22.00น. ของคืนวันที่ 3 พ.ย.54 ผมขับรถออกตามลำพังไปซื้อกาแฟสดที่ใช้ชงด้วยถุงผ้าเองที่ห้างฟูดแลนด์ข้างบ้านแล้วขับเลยไป"สะพานพระรามสาม"ที่อยู่สูงเหนือสะพานกรุงเทพขึ้นไป ไปทำไมในยามค่ำคืน ? จะไปถ่ายรูปข้างบนนั้นครับ ตั้งใจมานานแล้วแต่ไม่มีโอกาสเลยบนสะพานพระรามสามไม่มีไหล่ทาง ไม่มีทางคนเดินข้ามอย่างที่สะพานพระรามแปดไม่มีทางเลยที่จะเดินดุ่มๆแบกขาตั้งกล้องขึ้นไปกางให้รถเฉี่ยวตาย หรือไม่ก็โดนตำรวจจับหรือไล่ลงมาเสียก่อน แต่ในช่วง"วิกฤตน้ำท่วม"นี้ ทุกสะพานในกรุงเทพและจังหวัดที่มีน้ำท่วม ได้กลายเป็นที่จอดรถไปเสียแล้ว ดังนั้นการจะเห็นมีคนเดินขึ้นเดินลงสะพานที่ปรกติห้ามจึงเป็นเรื่องธรรมดา และเป็นโอกาสทองที่ผมจะขึ้นไปจอดรถและถ่ายภาพได้อย่างสะดวกใจ กลุ่มอาคารสูงแถวสาทรคือเป้าหมายวัยรุ่น(แรก) เซ็ง !หลังจากหาช่องว่างได้แล้ว(โชคดีมาก) ชะเง้อดูเป้าหมาย ภาพที่เห็นต่าง ไปจากเมื่อสองสัปดาห์ก่อนมาก ไฟในตัวอาคารเปิดน้อยมาก หลังคาที่เคยเปิดไฟสวยงามก็จมไปกับความมืด หมดความงาม พาให้หมดอารมณ์จะถ่าย จากนั้นขับมา ข้ามสะพานพุทธเผื่อจะได้มุมสวยๆของเจ้าพระยายามค่ำคืน ลงสะพานวนขวาผ่านร้านขายของกลางคืนใต้สะพานบรรยากาศเหงาๆ มีคนเดินพอๆกับคนขาย ผ่านที่จอดรถใต้สะพานที่น่าจะเป็นของ กทม. แต่มีคนมาเก็บค่าจอด 50 บาท! เลยไม่จอด ขับเลี้ยวขวามาจอดข้างทางก่อนถึงตลาตขายดอกไม้ปากคลองตลาด มันเป็นริมฟูตบาทว่างอยู่ จอดปุ๊บมีวัยรุ่นเข้ามาทันทีเพื่อเก็บค่าจอด 40 บาท อ้าว! เซ็งกับพวกมึงจริงๆ ถ้าอยากจ่ายก็จ่ายตั้งแต่ที่แรกแล้ว คืนนี้ผมมาคนเดียวและอยากกลับบ้านโดยปรกติสุข หมดความอยากถ่ายภาพแล้วจึงขับออกมา.....มาจากที่ ที่ไม่รู้ว่า บิดามันมาสร้างไว้่มื่อไหร่....ความมัวซัวของปัญหา ทำให้ยากต่อการรับมือจริงๆผ่านปากคลองตลาดที่ยังมีการซื้อขายกันพอสมควร มาทาง รร.ราชินีที่ไม่มีรถเลยเลยท่าเตียนมาหน่อยก็จอดแล้วมองหาทางจะลงไปริมน้ำมองเห็นวัดอรุณฯเยื้องไปยังเปิดไฟอยู่ แต่รู้สึกเปลี่ยว ไม่มีคนสัญจรเลย จึงไม่อยากลงจาดรถ ไปต่อเถอะมาเลี้ยวขวาผ่านหน้า ศิลปากร เห็นวัดพระแก้วอยู่ในท่ามกลางแสงไฟสาดส่องแต่ดูเหมือนจะไม่อร่ามเรืองอย่างที่ใจนึก..แต่ก็ตั้งใจจะลงไปถ่ายภาพ แต่บริเวณนั้นไม่มีที่จอดแบบสบายใจไร้กังวล ขับวนซ้ายรอบสนามหลวงครบรอบไมมีที่จอดระหว่าที่ขับกลับบ้าน บนถนนที่แทบไม่มีรถเลย คืนนี้และคงอีกหลายคืนที่กรุงเทพดูเหงา...เงียบ ขาดความเชื่อมั่น ไร้ทางออก ยิ่งได้เห็นความเสียหายที่ใกล้ตัวเข้ามาอย่างรวดเร็วและไร้หนทางป้องกัน หรือป้องกันด้วยวิธีเดียวกับที่ล้มเหลวมาแล้วทั้งสิ้น ยิ่งรู้สึกแย่มากกว่าเดิมขึ่นไปอีก กลับเข้าบ้านเตรียมรับมือน้ำท่วมดีกว่า.ข้อมูลที่ท่วมท้นและความสับสนในการแก้ปัญหาไม่สามารถบรรเทาวิกฤตนี้ได้แน่ ถ้าคิดแบบชาวบ้านไม่ใช่นักวิชาการอะไร คงต้องทำใจยอมรับว่าบ้านที่อยู่ลึกจากถนนใหญ่ที่อย่ตามแนวทางเดิน(บ่าล้น)ของน้ำที่จะไปลงทะเล ต้องอพยบขนย้ายสี่งของมีค่าก่อนน้ำจะท่วมสูงมาก ศูนย์ฯต้องมีอย่างเพียงพอห่างจากการอพยบซ้ำซาก การที่อยู่ดูทรัพย์สินเสียหายและความยากลำบากในการอยู่อาศัยในบ้านที่น้ำท่วมสูงนั้นเป็นความทุกข์สาหัสกว่าความไม่สะดวกจากการอาศัยในศูนย์ฯมากและถ้าต้องอพยบนั่นหมายถึง"ทุกคน" เพื่อง่ายต่อการดูแลไม่มีข้อยกเว้น แต่รัฐก็ต้องจัดการกับปัญหาขโมยอย่างเด็ดขาด หากป้องกันไม้ได้รัฐต้องช่วยชดเชย ยังมีเวลาอยู่ ที่จะจัดการกับส่วนที่ยังเหลือรอดอยู่ต้องให้คนรู้ถึงความร้ายแรงของปัญหาที่ถูกต้องมีเวลาแจ้งเตือนให้เก็บของ "รออพยบ" เพื่อสั่งอพยบ ก็อพยบได้ทันที และทุกคนต้องปฎิบัติตามเตรียม พาหนะและ ศูนย์ฯรองรับให้เพียงพอกับจำนวนคนหาวิธี"เร่งน้ำ"ในแม่น้ำลำคลองที่มีอยู่ ให้ไหลลงทะเลเร็วขึ้น ช่วยให้บางแห่งที่ยังไม่ท่วมรอดได้ ที่ท่วมแล้วทำให้น้ำลดเร็วขึ้นจอดรถเสร็จแล้วก่อนจะเข้าบ้านเดินขึ้นบนสะพานลอยคนข้ามหน้าบ้านขับไปเสียไกล สุดท้ายกลับมาได้ภาพที่หน้าบ้านนี่เองครับเป็นกำลังใจให้กับทุกคน สวัสดีครับ.