081. การวิเคราะห์เบื้องต้นกู่ผียักษ์ ต.เวียงยอง อ.เมือง จ.ลำพูน โดย ม.ล.สุรสวัสดิ์ สุขสวัสดิ์
การวิเคราะห์เบื้องต้นกู่ผียักษ์ ต.เวียงยอง อ.เมือง จ.ลำพูน ม.ล.สุรสวัสดิ์ สุขสวัสดิ์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ภูมิหลังของตำบลเวียงยอง
แต่เดิมเมืองลำพูนหรือหริภุญชัยเป็นส่วนหนึ่งของเชียงใหม่มาตั้งแต่สมัยราชวงศ์มังราย และในยุคที่พม่าปกครองล้านนาระหว่าง พ.ศ.2010-2317 เมืองลำพูนก็ได้รับความเสียหายจากการสู้รบระหว่างกลุ่มต่างๆ ผู้คนล้มหายตายจากหรือหนีเข้ารกเข้าพงไปก็มาก จนกระทั่งพระเจ้ากาวิละสามารถขับไล่กองทัพพม่าออกไป และทำการฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่ได้สำเร็จในปีพ.ศ.2339 พระองค์จึงได้ทำการรวบรวมผู้คนจากหัวเมืองต่างๆ ตอนบน เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับเชียงใหม่ในด้านกำลังคน และในปีพ.ศ.2348 หรือหนึ่งปีหลังจากกองทัพเชียงใหม่และกองทัพจากกรุงเทพฯสามารถตีเชียงแสนที่มั่นสุดท้ายของพม่าในล้านนาแตกในปีพ.ศ.2347 พระเจ้ากาวิละจึงได้กวาดต้อนผู้คนจากเมืองยองและหัวเมืองใกล้เคียงเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเมืองลำพูน ทำให้เมืองลำพูนฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง โดยมีชาวยองที่เทครัวมาเป็นพลเมืองส่วนใหญ่
โดยลักษณะทางภูมิศาสตร์วัฒนธรรมแล้ว เมืองยองเป็นเมืองชายขอบหรือที่เรียกกันในสมัยโบราณว่า เมืองสองฝั่งฟ้า หรือ เมืองสามฝั่งฟ้า เพราะตั้งอยู่ระหว่างศูนย์อำนาจใหญ่ที่มีวัฒนธรรมและสภาพเศรษฐกิจสังคมที่แข็งกว่า เช่น พม่า จีน เชียงรุ่ง เชียงตุง เชียงแสน เชียงใหม่ และหลวงพระบาง ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ เป็นเอกสารฉบับเดียวที่ค่อนข้างให้รายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่กองทัพเชียงใหม่ยกทัพไปกวาดต้อนผู้คนจากเมืองยองในปีพ.ศ.2348 มากกว่าการกวาดต้อนผู้คนจากเมืองอื่นๆ เช่น เชียงตุง เชียงรุ่ง เป็นต้น เอกสารดังกล่าวระบุว่า พระเจ้ากาวิละได้อ้างความชอบธรรมในการยกทัพไปกวาดต้อนผู้คนยังเมืองยองครั้งนั้นว่า เป็นการปฏิบัติตามที่กษัตริย์องค์ก่อนๆ ในอดีตได้ทรงกระทำมา ซึ่งน่าจะหมายถึงกษัตริย์ราชวงศ์มังราย เช่นสมัยพญาสามฝั่งแก่น (พ.ศ.1945-1984) และสมัยพญาติโลกราช (พ.ศ.1984-2030) เป็นช่วงเวลาที่เมืองยองขึ้นไปถึงสิบสองปันนาตกอยู่ในอำนาจรัฐเชียงใหม่ที่เข้มแข็งกว่า
การกวาดต้อนเทครัวผู้คนจากเมืองยองในปีพ.ศ.2348 เป็นการเทครัวของชาวยองทุกชนชั้น ตั้งแต่เจ้าเมืองและครอบครัว พระสงฆ์ และหัวหน้าชุมชนระดับต่างๆ โดยพระเจ้ากาวิละได้มอบหมายให้เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองลำพูนทั้งหมด ต่างกับครั้งที่ตีเชียงแสนในปีพ.ศ.2347 ซึ่งได้มีการแบ่งไพร่พลเมืองเชียงแสนให้กับหลายเมืองที่ยกทัพมาช่วยรบ เข้าใจว่าผู้นำชุมชนที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างการปกครองของเมืองยองแต่เดิมที่ถูกกวาดต้อนมาครั้งนี้ยังคงมีบทบาทในชุมชนของชาวยองในเมืองลำพูนในระหว่างพ.ศ.2371-2379 จากข้อมูลการสำรวจและสัมภาษณ์ของอาจารย์แสวง มานะแซม พบว่าในระหว่าง พ.ศ.2348-2371 มีหมู่บ้านหลักที่ตั้งขึ้นในยุคฟื้นฟูบ้านเมืองลำพูน สมัยพระยาคำฝั้นและพระยาบุญมา เจ้าเมืองลำพูนลำดับที่ 1 และ 2 ที่มีอายุประมาณ 2 ชั่วอายุคน หรือไม่น้อยกว่า 190 ปี กระจายอยู่ทั่วไปในเขตเมืองลำพูน เช่น ในเขตอำเภอ เมืองลำพูน ได้แก่ บ้านเวียงยอง บ้านแม่สานบ้านต้อง บ้านยู้ บ้านหลวย บ้านหลุก บ้านประตูป่า บ้านบัว บ้านบาน และเขตอำเภอป่าซาง ได้แก่ บ้านป่าซาง บ้านฉางข้าวน้อย บ้านแซม บ้านสะปุ๋ง บ้านป่าตาล บ้านหวาย บ้านหนองเงือก เป็นต้น
อาจารย์แสวงยังเสนอว่าการที่พระยากาวิละให้เจ้าเมืองยอง ลูกเมีย และญาติพี่น้อง ขุนนาง ชนชั้นปกครองเข้ามาตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่บนฝั่งแม่น้ำกวงตรงกันข้ามกับตัวเมืองลำพูนด้านตะวันออก ซึ่งก็คือบ้านเวียงยองในปัจจุบันนั้น ด้วยสาเหตุทางการปกครองโดยตรง เพราะสามารถดูแลควบคุมได้อย่างใกล้ชิด และก่อให้เกิดความสัมพันธ์กับระหว่างกลุ่มเจ้าเมืองยองและกลุ่มเจ้าเจ็ดตนในเมืองลำพูน ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ทางเครือญาติ ผู้นำชุมชนชาวยองบางคนยังเข้ามามีบทบาทในการบริหารหรือตัดสินความให้กับเจ้าเมืองลำพูนอีกด้วย จึงนับว่าการฟื้นตัวของเมืองลำพูนในยุคเก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมืองมีชาวยองเป็นตัวแปรทีสำคัญยิ่ง
Source: //www.finearts.cmu.ac.th/
Create Date : 26 ธันวาคม 2552 |
|
6 comments |
Last Update : 26 ธันวาคม 2552 22:28:47 น. |
Counter : 2304 Pageviews. |
|
|
|
ได้มีการตีพิมพ์ภาพของกู่ผียักษ์เป็นครั้งแรกในหนังสือแหล่งประติมากรรมภาคเหนือของฝ่ายอนุรักษ์จิตรกรรมฝาผนังและประติมากรรมติดที่ กรมศิลปากร เมื่อปีพ.ศ.2534 โดยเรียกว่า กู่นายเก๋ ตามชื่อราษฎรเจ้าของที่ดิน แต่ไม่มีรายละเอียดใดๆ จนกระทั่งปีพ.ศ.2536 กรมศิลปากร ได้ตีพิมพ์หนังสือของฝ่ายอนุรักษ์จิตรกรรมฝาผนังและประติมากรรมติดที่เรื่อง การสำรวจแหล่งประติมากรรม เล่ม 1 (ภาคเหนือตอนบน) โดยได้กล่าวถึงรายละเอียดของวัดนายเก๋ซึ่งได้สำรวจไว้เมื่อปีพ.ศ.2534 ในแง่ของสภาพแหล่งที่ตั้งและสภาพตัวกู่ซึ่งทรุดโทรม มีลวดลายเหลือเพียงประมาณ 20% ปูนฉาบเหลือประมาณ 20% จึงเสนอว่าควรเร่งทำแผนการบูรณะโดยด่วน
อย่างไรก็ตามรายละเอียดของการสำรวจกู่แห่งนี้ยังปรากฏในเอกสารโบราณคดีลุ่มแม่น้ำปิงตอนบน ของฝ่ายวิชาการ กองโบราณคดี กรมศิลปากร เมื่อปีพ.ศ.2534 หากเรียกชื่อเป็น กู่นางเก๋ แทน ในเอกสารดังกล่าวได้ให้ข้อมูลการสำรวจที่ละเอียดพอควร โดยกล่าวถึงการเดินทางไปยังแหล่งโบราณสถานบ้านแม่สานบ้านต้อง ตำบลเวียงยอง ซึ่งอยู่ห่างจากน้ำแม่กวงทางตะวันตกประมาณ 2 กิโลเมตรแห่งนี้ว่า สามารถใช้เส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 114 ออกจากตัวจังหวัดลำพูนไปประมาณ 1 กิโลเมตร แยกเข้าไปตามถนนลูกรังทางเข้าหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับศาลจังหวัดลำพูน โดยสามารถกำหนดจุดที่ตั้งของกู่แห่งนี้ในแผนที่ได้ว่า ตั้งอยู่บริเวณเส้นรุ้งที่ 18 องศา 32 ลิบดา 55 พิลิบดาเหนือ และเส้นแวงที่ 99 องศา 00 ลิบดา 50 พิลิบดาตะวันออก ตามแผนที่ระวาง 4846 III มาตราส่วน 1 : 50,000
ในรายงานดังกล่าวได้ระบุถึงสภาพทั่วไปของกู่นางเก๋ ซึ่งไม่แตกต่างไปจากสภาพที่พบเห็นในการสำรวจของผู้เขียนครั้งล่าสุดว่า โบราณสถานแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินดินค่อนข้างรกชัดขนาดกว้างยาวประมาณ 14 X 20 เมตร พบเศษอิฐและร่องรอยการลักลอบขุดหาสมบัติอยู่ทั่วไป อยู่ค่อนข้างติดกับถนนลูกรัง บริเวณโดยรอบเป็นทุ่งนา ตัวกู่ซึ่งมีขนาดสูงประมาณ 3 เมตรจากพื้นดินมีลักษณะทรงมณฑปหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เหลือแต่เพียงส่วนฐานถึงเรือนธาตุ ส่วนยอดพังทลายไปแล้ว ลักษณะการก่อสร้างเป็นการก่ออิฐ สอดิน ฉาบปูน ประดับตกแต่งด้วยลายปูนปั้น กำหนดอายุขั้นต้นอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 21-23
Source: //www.finearts.cmu.ac.th/