รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
เมษายน 2553
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
9 เมษายน 2553
 
All Blogs
 
ตาเนื้อบอดไม่อาจมองเห็นสิ่งใด ญาณไม่เกิดไม่อาจมองเห็นจิตใด้ - advance

บทความนี้เป็นประสบการณ์ของผู้เขียน บันทึกไว้เพื่อว่า จะมีผู้ที่เดินตามหลังมาอาจพบอย่างเดียวกัน กรุณาอ่านด้วยวิจารณญาณ อย่าได้เชื่อจนกว่าท่านจะพิสูจน์มันด้วยตนเอง

***************

คำสอนเรื่องวิชาการดูจิตที่มีอยู่ในแวดวงกรรมฐานในตอนนี้ นั้นยังไม่ใช่การดูจิตที่แท้จริง แต่ยังเป็นการดูอาการของจิต คือ ดูอารมณ์ปรุึงแต่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในจิตใจ เช่น ความคิด อารมณ์โกรธ อารมณ์หงุดหงิด ไม่พอใจ และอื่น ๆ เป็นต้น

กล่าวในแง่การปฏิบัติ ที่ว่าดูอาการของจิตนั้น ไม่ใช่การตั้งใจที่จะดู และ การเห็นอาการของจิตได้นั้น สัมมาสติต้องมีกำลังแล้ว จน จิตรู้ แยกตัวออกมาจาก อาการของจิต ในขณะที่จิตรู้ดูอาการของจิตนั้นอยู่ การฝึกฝนเพื่อเพิ่มพูนกำลังของจิตจึงเ็ป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้เริ่มต้น ส่วนจะเพิ่มพูนอย่างไรนั้น ผมคงไม่ต้องพูดถึงในบทความนี้แล้ว (ผมมีเขียนเรื่องราวต่าง ๆ มากมายใน blog ของผม ท่านสามารถเปิดหาอ่านดูได้ )

เมื่อนักปฏิบัติ .เห็น. อาการของจิตปรุ่งแต่งได้แล้ว ก็จะเห็นความเป็นไตรลักษณ์ของ อาการของจิตปรุงแต่ง ถ้านักปฏิบัติมีปัญญาไว ก็จะเข้าใจในสักกายทิฐิได้จากการเห็นไตรลักษณ์ของอาการของจิตปรุงแต่งนี้

เมื่อนักปฏิบัติได้ฝึกฝนการเจริญสัมมาสติต่อไปอีก เขาจะเริ่มเห็นอาการที่จิตไม่ปรุงแต่งได้ คือ
มันจะมีสภาพของการนิ่ง สงบ ว่าง ใหม่ๆ จะเห็นเป็นดวง แล้วต่อไปเมื่อกำลังจิตมากขึ้น ก็จะเห็นไม่เป็นดวง นี่คือการเห็นอาการจิตนิ่งนี้เป็นการเห็นด้วยญาณ

นักปฏิบัติที่มีญาณเห็นอาการจิตไม่ปรุงแต่งได้แล้ว ก็จะเห็นอาการของจิตปรุงแต่งด้วย สลับไปมา
แล้วแต่ว่า จิตมีการปรุงแต่งขี้นหรือไม่ กล่าวคือ ถ้าจิตมีการปรุงแต่ง นักปฏิบัติก็จะเห็นอาการของจิตปรุงแต่ง เมื่อจิตไม่ปรุงแต่ง นักปฏิบัติก็จะเห็นอาการของจิตไม่ปรุงแต่ง มันจะวนเวียนอย่างนี้ไปมาตลอด จนนักปฏิับัติจะเกิดอาการหนึ่งขึ้น คือ การไม่ยึดมั่นถือมันในจิตปรุงแต่งที่เกิดขึ้น และเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า จิตปรุงแต่งเป็นสิ่งที่เป็นมายาของจิตนั้นเอง มันไม่ใช่ความจริง

เมื่อนักปฏิบัติไม่ยึดถือในอาการจิตปรุงแต่งแล้ว กำลังจิตของเขายิ่งเพิ่มพูนมีกำลังมากขึ้น
เขาจะเห็นได้ถึงความว่าง ความไม่มีอะไร ความไม่เป็นอะไร ของจิตรู้ อย่างต่อเนื่อง
นี่คือ การเห็นจิตด้วยญาณ ในการปฏิบัติ

เมื่อนักปฏิบัติเห็นจิตรู้ที่ว่าง ที่ไม่มีอะไร ที่ไม่เป็นอะไร และ เห็น อาการของจิตที่ไม่ปรุงแต่ง ที่เป็นของว่างที่ไม่เป็นอะไรเช่นกัน สิ่งที่เหลืออยู่ ก็เพียงความรู้สึกทีสัมผัสได้ แต่ความเป็นตัวตนที่เป็นเจ้าของความรู้สึกไม่มีอีกแล้ว

++ การดูจิตจนเห็นจิต ถ้านักปฏิบัติที่มีญาณย่อมเห็นอยู่โดยไม่ต้องใช้ความตั้งใจ
ที่จะเห็นแต่อย่างใด

++ถ้าไม่มีญาณ ไม่มีทางเห็นจิตได้

++ถ้ามีเพียงกำลังของสัมมาสติที่ตั้งมั่น ก็จะเห็นเพียงอาการของจิต ที่ยีงไม่ใช่ตัวจิต

++ถ้าไม่มีกำลัีงของจิตเลย ก็ไม่สามารถเห็นอาการของจิตได้ แต่จะเป็นเพียงการรู้อาการของจิตที่ยังประกอบด้วยการนึุกคิดเอา ซึ่งไม่สามารถใช้งานอะไรได้ในด้านปัญญาแห่งธรรมปฏิบัติ
เปรียบได้ดังคนตาเนื้อบอด ย่อมมองไม่เห็นภาพด้วยสายตาฉันนั้น และก็จะเกิดเพียงการคาดเดาเอาเองด้วยความคิดของตนเอง

********
บทความท้ายบท

เมื่อท่านใด้ญาณจนเห็นจิต
ท่านจะเข้าใจคำกล่้าวอันหลักแหลมของหลวงปู่ีดูลย์ที่ว่า
พบจิตให้ทำลายจิต พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ นั้นคืออย่างไร
และคำกล่าวที่ว่า จิตเห็นจิตเป็นมรรค หมายความว่าอย่างไร
และคำกล่าวที่ว่า โกรธมีแต่ไม่เอา หมายความว่าอย่างไร

อย่าคาดเดาสิ่งใดในธรรม ถ้าท่านยังไม่พบสิ่งนั้น
เพราะมันจะไม่มีทางเหมือนสิ่งที่ท่านคาดเดาได้เลย








Create Date : 09 เมษายน 2553
Last Update : 29 มกราคม 2555 16:55:39 น. 1 comments
Counter : 1726 Pageviews.

 
ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน


โดย: นมสิการ วันที่: 29 มกราคม 2555 เวลา:16:58:02 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.