ ถูบ้าน กวาดบ้าน ทำอาหาร หรือ อื่นๆ ตัวจิตจะเข้าทีเข้าทางเอง ทำให้นักภาวนาสามารถพบสภาวะแห่ง สุญญตา ได้แบบแว๊บ ๆ คือ พบได้ในเวลาสั้น ๆ เพียงเสี้ยววินาทีแล้วก็หายไป. . การได้พบกับสภาวะสุญญตานั้น จะบอกนักภาวนาให้ทราบว่า สภาวะทีแท้จริงของตัวเรานั้นเป็นเช่นไร ซึ่งนักภาวนาทีมีปัญญาญาณ จะเห็นความแตกต่างของสภาวะธรรมทีเคยเป็นในอดีตทียังไม่ได้ฝีกฝน หรือ กำลังฝีกฝนในการดูทีวี และ สภาวะธรรมตอนเกิดสุญญตาขึ้นมา . หลวงปู่ดุลย์ อตุโล ได้กล่าวไว้ว่า พบจิตทำลายจิต พบผู้รู้ทำลายผู้รู้ นีคือสภาวะแห่งสุญญตา นักภาวนาทีมีดวงตาเห็นธรรม จะเห็นความแตกต่างได้ของสภาวะธรรมว่า ตอนทีมีจิต ตอนทีมีผู้รู้ จะเกิดอาการจิตเป็นดวง จิตเป็นก้อน ทีบริเวณใบหน้า หรือ ศรีษะ แต่ถ้าในสภาวะแห่งสุญญตานั้น จิตทีเป็นดวง เป็นก้อนจะหายไป นี่คือความแตกต่าง. . นักภาวนาเมื่อทราบความแตกต่างแห่งสภาวะธรรมของจิตเป็นดวง เป็นก้อน และสุญญตาแล้ว ก็ขอให้เฝ้าดูต่อไปเองว่า การเกิดจิตเป็นดวง เป็นก้อน นั้นเกิดได้เพราะอะไร และ เพราะอะไรทีจิตเป็นดวง เป็นก้อน จะจางลงไป หรือหายไปเป็นสุญญตา นีคือการฝีกฝนฝนระดับทำลายล้างอวิชชา คือ การเฝ้าดูไตรลักษณ์ของตัวจิตทีแปรเปลี่ยนไปมาจากเป็นดวง เป็นก้อน เป็นสุญญตา หรือ จากสุญญตากลับไปเป็นดวง เป็นก้อนอีก . การเฝ้าดูไตรลักษณ์ของตัวจิตนี้บ่อยๆ จะทำให้สัมมาสติ จะยิ่งแข็งแรงมากขึ้น เพิ่มมากขึ้น เมื่อมาถึงระดับนี้แล้ว นักภาวนาจะปล่อยวางเรื่องกิเลสในจิตใจลงไป เพราะกิเลสกลายเป็นเรื่องขึ้ผง ทีไร้พิษสงอีกแล้ว ทำอะไรแก่จิตไม่ได้แล้ว . ความแข็งแรงของสัมมาสติทีมากขึ้นนี้ ถ้าจังหวะดี ผมเน้นย้ำว่า จังหวะดี ซึ่งนักภาวนาต้องรอเวลาให้เกิดขึ้นเอง นักภาวนาจะเห็นรากเหง่าของการเกิดขึ้นของจิตพลังงานทีอยู่ในโลกภายในได้ทัน - เน้นย้ำว่า เห็นได้ทัน - คำว่า เห็นได้ทันนี้ ถ้าจะเปรียบ ก็เหมือนกับว่า เห็นลูกกระสุนปืนมันวิ่งออกจากปากลำกล้องปืนได้เลยว่า ลูกปืนออกจากตรงนี้ . การเห็นทันรากเหง่าการเกิดขึ้นของจิตพลังงานนี้ จะทำให้นักภาวนามีปัญญาญาณ และ สัมมาสติ เพิ่มขึ้น นักภาวนาจะเข้าใจกลไกของจิตพลังงานได้ทะลุปรุโปร่ง และเข้าใจเรื่องการเกิดขึ้นของกิเลส และ ทุกข์ทีเกิดขึ้น เมื่อเข้าใจ ความสงสัยจะหมดไป นักภาวนาจะพบกับอาการความรู้สีกตัวทั่วพร้อมและสติทีเป็นธรรมชาติแท้ ๆ ของคนเรา มันเป็นสภาวะที่ไม่มีการกระทำใด ๆ เลย ทีทุกคนมีอยู่แล้วนี่เอง และนักภาวนาจะมีความสามารถทีจะพบกับสภาวะธรรมชาติทีเกิดนี้ได้อย่างยาวนานได้ ซึ่งเมื่อก่อนจะพบได้เพียงแว๊บ ๆ สั้น ๆเท่านั้น . นี่คือความรู้แจ้งแห่งอริยสัจจ์ 4 ทุกข์ได้รุ้จักแล้ว คือ รากเหง้าแห่งจิตพลังงาน ตัณหา ได้ทำลายแล้ว คือ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ทีมีพลัง นิโรธ ได้พบแล้วด้วยดวงตาเห็นธรรม คือ สุญญตา สภาวะ มรรค การปฏิบัติได้ผลสำเร็จแล้ว . จะเห็นว่า การเข้าสู่วิถีทางแห่งมรรคนั้น จะต้องมาจากการได้พบไตรลักษณ์ของตัวจิตพลังงานนี่เอง จากกิเลส จนไปถีงรากเหง้าการเกิดขึ้นของกิเลสของตัวจิตพลังงานเอง . การทำอะไร ทีนิ่งๆ ไม่มีไตรลักษณ์เกิด จะไม่ทำให้จิตรู้มีพลังแห่งสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ปัญญาญาณได้เลย นีคือวิถีทางแห่งมรรค ทีพระพุทธองค์ได้ทรงตรัสสอนไว้แล้ว . นี่คือแนวทางทีขยายความการปฏิบัติจากต้นสู่ปลายทาง เป็นอย่างนี้เอง . แนะนำอ่านเรื่องเกี่ยวกับ การรู้ไตรลักษณ์ของจิตได้ที่
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=05-2015&date=23&group=6&gblog=39
Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2560 |
Last Update : 31 ธันวาคม 2560 18:20:16 น. |
|
0 comments
|
Counter : 531 Pageviews. |
|
|