กุมภาพันธ์ 2557

 
 
 
 
 
 
1
3
4
5
6
7
8
10
11
12
13
14
15
17
18
19
20
21
22
24
25
26
27
28
 
 
23 กุมภาพันธ์ 2557
All Blog
มนตราซาตาน... บทที่ 14

๑๔

อย่ารักฉัน



ห้องอาหารตกแต่งแบบเรือนไทยโบราณสวยงามด้วยโคมไฟระย้าสีนวลตาซึ่งประดับอยู่บนเพดานและฝาผนังดึงดูดให้หลายคนยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายภาพเก็บบรรยากาศไว้เป็นที่ระลึก ถัดจากประตูทางเข้ามีบริกรของโรงแรมยืนต้อนรับลูกค้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้มพร้อมบริการยังมุมอาหารบุฟเฟ่ต์หลากหลายเมนูให้เลือกสรร ทั้งอาหารคาว อาหารหวานและผลไม้ โดยส่วนใหญ่จะเน้นแบบไทยตามบรรยากาศของสถานที่


หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จสิ้นเหล่าทีมงานต่างทยอยมาอยู่รวมกันภายในห้องอาหารซึ่งทางโรงแรมจัดเตรียมไว้เพื่อเป็นสถานที่รับประทานมื้อค่ำโดยทุกคนเลือกที่นั่งตามชอบใจ เสียงพูดคุยหยอกล้อสนุกสนานหลังจากเหนื่อยล้ากับหน้าที่การงานมากว่าครึ่งค่อนวันแม้จะดูอิดโรยไปบ้าง แต่คืนนี้ทั้งคืนคงได้พักผ่อนกันสมใจภายในห้องสวยหรูระดับห้าดาว


จานเปล่าทรงกลมที่จัดวางไว้ตรงโต๊ะอาหารบุฟเฟ่ต์ถูกชายหญิงคู่หนึ่งจับพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ศศิชาชำเลืองมองชายหนุ่มโดยไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยมือออกจากจานใบนั้นแต่อย่างใดและเมื่อเห็นว่าเขาเป็นใครยิ่งทำให้เธอรีบดึงจานทรงกลมมาถือไว้กับตัว คล้ายเธอคือผู้ชนะหากได้จานใบนั้นมาครอบครอง


สายตาฟาดฟันของหญิงสาวไม่ได้สะทกสะเทือนชายหนุ่มที่ตีสีหน้านิ่งเฉยอาร์ตเลือกที่จะหยิบจานใบใหม่และเดินไปตักอาหารโดยไม่ใส่ใจเธอที่มองเขาด้วยหางตาสักนิด


“ยังไม่หายโกรธนายอาร์ตอีกหรือไงเลดี้”นลัทกล่าวยิ้มๆ เมื่อเห็นว่าเพื่อนสนิทยังคาดโทษแก่ชายหนุ่มที่เคยรับรู้ว่ามีปัญหากันก่อนหน้านี้โดยนึกชื่นชมอาร์ตอยู่ในใจ เมื่อเขาสามารถข่มอารมณ์หงุดหงิดไว้ได้เป็นอย่างดี ไม่แสดงออกให้ใครรับรู้ถือว่าคำบอกกล่าวที่เคยสั่งห้ามไม่ให้ยุ่งกับศศิชายังมีผลให้เขาเคารพยำเกรงอยู่บ้าง


“เปล่าไม่ได้โกรธ แค่ดี้หยิบจานใบนี้ก่อน นายนั่นมาทีหลังก็ต้องเอาใบอื่นไปสิ”ศศิชาหยิบทัพพีตักข้าวสวยร้อนๆ ที่มีควันลอยอ่อนเจือจางใส่จานด้วยอาการขัดใจเล็กน้อยเมื่อพบชายหนุ่มที่ไม่อยากเจอะเจอสักนิด


อาหารอย่างละนิดอย่างละหน่อยถูกตักวางเป็นสัดส่วนบนจานทรงกลมจนเกือบเต็มหญิงสาวกวาดสายตามองไปรอบบริเวณเพื่อหาคนสนิทที่จับจองโต๊ะไว้ให้ โดยมีดรุนัยโบกไม้โบกมือส่งสัญญาณให้เธอกับนลัทเดินไปหาเมื่อได้อาหารครบตามที่ต้องการ


“อาร์ต!มานั่งนี่ด้วยกันสิ เร็วๆ ตรงนี้ยังมีที่ว่างอยู่นะ” ดรุนัยควักมือเรียกชายหนุ่มซึ่งกำลังหาที่นั่งเหมาะๆหย่อนกาย ทำให้นลัทหลุดขำเมื่อหันไปมองหญิงสาวที่ปั้นหน้าเป็นนางยักษ์ จ้องเจ๊มะดันของเธอราวกับอยากฉีกเนื้อกินเป็นอาหารแทนกับข้าวในจานตรงหน้า


ชายหนุ่มแค่นยิ้มก่อนจะเดินตรงมานั่งตามคำเชิญของเพื่อนร่วมงานแม้ภายในโต๊ะนั้นจะมีสายตาแห่งความขุ่นเคืองระอุอยู่ก็ตามเขาไม่คิดหวั่นเกรงสักนิดกลับส่งสายตาท้าทายมองหญิงสาวที่ตั้งตนเป็นคู่อริคล้ายกับเยาะเย้ยในเมื่อเธอแสดงท่าทีไม่อยากเห็นเขามากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้อาร์ตอยากก่อกวนประสาทเธอมากเท่านั้น


“เอ๊ะ...มีอะไรกันหรือเปล่าสองคนนี้ทำไมนั่งกันเงียบกริบแบบนี้ล่ะ เจ๊พลาดอะไรไปอย่างนั้นเหรอ”ดรุนัยเห็นความคุกรุ่นแปลกๆ ส่งผ่านจากสายตาฟาดฟันของชายหญิงที่จ้องมองกันเป็นระยะคล้ายมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังเห็นทั้งสองพูดจากันอย่างสนิทสนม


“เจ๊ไม่ทันได้เห็นมวยคู่เอกน่ะสิ” นลัทเปรยเรื่องราวซึ่งดรุนัยไม่เคยรับรู้มาก่อนยิ่งเพิ่มความงุนงงให้กับเขาเป็นอย่างมาก


“มวยคู่เอกอะไรหรือผู้จัดการนลัทเจ๊ไม่เห็นจะเข้าใจเลย” สายตาใคร่รู้มองไปทางต้นเหตุที่นั่งกันคนละฝั่งสลับไปมาโดยไม่มีใครอยากคลี่คลายความกระจ่างให้กับดรุนัยสักคน มีเพียงนลัทที่เอาแต่หัวเราะชอบใจตักอาหารรับประทานต่อโดยไม่อธิบายสิ่งใดเช่นกัน


“ว่าแต่หนุ่มหล่อขวัญใจของเจ๊ไม่คิดออกจากห้องเลยหรือไง” นลัทถามหาฟาโรกลางวงสนทนา ทำให้หลายคนตรงนั้นถึงกับชะงักนิ่งปลายสายตามองคนถามชั่วครู่ก่อนจะหันกลับไปจัดการอาหารในจานต่อมีเพียงศศิชาที่นั่งนิ่งควบคุมอาการวูบวาบบนใบหน้าให้เป็นปกติ ตั้งแต่ได้ยินเพื่อนสนิทกล่าวถึงชายหนุ่มที่สร้างความปั่นป่วนจนหัวใจเต้นแรงเมื่อคิดถึงความฝันวาบหวามขึ้นมา


“ต๊าย! เจ๊ลืมไปซะสนิทเลยตอนที่พาพนักงานของโรงแรมนำอาหารไปเสิร์ฟให้ฟาโรที่ห้องฮีแกบอกกับเจ๊ว่าตอนสองทุ่มให้ผู้จัดการคนใหม่ไปหาฮีด้วย”ช้อนส้อมในมือร่วงหล่นลงบนจานอาหารดัง แคร้ง!!ทำให้ทุกสายตารอบบริเวณนั้นหันมองหญิงสาวแว่นใสเป็นตาเดียวรวมทั้งอาร์ตที่ลอบมองเธอเล็กน้อยก่อนจะหันไปใส่ใจอาหารในจานของตนตามเดิม


“เจ๊ว่าอะไรนะ...” ศศิชาตั้งคำถามเมื่อดึงสติกลับมา พร้อมกับหยิบช้อนส้อมที่ทำหล่นเมื่อครู่ขึ้นมากำไว้แน่นพยายามปกปิดความสั่นไหวไม่อยากให้ใครสังเกตเห็น เธอยังไม่เข้าใจเหตุใดฟาโรต้องเจาะจงเรียกใช้เธอ ทั้งที่เขาไม่ได้ชอบพอเธอสักนิด อาจจะออกไปทางรังเกียจเสียด้วยซ้ำ


“เลดี้ฟังไม่ผิดหรอกจ๊ะฟาโรบอกให้หนูไปหาตอนสองทุ่ม เห็นว่าจะให้หนูช่วยอะไรหน่อย”


“ช่วยอะไร!แล้วทำไมต้องเป็นเลดี้!” นลัทหัวเสียขึ้นมาทันทีเมื่อคิดว่าฟาโรเจาะจงเกินไปจนน่าสงสัยเกิดความระแวงไปต่างๆ นานา โดยหันไปหาเพื่อนสนิทและพูดว่า “เลดี้แกไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น เดี๋ยวซีจัดการเอง” นลัททำท่าจะลุกจากเก้าอี้ทว่ากลับถูกหญิงสาวด้านข้างดึงให้นั่งลงตามเดิม โดยทุกสายตาหันมองที่เธออีกครั้ง


“ไม่เป็นไรดี้ไปเอง” ศศิชายกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาอีกสิบห้านาทีก็จะได้รู้เสียทีว่าฟาโรเรียกหาเธอเพื่อการใดกันแน่ช้อนส้อมถูกรวบวางเป็นระเบียบบนจานทรงกลมก่อนจะยกแก้วน้ำจิบดื่มกลั้วคอ และขออนุญาตทุกคนในโต๊ะอาหารเดินเข้าห้องน้ำเพื่อสงบจิตใจไม่ให้ตื่นเต้นอย่างที่เป็นอยู่


นลัทมองตามเพื่อนสนิทด้วยสีหน้าเคร่งเครียดคิ้วเข้มขมวดยุ่ง จนดรุนัยไม่กล้าต่อความยาวสาวความยืดให้โทสะของสาวมาดเท่ปะทุออกมาทำให้อาหารค่ำมื้อนี้กร่อยลงทันตาเห็น นลัทชั่งใจคิด หากติดตามเพื่อนสนิทไปดูให้รู้เหตุผลแน่ชัดคงเป็นการเสียมารยาทอย่างมากและที่สำคัญเมื่อความลับระหว่างเพื่อนสนิทยังคงอยู่ในกำมือของฟาโร มันก็ต้องเป็นความลับอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลงนลัทได้แต่นั่งหงุดหงิดใจ พาลไม่อยากจับแตะอาหารในจานอีก


=== 


ศศิชาหยุดยืนอยู่หน้าห้องพักที่เคยนำกระเป๋าเดินทางมาส่งให้จนถึงประตูทางเข้าเธอสูดลมหายใจรวบรวมความกล้า และขจัดความหวั่นไหวทิ้งก่อนจะยกมือเคาะประตูบานนั้น เตือนให้บุคคลภายในห้องได้รับรู้ถึงการมาเยือนสาวแว่นใสยืนรออยู่ครู่หนึ่ง ประตูตรงหน้าก็เปิดออกพร้อมชายหนุ่มจ้องมองเธอนิ่งๆ

“มาตรงเวลาดีนี่”แววตาทรงเสน่ห์จับจ้องใบหน้านวลเนียนที่พยายามหลบหลีกการสบตาโดยก้มมองพื้นดินแทบจะตลอดเวลาตั้งแต่เขาเปิดประตูออกมาพบเธอ


“คุณมีอะไรกับฉัน”น้ำเสียงอึกอักพยายามเก็บอาการสั่นไหว ทั้งตื่นเต้นและโกรธเคืองไปพร้อมกันเมื่อได้เจอเขาคนนี้ โดยไม่รู้ว่าความรู้สึกใดมีมากกว่ากันระหว่างโกรธกับตื่นเต้น


“เธอรู้จักถนนคนเดินของจังหวัดนี้หรือเปล่าฉันอยากให้เธอพาไป” ศศิชามองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตนเองว่าเขาจะต้องการอย่างนั้นจริงๆ


ถนนคนเดินซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยามค่ำคืนของจังหวัดเชียงใหม่สถานที่ซึ่งเธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี เนื่องจากหลายปีก่อนเคยมาพักผ่อนกับครอบครัว รวมถึงมาท่องเที่ยวกับเพื่อนสมัยเรียนหลายครั้งจนจดจำได้ขึ้นใจว่าถนนสายนั้นที่ฟาโรอยากไปอยู่ตรงตำแหน่งใดของจังหวัดนี้


“คุณแน่ใจเหรอว่าอยากไปกับฉันจริงๆ”ศศิชาย้ำถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง เธอยังคงประหม่ากับสายตาที่จ้องมองมาตลอดเวลาระหว่างสนทนา


“ไม่ว่างว่างั้นหรืออยากไปเที่ยวกับนายนั่นสองต่อสอง” เพียงได้ยินน้ำเสียงประชดประชัน ภาพของนายอาร์ตก็ลอยเข้าในความคิดทำให้เธอนึกถึงคำพูดดูแคลนของเขาขึ้นมาอีกครั้ง


“คุณเลิกพูดถึงเรื่องนี้ซะทีได้ไหมฉันรู้สึกแย่กับการที่คุณดูถูกฉันเมื่อคืนนี้”


“โอเคฉันจะไม่ยุ่งกับเรื่องของเธออีก ตกลงรู้จักหรือเปล่า แล้วจะพาฉันไปได้ไหม”ฟาโรเน้นย้ำความต้องการของตนด้วยการถามความสมัครใจของหญิงสาวที่ยืนครุ่นคิดอย่างประหลาดใจ


“ที่คุณจะออกนอกสถานที่แถมยังเป็นย่านที่มีคนเดินพลุกพล่าน ทีมงานคนอื่นรู้หรือเปล่า ผู้จัดการนลัทล่ะรับทราบหรือยัง”หญิงสาวเลิกคิ้วเรียวคล้ายรอฟังคำตอบ


“แล้วเธอไม่ใช่ผู้จัดการของฉันหรือไงอุตส่าห์เลื่อนตำแหน่งให้ ยังต้องถามใครอีกงั้นเหรอ เอาเป็นว่ารอฉันอยู่ตรงนี้แปบเดี๋ยวฉันมา” ฟาโรเดินกลับเข้าในห้องโดยเปิดประตูค้างไว้อย่างนั้น และจากที่คาดเดาเชื่อว่า ฟาโรคงไม่คิดบอกใครเกี่ยวกับความต้องการออกนอกสถานที่ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้โดนตำหนิหรือถูกต่อว่าศศิชาจึงกดโทรศัพท์หานลัททันที


เพียงอธิบายเรื่องราวให้นลัทฟังไม่ทันไรเสียงบ่นก็ดังผ่านโทรศัพท์ตามมา โดยนลัทสั่งห้ามไม่ให้ศศิชาทำตามที่ฟาโรร้องขอด้วยเหตุผลที่ว่าเสี่ยงเกินไป หากผู้คนละแวกนั้นจดจำดาราอย่างเขาได้และอาจกลายเป็นปัญหาตามมาทีหลัง ทว่าโอกาสที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกับฟาโรคงหาไม่ได้ง่ายๆศศิชาจึงชักแม่น้ำทั้งห้าเกลี้ยกล่อมเพื่อนสนิทให้ยอมอนุญาตแต่โดยดี และเธอก็พยายามลืมเรื่องเคืองใจที่เคยเกิดขึ้นกับฟาโรเช่นกันเพื่อความรู้สึกดีๆ ที่ยังอยากมีให้เขาต่อไป


ระหว่างพูดคุยกับนลัทเสียงดรุนัยก็ดังแว้ดเข้ามาในโทรศัพท์ อยากติดตามทั้งสองออกนอกโรงแรมบ้างทำให้ศศิชาขำขันและพูดคุยต่ออีกสักพักก่อนจะตัดสายโทรศัพท์เมื่อเจรจาจนเข้าใจกันดี


เครื่องมือสื่อสารถูกเก็บใส่กระเป๋ากางเกงยีนส์สีซีดตามเดิมหญิงสาวชะเง้อคอมองเข้าภายในห้องพักของฟาโรด้วยความสงสัย เหตุใดเขาจึงหายเข้าไปนานผิดปกติแต่ยังไม่ทันได้รับคำตอบร่างบอบบางก็รีบกลับมายืนอยู่ในท่าเดิมเสมือนไม่ได้รอคอยใครเมื่อคนตัวสูงออกมายืนตรงหน้าเธออีกครั้ง


“ฉันพร้อมแล้ว”ฟาโรดึงประตูห้องพักปิดสนิทพร้อมนำแว่นตาสีชาสวมใส่ รวมทั้งดึงหมวกฮู้ดของเสื้อแจ็คเก็ตตัวใหญ่คลุมศีรษะเอาไว้ราวกับอำพรางใบหน้าก่อนจะสาวเท้าเดินนำผู้จัดการส่วนตัวที่ยืนลังเลคล้ายมีคำถาม


“เดี๋ยว!แล้วคุณจะไปยังไง เรามากับรถตู้ ไม่ได้มีรถยนต์ส่วนตัวนะ”


“ฉันมี”ฟาโรควงพวงกุญแจในมือเพื่อยืนยันหลักฐานก่อนจะเดินต่อไปยังลานจอดรถด้านหน้าของโรงแรมโดยมีหญิงสาวทำหน้ามึนงงก้าวตามหลังอย่างเร่งด่วน ด้วยระยะฝีเท้าในแต่ละก้าวแทบจะกลายเป็นวิ่งตามเสียมากกว่า


รถยนต์คันหรูหราBMWSeries 5 สีขาวเงางาม กระจกติดฟิล์มดำสนิท ถูกกดสัญญาณปลดล็อกโดยมีไฟกะพริบสว่างแว้บก่อนประตูด้านคนขับจะถูกดึงเปิดพร้อมฟาโรก้าวขึ้นนั่งในรถเขาชำเลืองมองหญิงสาวซึ่งยืนลังเลอยู่ข้างรถโดยไม่คิดจะเปิดประตูตามขึ้นมา


“เร็วๆสิ จะนั่งตรงไหนก็เลือกซักที่” ฟาโรดึงประตูปิดและสตาร์ทเครื่องยนต์ รอคอยหญิงสาวซึ่งเปิดประตูด้านหลังคนขับขึ้นนั่งอย่างไม่เข้าใจอะไรสักอย่างในเมื่อตอนเดินทางจากกรุงเทพก็นั่งรถไฟมาด้วยกันแท้ๆเหตุใดฟาโรจึงมีรถยนต์คันหรูหราจอดรอให้เขาได้ใช้บริการอย่างนี้


“นี่คุณไปเอารถคันนี้มาจากไหน”ความใคร่รู้ไม่อาจทนอยู่ในใจได้นานเกินสามนาที ศศิชาก็ถามไถ่เพื่อคลายความสงสัยซึ่งค้างคาใจพลางคิดถึงนางแบบหน้าใหม่ที่นลัทบอกเล่าให้ฟัง


“คู่ขาคนใหม่ของฉัน”คำพูดที่ฟังดูคล้ายจะหยอกเย้าในน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ แต่กลับทำให้คนฟังหน้าชาสิ่งที่คิดเป็นจริงดังคาดไว้ไม่มีผิด นางแบบสาวคนใหม่ที่เดินทางมาร่วมงานเป็นวันแรกคงกลายเป็นของเล่นชิ้นโปรดแทนไมกิที่ถูกข่าวฉาวสกัดดาวรุ่งให้ออกห่างจากฟาโรชั่วคราวจนกว่าข่าวเหล่านั้นจะสงบลง


ศศิชาไม่ได้เอ่ยพูดอะไรออกไปเธอทำเพียงนั่งนิ่งๆ ปลอบตนเองว่าทุกอย่างเป็นสิทธิ์ของเขา ที่ไม่อาจวุ่นวายหรือก้าวก่ายแม้อยากโวยวายแค่ไหนก็ตาม


ดวงตาคมหวานภายใต้กรอบแว่นสีแดงสดทอดมองออกไปนอกหน้าต่างรถยนต์คล้ายตกอยู่ในห้วงความคิด ไม่สนใจแสงสว่างจากไฟหน้ารถซึ่งขับสวนทางจนสาดกระทบใบหน้านวลเนียนเป็นระยะขณะกำลังครุ่นคิดอะไรหลายสิ่ง ความรู้สึกของเธอคล้ายมีดวงตาบางคู่กำลังจดจ้องจากนอกรถทำให้ศศิชาละทิ้งอาการเหม่อลอยมองไปยังริมทางอีกฟากถนนอย่างตั้งใจ


เงาดำทะมึนคล้ายร่างมนุษย์ยืนตะคุ่มอยู่ไกลๆและยิ่งเห็นชัดเจนเมื่อเงานั้นผ่านมาซ้ำๆ ราวกับรถที่เธอนั่งวิ่งวนอยู่ที่เดิมศศิชายกมือดึงแว่นขึ้นเหนือคิ้วพร้อมขยี้ตาเบาๆ ก่อนหันกลับไปมองใหม่อีกครั้ง ทว่าทุกอย่างก็เป็นปกติเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


ระหว่างขับรถไปตามเส้นถนนหลักฟาโรชำเลืองมองหญิงสาวผ่านกระจกส่องหลังเพื่อพูดคุยบ้างเป็นระยะ โดยส่วนใหญ่จะถามถึงเส้นทางที่กำลังมุ่งหน้าไปเสียมากกว่าจะพูดคุยด้วยเรื่องอื่นและเธอก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยละทิ้งความคิดต่างๆ ไว้ภายในใจ


====


คอมพิวเตอร์ขนาดพกพาถูกเปิดใช้งานตั้งแต่เจ้าของเครื่องกลับมาอยู่ในห้องพักส่วนตัวด้วยอาการหงุดหงิดจนอยู่เฉยไม่ได้ต้องหาอะไรทำเพื่อฆ่าเวลาระหว่างรอคอยให้เพื่อนร่วมห้องกลับมาอย่างปลอดภัย ความดื้อรั้นของศศิชาทำให้นลัทเหนื่อยใจที่ไม่อาจสั่งห้ามให้เธอออกไปข้างนอกกับฟาโรตามลำพังแม้จะตั้งแง่ทำเป็นโกรธเคือง แต่เพื่อนสนิทก็ไม่ยอมปฏิบัติตามในสิ่งที่สั่งห้ามอยู่ดีทำให้เกิดอาการน้อยใจขึ้นมาจริงๆ


สื่อสังคมออนไลน์ถูกเปิดขึ้นบนหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อติดตามกระแสข่าวของดาราดังที่เกิดขึ้นไม่มีหยุดหย่อนทั้งถูกโจมตีและเป็นกำลังใจให้ในหลากหลายเรื่องราวเป็นสิ่งที่นลัทต้องเฝ้าจับตามองในทุกแง่มุมของกระแสข่าวเหล่านั้นอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ฟาโรตกเป็นข่าวฉาวกับนางแบบสาวลูกครึ่งญี่ปุ่นก็ทำให้ดาราหนุ่มถูกแฟนคลับที่คลั่งไคล้ต่อต้านจนความนิยมของเขาลดลงกว่าครึ่งรอวันกลับมาเป็นที่หนึ่งในใจแฟนคลับทั้งหลายดังเดิม


นลัทเปิดดูรูปภาพของดาราในสังกัดที่ถูกนำมาลงในเว็บไซต์ต่างๆเพื่อละทิ้งความขัดแย้งในใจ ทว่ามันไม่ได้ช่วยทำให้อารมณ์ขุ่นเคืองกลับมาดีขึ้น เมื่อสมาธิของเธอไม่ได้จดจ่อต่อสิ่งต่างๆที่อยู่บนจอคอมพิวเตอร์ แต่กลับเป็นเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาดิจิตอลมากกว่าเมื่อมันผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากนาทีเป็นชั่วโมงและเริ่มดึกขึ้นเรื่อยๆแต่เพื่อนสนิทยังไม่มีวี่แววจะกลับมาถึงห้องพักแต่อย่างใด


โทรศัพท์มือถือถูกหยิบจากโต๊ะกระจกรับแขกเพื่อต่อสายถึงดรุนัยซึ่งถูกไหว้วานให้ออกไปตามหาฟาโร เพื่อให้เขาเร่งเดินทางกลับโรงแรมก่อนจะเกิดเรื่องวุ่นวาย


น้ำเสียงเหนื่อยหอบจากปลายสายตอบกลับมาอย่างผิดหวังทั้งที่พยายามเดินหาจนทั่วสถานที่กลับไม่เจอทั้งฟาโรและผู้จัดการส่วนตัวแม้แต่เงาทำให้นลัทได้แต่สบถอย่างหัวเสียอยู่ในใจ จนสายโทรศัพท์ถูกกดตัดพร้อมคำสั่งให้ดรุนัยตามหาทั้งสองให้เจอโดยด่วน


===


หญิงสาวร่างผอมบางหอบหิ้วถุงกระดาษและถุงพลาสติกหลากลวดลายพะรุงพะรังเริ่มเหนื่อยล้าจากการเดินที่ยังไม่ได้หยุดพักจนแข้งขาแทบจะพันกันระหว่างก้าวตามคนตัวสูงซึ่งมองซ้ายแลขวาหาร้านขายของที่ตั้งอยู่สองฝั่งทาง


ของที่ระลึกมากมายถูกจับจ่ายเลือกซื้ออย่างเพลิดเพลินโดยไม่สนว่าหญิงสาวที่เดินตามหลังจะเหน็ดเหนื่อยอย่างไรศศิชาได้แต่ค่อนแคะในใจถึงสถานะของตนเองในเมื่อบริษัทจ้างให้เธอมาทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวแต่เขากลับนำเธอมาเพื่อจับจ่ายและหิ้วของให้ คล้ายเป็นคนรับใช้เสียมากกว่า


ความตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศรอบด้านหมดลงเมื่อถูกใช้แรงงานแทนการเดินท่องเที่ยวเปิดหูเปิดตาศศิชานิ่วหน้าขมวดคิ้วระหว่างยกมือที่ถือของพะรุงพะรังปาดเหงื่อซิบบนหน้าผากเป็นพักๆอากาศที่เคยเย็นสบายเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อความเหนื่อยล้ามาเยือน


“นี่คุณ!จะซื้ออะไรมากมาย ฉันเริ่มจะถือของพวกนี้ไม่ไหวแล้วนะ”ศศิชาเริ่มทนไม่ไหวเมื่อเห็นดาราหนุ่มให้ความสนใจและเดินปรี่เข้าไปยืนตรงหน้าร้านขายเครื่องประดับ


สร้อยถักร้อยจากหินหลากสีสันหลายลวดลายวางเรียงอยู่บนโต๊ะที่ปูด้วยผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงิน ละลานตาไปด้วยความสวยงาม หินเทอร์ควอยส์สีเขียวน้ำทะเลบนกำไลข้อมือที่ถักร้อยเป็นลายผีเสื้อถูกฟาโรหยิบขึ้นมาชมอย่างสำรวจความประณีตรอยยิ้มน้อยๆ ที่แฝงไว้ซึ่งความละมุนละไมดึงสายตาให้หญิงสาวที่ยืนหงุดหงิดให้ใจกระตุกหวั่นไหวลอบมองใบหน้าคมคายอยู่อย่างนั้นโดยไม่ทันสนใจผู้คนรอบข้าง


‘ผู้ชายคนนั้นใช่ฟาโรหรือเปล่า’


‘คล้ายมากเลยนะเธอว่าไหม’


‘ต้องใช่ฟาโรแน่ๆ’


เสียงซุบซิบที่เริ่มดังขึ้นจนหนาหูผู้คนละแวกนั้นเริ่มแตกตื่นและหันมองชายหนุ่มที่พยายามก้มหน้าไม่ใส่ใจสายตาใคร่รู้ยังคงเลือกสร้อยที่มีลวดลายเหมือนกันจนครบชุด ก่อนจะยื่นส่งสินค้าให้กับเจ้าของร้านที่มองเขาด้วยรอยยิ้มเบิกบานเป็นพิเศษไม่ต่างจากหญิงสาวหลายคนที่ขยับเข้ามายืนใกล้ๆ


“ผมเอาชุดนี้ทั้งหมดเท่าไหร่ครับ”


แม้เสียงซุบซิบเมื่อครู่จะค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ ด้วยจำนวนผู้คนที่เริ่มมุงดูชายหนุ่ม ซึ่งหลายคนคาดเดาว่าเขาต้องใช่‘ฟาโร’ อย่างแน่นอนทว่าศศิชากลับไม่ได้ยินสิ่งใด นอกจากเสียงทุ้มที่กำลังซื้อเครื่องประดับแววตาหลงใหลชวนฝัน พาหัวใจโบยบินกลับไปอยู่ในความฝันที่ผ่านมา ร่างกายของศศิชาถูกหญิงสาวหลายคนบริเวณนั้นแทรกเดินเบียดเสียดเข้าไปขวางอยู่ตรงกลางระหว่างเธอกับฟาโรแรงเบียดเสียดที่ว่าดึงสติหลุดลอยให้กลับมาอยู่กับตัวอีกครั้ง


“ตามมาเร็ว!”ฝ่ามืออบอุ่นดึงข้อมือของศศิชาให้เดินตามอย่างกะทันหัน ก่อนจะคว้าสัมภาระทั้งหมดถือไว้แทนฟาโรเร่งฝีเท้าหนีผู้คนที่เข้ามารุมล้อม โดยยกกล้องถ่ายรูปและโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเก็บภาพจนแสงแฟลชสว่างแว้บวับทั่วบริเวณทำให้ศศิชาที่ตั้งตัวไม่ทันละสายตาจากความหล่อเหลาหันไปมองยังกลุ่มคนเหล่านั้นระหว่างถูกฉุดให้เดินตามอย่างรวดเร็ว


“คุณจะพาฉันไปไหน!”น้ำเสียงประท้วงถามไถ่ถึงการกระทำที่กะทันหัน สองเท้าก้าวฉับๆ แทบจะกลายเป็นวิ่ง


“อยากตกเป็นข่าวกับฉันอีกคนหรือไง”น้ำเสียงคล้ายมีอารมณ์ขุ่นเคืองเล็กน้อยพาให้คิดตามศศิชาเลือกที่จะเงียบและยอมปล่อยให้เขาดึงมือเดินอยู่อย่างนั้นจนถึงรถยนต์คันหรูที่จอดหลบอยู่ข้างทาง


ประตูด้านข้างคนขับถูกเปิดพร้อมดันร่างอ้อนแอ้นให้เข้าไปนั่งประจำที่โดยข้าวของพะรุงพะรังถูกเก็บไว้เบาะหลังก่อนฟาโรจะเดินอย่างเร่งรีบเพื่อประจำตำแหน่งคนขับรถโดยไม่คิดจะอธิบายสิ่งใดแก่หญิงสาวที่ขมวดคิ้วจ้องมองเขาตาเขม็ง


“เป็นไงล่ะฉันบอกแล้วว่าคนอื่นจำคุณได้ ต่อให้คุณแปลงร่างเป็นยาจกก็เถอะ”


“ไม่เพราะเธอหรือไงมัวแต่มองหน้าฉัน ไม่สนใจดูต้นทางให้ดี ปล่อยให้คนพวกนั้นจำฉันได้”


“นี่คุณ! จะมากล่าวหาฉันได้ไงในเมื่อคุณเองที่อยากมาที่นี่ ใช่!ฉันไม่เถียงที่ฉันมัวแต่มองหน้า...” คำว่า ‘คุณ’ ดังแผ่วในลำคอเมื่อนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรพูดอะไรมากไปกว่านี้เธอยอมรับว่ามัวแต่มองหน้าเขาจริงเพราะรอยยิ้มละมุนที่ยังคงติดตาและตรึงอยู่ในหัวใจจนวินาทีนี้


“เงียบทำไมล่ะไม่กล้าพูดหรือไงว่าเธอกำลังมองฉันจนไม่ได้สนใจผู้คนรอบตัว ถามจริงนะเพื่อนสนิทของเธอไม่ได้บอกหรือไงว่าหน้าที่ผู้จัดการของฉันต้องทำอะไรบ้าง” ศศิชาสะบัดสายตาประท้วงจ้องมองชายหนุ่มด้านข้างที่ตีสีหน้านิ่งเฉยทอดมองไปยังถนนเบื้องหน้าโดยไม่ได้ใส่ใจอารมณ์คุกรุ่นของเธอแต่อย่างใด


เพียงต่อว่าเธอปาวๆก็น่าจะเพียงพอ ยังลามปามต่อว่าไปถึงนลัทอีกคน สร้างความไม่พอใจแก่ศศิชาอย่างมากในเมื่อเขาเป็นฝ่ายร้องขอให้เธอพามา แล้วเหตุใดจึงกล่าวหาราวกับว่าเธอเป็นคนผิด หรือถ้าจะผิดจริงก็คงมีเพียงเรื่องเดียวที่เผลอไผลมองเขาไปชั่วขณะเท่านั้น


“ฉันมองคุณเลือกซื้อของแล้วมันแปลกตรงไหน”หญิงสาวกลบเกลื่อนและหันสายตากลับมามองยังถนนเบื้องหน้าโดยไม่ทันสังเกตเห็นฟาโรกระตุกยิ้มคล้ายกับรู้ทันคำแก้ตัวของเธอ


“แน่ใจเหรอว่าแค่นั้น”


“นี่คุณระวัง!”ศศิชาร้องเสียงหลงอย่างไม่ทราบสาเหตุก่อนจะดึงพวงมาลัยจนรถหักหลบเข้าข้างทางโดยฟาโรเหยียบเบรกกะทันหันจนล้อตาย รถหยุดสนิทริมถนนแววตาดุดันหันมองเธอด้านข้างอย่างคาดโทษ


“อยากตายหรือไง! ถึงมายุ่งกับพวงมาลัยเวลาฉันขับรถ!” ฟาโรโกรธจัดเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่หากเขาไม่สามารถควบคุมรถไว้ได้ทันคงเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงทว่าเสียงตวาดของเขาไม่ได้สะเทือนต่อหญิงสาวที่ตื่นตระหนกและหันกลับไปมองด้านหลังรถคล้ายหาอะไรบางอย่าง


“เมื่อกี้คุณไม่เห็นเหรอมีตัวอะไรไม่รู้เดินผ่านหน้ารถก่อนฉันจะหักพวงมาลัย”


“เมายาหรือไงฉันไม่เห็นอะไรที่เธอว่าทั้งนั้นล่ะ”


“ฉันเห็นจริงๆคุณรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ ฉันขอลงไปดูแปบเดียว” ศศิชาเอี้ยวกายเตรียมเปิดประตูลงจากรถทว่ากลับถูกฟาโรดึงข้อมือเอาไว้


“ไม่ต้องฉันลงไปเอง เธอนั่งรอตรงนี้ เฉยๆ”ฟาโรเน้นคำหนักแน่นก่อนจะเปิดประตูลงจากรถเพื่อสำรวจบางสิ่งที่เธอบอกกล่าว


ศศิชามองตามชายหนุ่มที่เดินวนเวียนอยู่รอบรถโดยไม่พบเจอสิ่งใดผิดปกติทั้งที่เธอยืนยันกับตนเองว่าสิ่งที่พบเห็นเมื่อครู่นี้ไม่ใช่แค่ตาฝาดไปหญิงสาวฉุกคิดถึงเงาตะคุ่มเลือนรางที่เคยเห็นระหว่างเดินทางขามาช่วงนี้คงต้องหาเวลาทำบุญเสียบ้างเผื่อเรื่องแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นจะทุเลาลง


ประตูรถยนต์ถูกกระชากเปิดพร้อมชายหนุ่มนั่งประจำตำแหน่งฟาโรพ่นลมหายใจเหนื่อยหน่ายพร้อมสะบัดสายตามองหญิงสาวด้านข้าง“ถ้ามีสี่ตาแล้วยังจะตาฝาดแบบนี้ ฉันแนะนำให้เธอไปพบจิตแพทย์บ้างก็ดี”


“ฉันไม่ได้บ้าก็ฉันเห็นจริงๆ” ศศิชากระแทกกายพิงพนักเก้าอี้อย่างขัดใจในเมื่อเขาแสดงท่าทีไม่เชื่อในสิ่งที่เธอบอกกล่าวสักนิด


“ทีหลังเห็นอะไรก็บอกกันดีๆไม่ใช่หักพวงมาลัยแบบนี้ ฉันยังไม่อยากตายพร้อมเธอ” ฟาโรเข้าเกียร์ออกรถเพื่อเดินทางกลับยังโรงแรมโดยตลอดระยะทางไม่มีการพูดจาโต้เถียงกันอีกมีเพียงสายตาของแต่ละฝ่ายที่ชำเลืองมองซึ่งกันและกันอย่างนั้นเป็นพักๆจนถึงที่หมายปลายทาง


===

มีต่อด้านล่างค่ะ 






Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2557
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2557 20:14:55 น.
Counter : 687 Pageviews.

7 comments
  
ข้าวของพะรุงพะรังถูกหญิงสาวหอบหิ้วเข้าห้องพักซึ่งมีฟาโรเปิดประตูค้างไว้ให้ ศศิชาลอบสำรวจไปทั่วห้องระหว่างเดินนำถุงมากมายไปวางไว้บนเตียงกว้างตามคำสั่ง เสียงปิดประตูทำให้หญิงสาวสะดุ้งเฮือกและหันกลับโดยอัตโนมัติ พลางคิดในใจ แค่นำสิ่งของเข้ามาส่งไม่จำเป็นต้องปิดตูก็ได้ ถึงอย่างไรเธอก็ต้องรีบออกจากห้องนี้อยู่แล้ว


“ฉันขอคุยกับเธอก่อน เดี๋ยวค่อยกลับไปพักผ่อนแล้วกัน” ฟาโรถอดแว่นสีชาที่สวมใส่วางลงบนโต๊ะเครื่องแป้งพร้อมดึงฮู้ดออกจากศีรษะและเสยผมลวกๆ จัดแต่งทรงให้เข้าที่เข้าทางระหว่างเดินมาหยุดยืนเบื้องหน้าของหญิงสาวที่จ้องเขาอย่างไม่คลาดสายตา วูบหนึ่งที่ปรากฏในแววตาคู่สวยนั้น เขามองเห็นความหวาดระแวง



“คุณมีอะไรอีก” น้ำเสียงสั่นเริ่มใจคอไม่ดีเมื่อเห็นแววตาเจ้าเล่ห์มองมา หากเธอรู้ความคิดของเขาได้คงดี จะได้รู้ว่าเวลานี้ฟาโรคิดหรือต้องการคุยกับเธอเรื่องใดกันแน่



“กลัวงั้นเหรอ ฉันไม่คิดทำอะไรเธอหรอกน่าอย่าห่วงไปเลย”



“มีอะไรก็ว่ามา ฉันอยากกลับไปพักผ่อน” ศศิชาตัดพ้อเมื่อน้ำเสียงเยือกเย็นรู้เท่าทันความคิดของเธอที่อาจกลัวเกินเหตุไปเอง



“ฉันอยากให้เธอเรียนรู้หน้าที่จากผู้จัดการนลัท และจำไว้ด้วยว่าอย่าคิดอะไรเกินเลย เพราะฉันไม่อาจตอบสนองความรู้สึกเธอได้ เธอกับฉันพบเจอและคุยกันเรื่องงานเท่านั้น”



หัวใจชาวูบกับคำว่า ‘อย่าคิดอะไรเกินเลย’ เธอรู้อยู่เต็มอกว่าไม่สมควรคิดอย่างนั้นอยู่แล้วต่อให้เขาไม่เตือน ทว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นเธอยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำมันคืออะไร รู้เพียง ‘เจ็บปวด’ เมื่อสัมผัสได้ถึงความเย็นชาจากสายตาและคำพูดของเขา



“คุณอย่าสำคัญตัวเองผิดนักสิ ถึงคุณจะเป็นดาราดัง ก็ใช่ว่าจะมีผู้หญิงยินยอมเป็นของเล่นของคุณทุกคน” ศศิชาข่มอารมณ์หวิวไหวในใจ แม้คำพูดจะสวนทางกับความรู้สึกแท้จริง แต่เธอต้องทำเพื่อกลบเกลื่อนอาการสั่นไหวที่ไม่อยากให้เขารับรู้



“งั้นความจริงก็คงต่างกับความฝันสินะ” ฟาโรขยับเข้าใกล้หญิงสาวที่ยืนอึกอักชำเลืองมองเขาอย่างประหลาดใจ ไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาอยากสื่อ “ในความฝันที่เธอยอมมีความสัมพันธ์กับฉัน รู้ไหมมันสนุกเป็นบ้า” เสียงกระซิบข้างหูพร้อมหัวเราะหึในลำคอทำให้ศศิชาเบิกตากว้างนึกถึงความฝันวาบหวานเช่นกัน



“นี่คุณก็ฝันเหมือนกันเหรอ” ฟาโรชะงักนิ่ง แววตาทรงเสน่ห์ฉายแววแปลกใจก่อนจะปรับมาเป็นเรียบเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่คำถามของเธอกระตุกจิตใจแข็งแกร่งของเขาอย่างจัง ฟาโรไม่รู้ว่า ‘ฝันเหมือนกัน’ ของเธอหมายถึงอะไร ทว่าท่าทางตกใจของหญิงสาวทำให้เขาคิดว่าเรื่องราวทุกอย่างอาจเป็นแค่ความบังเอิญ



“เธอคงยังไม่ลืมสิ่งที่เคยติดค้างฉันเอาไว้” ดาราหนุ่มเปลี่ยนเรื่องคุยทันทีเมื่อเห็นดวงตากลมโตจ้องมองอย่างคาดคั้นหาความ



“ติดค้าง?” ศศิชาคิดตามในสิ่งที่เขาทวงถามโดยไม่ทันคิดถึงเรื่องราวในอดีต



“เธอคงไม่ลืมวันที่เราเจอกันในสนามบิน” เพียงสถานที่กระตุ้นความทรงจำก็ทำให้เรื่องราวและคำพูดประเดประดังในความคิดทันที ‘หากฉันคือฟาโร เธอจะนอนกับฉันไหม’ สิ่งเหล่านี้วนเวียนไปมา เขายังจดจำเรื่องราวเหล่านั้นได้ และกำลังทวงถามในสิ่งที่เธอไม่เคยตกปากรับคำ



“มันก็แค่เรื่องสนุกของคุณ ฉันไม่คิดว่าคุณจะจริงจัง และทุกอย่างระหว่างเราคงไม่น่าจดจำด้วยซ้ำ เพราะฉันก็แค่แฟนคลับที่ชื่นชอบคุณคนหนึ่งเท่านั้น”



“เธอลองถามใจตัวเองแล้วเหรอ แววตาที่มองฉัน หรือความรู้สึกที่มีให้กัน มันแค่นั้นหรือเปล่า ฉันรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเธอในสิ่งที่ผู้จัดการนลัทเล่าให้ฟัง ทั้งเรื่องความชื่นชม คลั่งไคล้ ปลาบปลื้ม รวมถึงของสะสมทุกอย่างที่มันหมายถึงฉัน”



“ถึงความรู้สึกดีๆ ของฉันจะมีให้คุณมากแค่ไหน อาจจะมีมากกว่าแฟนคลับทั่วไปโดยไม่รู้ตัว แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ผู้ชายอย่างคุณหันมาสนใจฉันอยู่ดี” ศศิชารวบรวมความกล้าระบายในสิ่งที่อัดอั้นอยู่ภายในใจ เธอพูดทั้งที่หลบเลี่ยงการสบตา เพียงแค่รู้ว่าเขามองมาก็พาหัวใจสั่นสะเทือน



“เธอกล้าพิสูจน์ให้ฉันเห็นหรือเปล่าล่ะ ว่าเธอมั่นคงในความรู้สึกดีๆ เหล่านั้น ยอมทุ่มเททั้งตัวและหัวใจเพื่อให้ฉันเห็นความจริงใจของเธอ” น้ำเสียงราบเรียบแต่ฟังราวกับกำลังท้าทายความรู้สึกมั่นคง ศศิชาเลื่อนสายตาหวาดหวั่นในทีมองฟาโรที่จ้องเธอนิ่งๆ โดยไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่



จู่ๆ ข้อแลกเปลี่ยนระหว่างซันเซ็ทก็ผ่านเข้ามาในความคิด หรือสิ่งที่ฟาโรเอ่ยออกมาจะเป็นบททดสอบหนึ่งที่เธอต้องก้าวผ่านมันไปให้ได้ก่อนจะได้ในสิ่งที่ต้องการมาครอบครอง หญิงสาวระบายลมหายใจพร้อมเดินไปยังหัวเตียงเพื่อปรับหรี่แสงไฟในห้องให้สลัวลงจนเกือบจะมืดมิด



“ฉันกล้าพิสูจน์ให้คุณเห็น ว่าฉันมั่นคงต่อความรู้สึกตัวเองยังไง” ศศิชายืนลังเลชั่วครู่ ก่อนมือสั่นเทาจะยกขึ้นปลดกระดุมเสื้อของตนเองทีละเม็ดอย่างเชื่องช้า ในเมื่อผู้หญิงหลายคนยอมสิโรราบต่อเขา เธอก็ยอมเป็นหนึ่งในนั้น ทว่าความแตกต่างที่ไม่เหมือนกัน คือเธอต้องได้เขามาครอบครองเพียงคนเดียว



เสื้อเชิ้ตสีขาวถูกถอดออกจากร่างกายและวางลงบนเตียงนอน หลงเหลือเพียงเสื้อกล้ามซับในบางๆ ที่เธอกำลังจะดึงถอดอีกชิ้น จิตใจสั่นไหวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อรู้สึกถึงฝีเท้าหนักที่เดินเข้ามาใกล้และหยุดยืนอยู่ด้านหลัง มืออบอุ่นจับแขนของเธอให้หยุดการกระทำต่างๆ โดยไม่ทันได้ถอดเสื้อซับตัวนั้นออกจากร่างกาย



“ลืมเรื่องคืนนี้ซะ อย่าคิดมอบร่างกายให้ใครง่ายๆ แบบนี้ เก็บความรู้สึกดีๆ ของเธอเอาไว้ให้กับคนที่รักเธอจริงๆ ผู้ชายอย่างฉันไม่มีอะไรดีคู่ควรกับเธอ จำไว้”



ความอบอุ่นจากฝ่ามือค่อยๆ หายไปเมื่อฟาโรปล่อยแขนของเธอให้เป็นอิสระก่อนจะหันหลังเดินจากไป ศศิชายืนกอดตัวเองนิ่งๆ อย่างนั้นโดยไม่กล้าหันกลับไปมองเขาที่กำลังเปิดประตูหนีเธอไป



“และสิ่งสุดท้ายที่ฉันอยากบอกกับเธอ...อย่ารักฉัน” ในน้ำเสียงแผ่วแฝงความหนักแน่นอย่างเต็มคำ



‘อย่ารักฉัน’ ก่อนเสียงประตูจะปิดลงเบาๆ



ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศปะทะผิวกายจนเย็นเยียบ แต่คงไม่มีผลใดกับหญิงสาวที่ยืนนิ่งเฉยไร้ความรู้สึก เธอจมอยู่กับความคิดมากมาย ทั้งโล่งอกและเสียหน้าในคราวเดียวกัน ระหว่างยืนใช้ความคิดอยู่พักใหญ่ ความรู้สึกรับรู้ก็กลับมาอีกครั้ง เมื่อมีใครสักคนนำผ้าบางๆ มาโอบห่มร่างกายเธอไว้ ศศิชาเลื่อนสายตาเหม่อลอยมองบุรุษร่างสูงเบื้องหน้า นัยน์ตาสีสนิมจ้องมองเธอด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ราวกับปลอบประโลม



“ห่มผ้าไว้เดี๋ยวจะหนาว ถ้าพร้อมจะกลับห้องเมื่อไหร่ก็ใส่เสื้อผ้าซะ ฉันจะยืนอยู่เป็นเพื่อนเธอตรงนี้” ความอบอุ่นจากน้ำเสียงและแววตาส่งผ่านตามความรู้สึกจนถึงหัวใจที่ถูกตนเองทำร้ายซ้ำๆ จนเกิดร่องรอยของความเจ็บปวด เธอคงโทษใครไม่ได้ ในเมื่อทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่มาจากตนเองทั้งสิ้น แม้แต่ยอมมอบกาย ปลดเปลื้องเสื้อผ้าต่อหน้าเขา เธอยังไม่สามารถทำให้เขาหันมามองได้สักนิด



“ฉันคงไร้สติและบ้ามากใช่ไหมซันเซ็ทที่ทำตัวแบบนี้” ศศิชากล่าวเสียงอ่อน รู้สึกถึงความเจ็บจุกปะทุอยู่ในอกและเลื่อนขึ้นมาจนถึงลำคอ อยากร้องไห้แต่กลับไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยดเดียว



“เธอควรภูมิใจ ที่ชายผู้นั้นไม่คิดล่วงเกินเธอ เหมือนที่ทำกับหญิงอื่นไม่เลือกหน้า”



“ควรภูมิใจงั้นเหรอ ฉันต้องดีใจสินะ ที่เขาไม่คิดจะแตะต้องฉันด้วยซ้ำ” หญิงสาวก้มหน้าพลางหยิบเสื้อเชิ้ตขึ้นมาสวมใส่ โดยซันเซ็ทพลิกกายยืนหันหลังให้เธอได้ใช้เวลากับการสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย “ขอยืมหลังนายหน่อยได้ไหม”



คำขออนุญาตทำให้บุรุษชุดดำนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าว ‘อืม’ ในลำคอเบาๆ



ศศิชานำหน้าผากอิงไปบนแผ่นหลังกว้างหาหลักยึดเหนี่ยวจิตใจไม่ให้บอบช้ำไปมากกว่านี้ แม้บรรยากาศรอบกายจะเย็นสะท้านภายใต้แสงไฟสลัว ทว่ากลับมีความอบอุ่นที่หัวใจอย่างประหลาด บุรุษจากอีกโลกที่แตกต่างสามารถส่งผ่านความอบอุ่นเหล่านั้นแทนการปลอบใจ



ทั้งสองยืนอยู่ท่ามกลางความเงียบสงบ ไม่มีแม้แต่การพูดจาใดๆ นานหลายนาที ก่อนความเสียใจค่อยๆ เจือจาง เมื่อทำใจได้ในระดับหนึ่ง ศศิชาจึงยอมแบกหน้าเดินออกจากห้องของฟาโร โดยมีซันเซ็ทเดินตามหลังไปห่างๆ และลอบมองเธอนิ่งๆ อย่างห่วงใย



ขณะที่ศศิชาปิดประตูห้องพักของดาราหนุ่มเพื่อเดินกลับไปยังห้องส่วนตัวของตน ฟาโรที่ยืนอยู่ในมุมหนึ่งซึ่งไม่ไกลกันมากนักก็มองเธอผู้นั้นอย่างไม่ละสายตา เขานำกำปั้นทุบลงบนต้นไม้ด้านข้างก่อนจะสบถ ‘บ้าเอ้ย’ เบาๆ พร้อมถอนใจหนักหน่วงระหว่างนำหลังพิงไปที่ต้นไม้ต้นนั้น สายตานิ่งเฉยทองมองไปยังท้องฟ้ามืดหม่น ไร้ซึ่งแสงของดวงดาวในค่ำคืนนี้



“ทำไมเธอถึงโง่และบ้าบิ่นแบบนี้ เลดี้”



To be continued...
โดย: มาโซคิส วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา:20:14:08 น.
  
สวัสดียามดึกจ้าคุณหญิงภัค . . .

ปอมมาแปะใจนะคะ

คุณได้ทำการแปะ ให้กับคุณ มาโซคิส เรียบร้อยแล้วนะคะ

คุณเหลือ อีก 8 ดวง สำหรับวันนี้ค่ะ
โดย: กาปอมซ่า วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา:22:07:35 น.
  
สวัสดียามเช้าครับ

คุณได้ทำการแปะ ให้กับคุณ มาโซคิส เรียบร้อยแล้วนะคะ
โดย: **mp5** วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา:7:14:01 น.
  
คุณได้ทำการแปะ ให้กับคุณ มาโซคิส เรียบร้อยแล้วนะคะ

คุณเหลือ อีก 9 ดวง สำหรับวันนี้ค่ะ


เมื่อวานพยายามเข้ามาแปะไมสำเร็จ . . วันนี้เลยเข้ามาแปะใจดวงแรกให้คุณหญิงภัคจ้า
โดย: กาปอมซ่า วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา:21:44:30 น.
  
สวัสดียามเช้าครับ

ขอขอบคุณสำหรับหัวใจทุกดวงที่แปะให้ที่บล็อกด้วยนะครับ
โดย: **mp5** วันที่: 1 มีนาคม 2557 เวลา:9:07:12 น.
  
มาอ่านย้อนหลังครับ
โดย: ravio วันที่: 2 มีนาคม 2557 เวลา:14:44:02 น.
  
ขอบคุณ นะคะ
โดย: มาโซคิส วันที่: 2 มีนาคม 2557 เวลา:19:41:05 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มาโซคิส
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



เ ร า ต่ า ง กั น แ ส น ไ ก ล

Blood A_Blood Type Series
เรียบง่าย อยู่บนเหตุและผล สันติ ยุติธรรม

ถ้าในฝันนั้น.. ฉันได้มีเธอ.. ขอนอนหลับไม่ตื่นได้ไหม..
เ ว ล า คิ ด ถึ ง ใ ค ร บ า ง ค น ม า ก ๆ อ ย า ก ดึ ง เ ค้ า อ อ ก ม า จ า ก โ ล ก แ ห่ ง ค ว า ม ฝั น แ ล้ ว ก อ ด ซ ะ !! ใ ห้ ห า ย คิ ด ถึ ง





หากวันใด อ่อนแอ ท้อแท้ ผิดหวัง ให้ลองย้อนนึกถึงวันที่เคยตะเกียกตะกาย . .



ถ้าคนๆ หนึ่ง มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เรายิ้มออกมาได้โดยไม่ตั้งใจ.. มานก็ไม่แปลกเลยที่เขาสามารถทำให้เราน้ำตาไหลได้โดยไม่รู้ตัว..

Online Now




New Comments