.
อวิชชา คือ การไม่รู้ว่า บัดนี้ ตนเองมีทุกข์อยู่หรือไม่
ซึ่งทุกข์นี้จะมี 2 อย่างคือ ทุกข์ทางใจ และ ทุกข์ทางกาย
และทีไม่รู้อีกอย่างก็คือ ไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งทีทำให้ทุกข์เกิดขึ้นมาได้
.
ทุกข์ทางใจ คือ การปรุงแต่งทางจิตทีเกิดขึ้นมา หรือ ภาษาธรรมเรียกว่า จิตตสังขาร
ซี่งได้แก่ ความคิด อารมณ๋ปรุงแต่งต่างๆ ทั้งด้านทีเป็นสุข และ ในด้านทีเป็นทุกข์
.
ทุกข์ทางกาย คือ ความเจ็บป่วยทีเกิดขึ้นทีกาย ซึ่งการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นนี้
จะหมายถีง อาการทางกายทีเป็นสุขเวทนา และ ทีเป็นทุกข์เวทนา
.
คนทั่วไป พอพูดถีงคำว่า ความคิด ก็จะคิดว่า เป็นการคิดโน่นคิดนี่
นั่นก็ถูก แต่ยังไม่ลงไปครบทั้งหมดถีงถึงคำว่า อวิชชา
.
ความคิดทีเกิดขึ้นนั้น จะมีขบวนการทางจิต 3 ระดับด้วยกัน
.
ระดับที่ 1...จิตพลังงานขึ้นไปอยู่ที่ มโนทวาร ซี่งก็คือ จิตไปสร้างเรือนขึ้นมาเพื่อรับการปรุงแต่งทีจะเกิดตามมา ซี่งก็คือ ระดับ 2 และ 3 ทีท่านจะอ่านต่อไปจากนี้
.
ในพระไตรปิฏก ตอนพระพุทธองค์ทรงพบธรรมแล้ว พระองค์ทรงอุทานออกมาว่า
บัดนี้ พระองค์ได้รู้จัก เรือนอวิชชา แล้ว และ ได้ทำลายเรือนนี้แล้ว
.
ระดับที่ 2...เกิดการปรุงแต่งขึ้นทีเป็น สัญญาขันธ์ เมื่อมีผัสสะเข้ามาทางอายตนะ
ตัวอย่างเช่น เห็นแมว ก็รู้ว่า นี่คือ แมว นี่เป็นการปรุงแต่งทีเป็น สัญญาขันธ์
.
ระดับที 3...เกิดการนีกคิดปรุงแต่งทีเป็นการนีกคิด ปรุงแต่งเป็นอารมณ์ทางจิตใจต่างๆ
แล้วมักมีการกระทำทางกาย วาจา ใจ ตามออกมาเมื่อมีการปรุงแต่งที่เป็นการนีกคิดเกิดขึ้น
.
ตัวอย่างเช่น พอเห็นแมว ก็รู้ว่า นี่คือ แมว ต่อมา แมว กระโดดขึ้นไปกินปลาทูบนโต๊ะอาหาร
ก็เกิดความคิดขึ้น ด่าแมวในใจ มักเป็นภาษาด้วยคำหยาบ แล้วก็เกิดอารมณ์โกรธ แล้วก็หยิบไม้กวาด ไล่ตีแมวให้ลงไปจากโต๊ะอาหาร
.
ในคนทั่วไปนั้น จะไม่รู่้จักความคิดในระดับที 1 และ 2 แต่จะรู้จักความคิดในระดับที 3 เท่านั้น
แต่ถีงจะรู้จักความคิดระดับที่ 3 แต่คนทั่วไป ก็ไม่มีความสามารถทีจะเห็นความคิดนี้ได้
เมื่อไม่เห็นความคิดในระดับที 3 พอความคิดเกิดขึ้น เกิดจิตปรุงแต่งขึ้น ก็จะเข้าใจว่า
ความคิดนี้เป็นตัวฉัน อารมณ์ปรุงแต่งนี้เป็นตัวฉันขึ้นมาทันที ซี่งภาษาธรรมจะเรียกความเข้าใจผิดนี้ว่า มิจฉาทิฏฐิ หรือ อาจารย์สอนธรรมบางท่านก็เรียกว่า ตัวกู ของกู
.
2...ปฏิบัติอย่างไร จึงจะพบอวิชชาได้
.
การพบ อวิชชา ทั้ง 3 ระดับ เป็นสิ่งทียากมาก แต่ถ้าได้ปฏิบัติตามมรรค 8 ก็จะสามารถพบได้
เมื่อนักภาวนาได้ปฏิบัติตามมรรค 8 ไม่ว่า แบบใด ทีเข้าสู่มรรค 8 อย่างแท้จริง ไม่ใช่ไปทำสมาธิแบบฤาษีแล้ว ย่อมเกิดผลออกมาดังนี้
.
1..เกิด ดวงตาเห็นธรรม ขึ้น
ดวงตาเห็นธรรม เป็นปัจจัยสำตัญทีนักภาวนาต้องมี จึงจะพบกับ อวิชชา ได้
การเกิด ดวงตาเห็นธรรม ภาษาธรรมเรียก ธรรมจักษุ หรือ ชาวบ้านเรียก ตาใน
ทีสามารถเห็นสภาวะธรรมต่างๆ ทีเกิดขึ้นได้ในโลกภายใน อันเป็นโลกแห่งการเกิดธรรมต่างๆ ที่เป็นสังขตธรรม (ธรรมทีมีการแปรเปลี่ยนไปมาได้ )
.
2..การมี สติ สัมปชัญญะ สมาธิ ทีมีความแข็งแกร่งระดับหนี่ง
.
ทีว่า ระดับหนี่ง ก็คือ นักภาวนาต้องมีความสามารถทีจะเห็นด้วยดวงตาเห็นธรรมในอาการของจิตปรุงแต่งทีเกิดขึ้นในจิตใจ ได้เป็นอย่างดีแล้ว จิตปรุงแต่งทีว่า ก็คือ การนึกคิดทีเป็นระดับ 3 ที่เขียนไว้ในข้อ 1
.
3..เมื่อนักภาวนามีคุณสมบัติในข้อ 1 และ ข้อ 2 แล้ว ต่อไป ก็คือ รอจังหวะเวลาทีเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน โดยทีนักภาวนาต้องไม่ทำอะไร แต่ใช้ชีวิตไปตามปกติของตนเอง อาจจะมีการนึกคิด หรือ เรือ่งหน้าทีการงานก็ได้
.
การไม่ทำอะไรพิเศษทีต่างออกไปจากชีวิตปกติของตนเอง ตัวจิตจะมีการเคลื่อนไหวขึ้นลงไปมาอยู่เสมอ และ ทำให้เกิดอาการบางครั้ง ก็สงบ ไม่นึกคิด และ บางครั้งก็มีการนึกคิดขึ้น
ถ้านักภาวนามีคุณสมบัติในข้อ 1 และ 2 อยู่แล้ว พอจิตเกิดการนึกติดบ้าง ไม่นึกคิดบ้าง
ถ้าในจังหวะพอเหมาะ นักภาวนาจะ **เห็นทัน**จิต ซึ่งอาจเป็นอาการใด อาการหนี่งใน 2 อาการดังนี้ คือ
.
อาการ 3.1 จิตพลังงานเคลื่อนที่ออกจากการนึกคิด ซี่งการนึกคิด ก็คือ ระดับ 1 / 2 / 3 ทีเขียนไว้ในข้อ 1 แล้ว
ไปอยู่สภาวะแห่งการไม่คิดอย่างสิ้นเชิง ซึ่งก็คือ จิตพลังงาน ไม่ปรากฏตัวอีกเลยในระดับ 1
.
อาการ 3.2 จิตพลังงานเคลื่อนตัวเข้าสู่สภาวะการนีกคิด ซี่งก่อนหน้าไม่ได้นีกคิดเลย ซ๊่งก็คือ เกิดการนีกคิดในระดับ 1/2/3 ชึ้นมา
.
นักภาวนาจะเห็นความแตกต่างทีเกิดขึ้นใน มโนทวาร ที่เกิดเหตุการในอาการข้อ 3.1 หรือ 3.2
เพียงนักภาวนาพบและรู้จัก สภาวะทีไม่เหมือนกันทีเกิดขึ้น ใน มโนทวารได้
นีคือ การรู้จักแล้วว่า ตนเองกำลังมีความคิดหรือไม่มีความคิดแล้ว
นักภาวนายังจะรู้ด้วยตนเองอีกว่า อันว่า ความทุกข์นั้น ไม่ว่าอาการทางกาย หรือ อาการทางใจ
นั้นจะมาจากสิ่งหนี่ง ทีมันเคลื่อนทีไปแล้วไปค้างอยู่ตามอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย
เช่น พอเจ้าสิ่งนี้ เคลื่อนทีไปอยู่ทีหัว ความคิดก็เกิดขึ้น อารมณ์โกรธก็เกิดขึ้น
ถ้าเจ้าสิ่งนี้ เคลื่อนลงไปแล้วคางอยู่ทีท้อง ท้องก็จะเกิดกรดหลั่งออกมาในกระเพาะอาหารได้
เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารได้ หรือ ทำให้ปวดท้องได้
.
การรู้จักเจ้าสิ่งนี้ว่า คือ ตัวทำให้เกิดทุกข์ขึ้นมา ถ้าเจ้าสิ่งนี้ไปค้างอยู่ตามทีต่างๆ ของร่างกาย ก็จะเกิดทุกข์ทางกาย หรือ ทุกข์ทางใจขึ้นมาได้
การรู้จักอย่างนี้แหละ คือ การรู้จักกับอวิชชา แล้ว
เมื่อรู้จัก อวิชชา ได้แล้ว ก็คือ การรู้ทันการเกิดทุกข์ รู้ทันสาเหตุทีทำให้เกิดทุกข์
รู้สาเหตุแห่งการดับทุกข์ได้ รู้วิธีปฏิบัติให้ถีงการดับทุกข์ได้ นีคือ การละอวิชชา
.
ตัวจิตพลังงาน ทีเคลื่อนตัวเข้าหรือออก จาก มโนทวาร นั้น ไม่อาจทำลายได้
เพียงแค่รุ้จักว่า บัดนี้ มีจิตพลังงานเคลื่อนมาอยู่หรือไม่ เท่านั้น
หรือ ค้างอยู่เพราะต้องทำหน้าทีอยู่เท่านั้น
นีคือ การรู้เท่าทันทุกข์ หรือ การละอวิชชา
เมื่อรู้เท่าทันทุกข์แบบนี้
นี่คือ ความสมบูรณ์ แห่งสติปัฏฐาน
สมบูรณ์ แห่งการดับทุกข์
.
แต่ในแง่การปฏิบัติจริง ไม่มีทางทีใครจะสามารถรู้อย่างนี้ได้ตลอด 100 เปอร์เซนต์เต็ม
และรู้ทุกครั้งทีเกิดการเปลี่ยนแปลงของเจ้าสิ่งนี้
ดังนั้นการฝีกฝนตามมรรค8 จึงยังต้องมีอยู่ต่อไป
เพื่อให้มีความสามารถในการรู้อาการนี้มากทีสุดเท่าทีจะเป็นไปได้ในตัวนักภาวนาเอง