กุมภาพันธ์ 2557

 
 
 
 
 
 
1
3
4
5
6
7
8
10
11
12
13
14
15
17
18
19
20
21
22
24
25
26
27
28
 
 
16 กุมภาพันธ์ 2557
All Blog
มนตราซาตาน... บทที่ 13




๑๓

บททดสอบ


ไฟสปอร์ตไลท์ที่ใช้ในกองถ่ายภาพแฟชั่นดับสนิท หลงเหลือเพียงแสงสลัวจากหลอดไฟบนเพดานรถ สร้างความอึมครึมกับบรรยากาศชวนง่วงนอน ทีมงานทั้งหลายต่างเร่งเก็บเครื่องมือเครื่องใช้ อยากพักผ่อนเต็มที


ท่ามกลางความชุลมุนที่แสนจะเหนื่อยล้าภายในสถานที่คงมีเพียงนลัทพยายามมองหาใครสักคนอย่างกระวนกระวาย โทรศัพท์มือถือเครื่องกะทัดรัดถูกกดต่อสายและรอคอยอยู่พักใหญ่ ทว่าไม่มีการตอบรับจากปลายสาย


สาวมาดเท่เริ่มยืนไม่เป็นสุข คิดตามหาเพื่อนสนิทที่ห่างหายไปจากสายตา แค่หันไปใส่ใจหน้าที่การงานเพียงไม่นานเธอก็หายไปจากบริเวณใกล้เคียงเสียแล้ว ระหว่างก้าวเดินเกือบจะถึงประตูทางเชื่อมโบกี้รถไฟ นลัทต้องชะงักฝีเท้าหยุดยืนกับที่เมื่อมีชายหนุ่มผลักประตูสวนเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ทำให้นลัทจ้องมองอย่างสงสัย พลางนึกในใจ

‘ไม่รู้ไปกินรังแตนมาจากไหนถึงได้ทำหน้าตาบูดบึ้งอย่างนี้’


“ไม่พอใจทีมงานคนไหนอีกหรือไง ถึงทำหน้าบอกบุญไม่รับแบบนั้น” นลัทถามตรงๆ เมื่อบ่อยครั้งที่ฟาโรชอบแสดงความเจ้าอารมณ์ใส่เพื่อนร่วมงานระหว่างปฏิบัติหน้าที่ จนทีมงานเคยชินและจำยอมรับแรงเหวี่ยงจากอารมณ์ของเขา


“ดูแลเพื่อนสนิทไว้บ้างก็ดี ปล่อยให้เดินเพ่นพ่านระวังจะถูกพวกหิ้วไปเป็นสมบัติส่วนตัว” แม้ฟาโรจะกล่าวเสียงห้วนและพูดจาให้เข้าใจยาก ทว่านลัทกลับใจกระตุกวูบเมื่อนึกถึงบุคคลที่กำลังตามหา หรือเขาจะหมายถึงศศิชาที่คอยปั่นป่วนจิตใจจนหวั่นไหวขณะนี้


“มีอะไร” นลัทหันหน้าเผชิญกับดาราหนุ่มที่ยืนมองเธอด้วยสายตาราบเรียบ สีหน้าเคร่งเครียดเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นนิ่งเฉยคล้ายเก็บอาการ สาวมาดเท่รู้ว่าสิ่งที่ถามไปนั้นคงไม่ได้รับคำตอบ เนื่องจากฟาโรไม่เคยสร้างความกระจ่างกับสิ่งที่เป็นปัญหาคาใจสักครั้ง รวมถึงครั้งนี้ด้วย และสิ่งที่ดาราดังหยิบยื่นให้คือการแค่นยิ้มก่อนจะพูดว่า


“รีบไปหาเลดี้ตอนนี้ คงดีกว่ามาเสียเวลาถามผมแบบนี้” นลัทพยักหน้ารับรู้ก่อนจะหลบสายตาลงต่ำ แววตามีแต่ประกายความครุ่นคิดในสิ่งที่ยังเป็นปริศนาก่อนจะหันมองฟาโรที่เดินจากไปอีกทาง ในเมื่อถามไถ่แล้วไม่ได้คำตอบ คงต้องไปหาคำตอบเหล่านั้นด้วยตนเอง



หญิงสาวหุ่นผอมบางยืนกระชับเสื้อผ้าแนบอก ขอบตาร้อนผะผ่าว มีประกายน้ำตาปริ่มรื้นขึ้นมา ทั้งเสียใจและเจ็บช้ำเมื่อถูกความโกรธควบคุมจนไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากยืนนิ่งๆ รอฟังข้อแลกเปลี่ยนที่เธอเพิ่งเสนอขอกับบุรุษตรงหน้า สายลมกรรโชกแรงภายนอกรถไฟสลายหายไปราวกับถูกพลังบางอย่างสกัดกั้นเอาไว้ ความเย็นเยือกจากน้ำเสียงทรงพลังที่ดังกังวานตอนซันเซ็ทปรากฏกายกลับเลือนหาย เหลือแต่ความอบอุ่นที่วิ่งวนในจิตใจเมื่อบุรุษผู้นั้นแย้มยิ้มให้อย่างอ่อนโยน


“เธอคงโกรธชายผู้นั้น ที่เหยียดย่ำและทำร้ายจิตใจจนต้องเรียกหาฉัน เพื่อขอแลกเปลี่ยนในสิ่งที่ต้องการ โดยไม่นึกถึงชีวิตที่อาจสูญเสียในภายภาคหน้า”


ศศิชายอมรับอย่างเต็มใจว่าเธอไม่ทันคิดหน้าคิดหลัง เพียงอารมณ์โมโหวูบเดียวเท่านั้นทำให้ลั่นวาจาออกไป หากคิดกลับคำตอนนี้คงไม่ใช่สิ่งที่ใจต้องการ การเอาชนะผู้ชายปากร้ายให้สยบลงตรงหน้า คงต้องทำให้เห็นว่าเขาพ่ายแพ้ในสิ่งที่ยืนกรานว่าไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน แม้เมื่อครู่เธอจะยอมข่มอารมณ์ไม่โวยวายใส่ชายหนุ่มที่ดูถูกเหยียดหยาม แต่นิสัยเสียที่สุดของเธอคงไม่พ้นการไม่ยอมใครเช่นกัน หัวเราะที่หลังย่อมดังกว่าเป็นไหนๆ


“ใช่ ฉันโกรธ ฉันโมโห และไม่คิดว่าคนที่ชื่นชอบมากมายจะทำร้ายจิตใจกันขนาดนี้ แต่...” ศศิชาหยุดคำพูดไว้ในลำคอ เสมองทางอื่นอย่างลังเลที่จะพูดประโยคต่อไป เธอก็แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง คงไม่มีปัญญาไปเทียบเคียงดาวเด่นบนท้องฟ้าอย่างฟาโรได้ “แต่...ฉันคงทำให้เขาหันมามองไม่ได้ ถ้านายไม่ช่วย” หญิงสาวหันมองซันเซ็ทที่ลอยตัวจากหลังคาโบกี้รถไฟลงมายืนเบื้องหน้าเธอในระยะใกล้ชิดจนเห็นความสูงเหลื่อมล้ำ


“มั่นใจในตัวเองหน่อยสิ เธอมีทั้งความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยว ใช้สิ่งเหล่านั้นให้เป็นประโยชน์ เธอคิดว่าตนเองเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาอย่างนั้นหรือ ไม่หรอก เธอยังมีดีอีกมากมายที่ไม่แสดงออกมา”


“นายไม่ต้องปลอบใจฉันหรอกน่าซันเซ็ท ฉันไม่ใช่ดาราดัง ไม่ใช่นางแบบสาวสวย จะเอาดีกรีที่ไหนไปสู้พวกหล่อนได้ แค่หน้าฉัน ฟาโรยังไม่อยากจะเสียเวลามองด้วยซ้ำไป ฉันรู้ตัวเองดี ฉันไม่มีดีอะไรหรอก นอกจากอยากชนะเขา”


“เธอแน่ใจอย่างนั้นหรือว่าสิ่งที่ต้องการคืออยากเอาชนะเท่านั้น” ศศิชามองลึกยังนัยน์ตาสีนิลที่เปล่งประกายอำนาจจนบางครั้งก็ทำให้เธอนึกกลัวเขาขึ้นมาจับใจ “ถึงอย่างนั้นจะโทษเธอคงไม่ได้ ในเมื่อมนุษย์ทั้งหลายยังคงมีความรู้สึก รัก โลภ โกรธ หลง อยู่ในจิตใจไม่ต่างกัน แม้แต่ฉัน...ก็ยังไม่อาจละทิ้งไปได้...” น้ำเสียงแผ่วลงกว่าครึ่งระหว่างจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าโดยปราศจากรอยยิ้ม แต่ยังแฝงไว้ซึ่งความอ่อนโยนที่เคยมี


“ตกลงนายจะยอมให้ฉันแลกเปลี่ยนหรือเปล่า” หัวใจเต้นระส่ำเมื่อตั้งคำถามกลับ และรอคอยคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ คล้ายลืมนึกถึงการสูญเสียที่จะตามมา


“เลดี้...มายืนทำอะไรตรงนี้” น้ำเสียงคุ้นเคยดังขัดจังหวะทำให้ศศิชาหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว สายลมแรงพัดพาเอาความเย็นเยือกปะทะร่างกาย บรรยากาศรอบด้านกลับสู่สภาวะปกติอีกครั้ง


ศศิชายืนอ้ำอึ้งไม่ทันได้ตอบคำถาม เธอหันกลับไปมองยังซันเซ็ทที่ยืนระบายยิ้มมุมปากพร้อมกับเสียงแผ่วกังวานผ่านโสตประสาท ‘ตกลง ฉันจะทำให้ความต้องการของเธอเป็นจริง’ ก่อนบุรุษร่างสูงจะอันตรธานหายไปในอากาศที่เย็นเยือกจนกรีดผิวกาย


“เลดี้!” เสียงของนลัทดึงสติจนเพื่อนสนิทสะดุ้งเล็กน้อยและหันกลับมาสนใจกันอีกครั้ง ท่าทางผิดปกติของเธอทำให้นลัทรีบเดินเข้าหาและจูงมือเพื่อนให้เดินตามเข้าภายในตู้รถไฟอย่างเร่งด่วน อยากทราบรายละเอียดซึ่งทำให้เธอแปลกไปเช่นนี้


“เอ่อ...” ศศิชาอึกอักในทีและพยายามหลบสายตาที่จ้องมองอย่างคาดคั้น


“เป็นอะไรไป ทำไมต้องไปยืนตากลมแรงแบบนั้น ดูดิตัวเย็นเฉียบเลย” นลัทยกมือขึ้นแตะหน้าผากของเพื่อนสาวที่เบือนหน้าหนีพร้อมชักมือกลับจนหลุดพ้นการจับกุม ไม่ยอมสบตาสู้หน้าคล้ายลังเลกับอะไรบางอย่าง


“ดี้ไม่เป็นไรน่า” ศศิชารู้สึกประหม่าเมื่อตกอยู่ภายในสายตาจ้องจับผิด


“นี่แกร้องไห้งั้นเหรอ” เป็นอีกครั้งที่นลัทดึงมือของเพื่อนซึ่งพยายามหลบหลีกการสบตาให้เข้ามายืนใกล้ๆ เพื่อสำรวจให้แน่ใจว่าไม่ได้ตาฝาดไป ประกายน้ำตายังหลงเหลือให้เห็นภายใต้แสงไฟสลัว “ใครทำอะไรแก เลดี้!”


“เปล่า...ไม่มีใครทำอะไร” หญิงสาวรีบปฏิเสธพร้อมชักมือกลับอีกครั้ง


“ไม่มีได้ไง ก็แกร้องไห้ เมื่อกี้ซีเจอฟาโร นายนั่นก็พูดอะไรแปลกๆ บอกให้รีบมาหาแก” เพียงแค่ชื่อฟาโรผ่านโสตประสาทก็สามารถดึงสายตาของเธอให้หันมองคู่สนทนาในทันทีอย่างคาดโทษ ทั้งที่พูดจาดูหมิ่นปาวๆ ยังจะมีน้ำใจให้เพื่อนสนิทของตนมาดูผลงานที่สร้างความเจ็บช้ำฝากไว้ในใจ


“ถ้าไม่เพราะเขา ดี้คงไม่ต้องมายืนอยู่ตรงนี้ มันเป็นความผิดของดี้เองล่ะที่ยอมให้เขาทำร้ายจิตใจแบบนั้น”


“มันทำอะไรแก!” นลัทตวาดเสียงดังใส่เพื่อนสาวที่เบิกตากว้าง ตกใจกับการที่คนสนิทโผเข้ามาจับแขนทั้งสองข้างและเขย่าอย่างแรง ความห่วงใยที่นลัทกำลังแสดงออกช่างไม่คุ้นชินเอาเสียเลย


สายตากลมโตภายใต้กรอบแว่นซึ่งแสดงความประหลาดใจอย่างหนัก ช่วยเตือนสติให้สาวมาดเท่รู้ตัวจนต้องคลายมือออกจากแขนทั้งสองข้างทันที “โทษที ซีตื่นเต้นไปหน่อย” นลัทหลบสายตามองต่ำพยายามควบคุมโทสะที่เริ่มปะทุโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับเธอคนนี้ และต้องการรับรู้เรื่องราวทั้งหมดโดยเร็ว


“ไม่มีอะไรมากหรอก ดี้ก็แค่ผิดหวังเล็กๆ” ท่าทางแปลกไปของเพื่อนสนิททำให้ศศิชายอมเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้นลัทรับรู้เพื่อคลายความกังวล ทว่าความผิดหวังเล็กๆ ของเธอทำให้เพื่อนที่ยืนรับฟังรู้สึกโกรธจัดจนเก็บอาการไม่อยู่


นลัททนฟังทุกเรื่องราวตั้งแต่ศศิชาเกิดปัญหากับนายอาร์ตซึ่งพยายามกลั่นแกล้งเธอ จนถึงการกระทำของฟาโรที่แสดงความหยาบกระด้างให้เธอได้รับรู้ แต่เธอก็ยอมให้เขาทำร้ายจิตใจโดยไม่คิดโต้ตอบกลับไปตามนิสัยส่วนตัว ยิ่งทำให้นลัทฉุนเฉียวเมื่อรู้สึกได้ว่าเพื่อนสาวกำลังให้ความสำคัญกับผู้ชายที่ไม่เป็นสุภาพบุรุษเลยสักนิด


“ซีไม่เข้าใจ! ทำไมต้องยอมให้ฟาโรเป็นจักรวาลทั้งหมดของแก ไม่ว่าจะหัวเราะ ทุกข์ใจ ร้องไห้ หรือแม้แต่โมโหยังต้องระงับความโกรธเอาไว้ ไม่โวยวาย ไม่วีนใส่นายนั่นไปตั้งแต่โดนพูดจาไม่ดี แล้วยังโทษตัวเองว่ามาอยู่ผิดที่ผิดทาง ทำไมล่ะเลดี้! แกไม่ได้คลั่งไคล้ฟาโรอย่างแฟนคลับแล้วใช่ไหม แกกำลังถลำลึกจนโดนความรู้สึกตัวเองเล่นงานอยู่ใช่หรือเปล่า!”


ศศิชายืนนิ่งอยู่พักใหญ่ นึกคิดไปตามคำพูดของนลัทอย่างไตร่ตรอง โดยไม่เข้าใจความรู้สึกของตนเองเช่นกันว่าเหตุใดต้องยอมให้แค่เขาคนเดียวเท่านั้น หากเป็นใครที่ไม่ใช่ฟาโรมาพูดจาดูหมิ่นเหยียดหยาม เธอคงเหวี่ยงกำปั้นใส่หน้าจนเลือดตกยางออกไปแล้ว หรือแม้แต่อาร์ตเองที่พยายามกลั่นแกล้งให้โมโห เธอยังกล้าเตะเข้าที่หน้าแข้งโดยไม่ใส่ใจสักนิดว่าเขาจะเจ็บปวดหรือไม่ หญิงสาวจมอยู่กับความคิด ได้แต่ถามไถ่หัวใจตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า


‘นี่เธอกำลังตกหลุมรักฟาโรอย่างงั้นเหรอศศิชา...หากเธอยินยอมปล่อยเขาเข้ามาอยู่ในหัวใจ นั่นหมายถึงเธอเต็มใจให้เขารังแกและทำร้ายจิตใจได้ซ้ำๆ แม้จะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม’


ศศิชาชำเลืองมองเพื่อนสนิทซึ่งแสดงสีหน้าร้าวราน แววตาหวั่นไหวคู่นั้นพาหัวใจกระตุกวูบ นลัทเป็นกังวลและห่วงใยเธอถึงเพียงนี้เชียวหรือ แล้วเธอต้องแก้ตัวอย่างไรเพื่อให้เพื่อนสบายใจกับความรู้สึกที่ยังไม่ชัดเจน แม้แต่ตนเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหวั่นไหวกับฟาโรแบบใดกันแน่


“เปล่านะซี ดี้ไม่ได้ถลำลึกกับฟาโรอย่างที่ซีเข้าใจ” เพียงแค่รู้ว่าฟาโรแสดงท่าทางร้ายกาจยังทำให้นลัทโกรธแทนมากมายขนาดนี้ หากเพื่อนสนิทได้รู้ถึงข้อตกลงที่เธอยอมแลกเปลี่ยนกับซันเซ็ท นลัทจะยิ่งโกรธมากกว่าเดิมขนาดไหน ศศิชาไม่อยากคิดถึงเรื่องนั้น ยอมเก็บงำความลับระหว่างซาตานไว้แต่เพียงผู้เดียวคงดีกว่า


“แกลองมองคนอื่นรอบตัวดูบ้าง อาจเห็นใครที่รักแกมากมายก็ได้ เลิกสนใจผู้ชายที่ไม่เคยเห็นแกอยู่ในสายตาเถอะเลดี้ ซี...ไม่อยากให้แกเป็นทุกข์และเสียใจ...จนต้องทนข่มอารมณ์ไปมากกว่านี้” นลัทกล่าวเสียงอ่อน พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึก ‘รัก’ ไว้ในใจ สร้างภาพให้เธอรับรู้ถึงความหวังดี ทั้งที่ขัดแย้งกับความรู้สึกอย่างมากมาย แต่เพื่อเก็บรักษามิตรภาพระหว่างเพื่อนเอาไว้ให้นานที่สุด


“ขอบใจที่เป็นห่วงดี้นะซี แต่เชื่อเถอะว่าเพื่อนของซีคนนี้จะไม่ยอมเจ็บปวดเพราะผู้ชายคนนั้นอีก” ศศิชาก้าวเข้าหานลัทพร้อมนำมือข้างหนึ่งโอบกอดสาวมาดเท่เอาไว้ ตบหลับลูบไล้เบาๆ เพื่อแสดงความขอบคุณที่เพื่อนสนิทมอบความเป็นห่วงเป็นใยให้ตนอย่างเปี่ยมล้น โดยไม่รู้เลยว่านลัทต้องพยายามอย่างมากที่จะไม่ยกมือโอบกอดเธอตอบ กัดฟันข่มใจไม่แสดงอาการเกินเลยกว่าเพื่อนคนหนึ่งพึงมี ทั้งที่บางจังหวะอยากบอกให้เธอรับรู้เกี่ยวกับความในใจที่มี จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราวที่ต้องเก็บงำเป็นความลับอย่างนี้ต่อไป


ระหว่างที่เพื่อนสนิทกำลังปลอบประโลมกันอยู่นั้น ในมุมหนึ่งของโบกี้รถไฟยังมีสายตาบางคู่ลอบมองเธอทั้งสอง เพื่อรอดูสถานการณ์อย่างไม่คลาดสายตา อาร์ตรับรู้และได้ยินทุกอย่างที่เพื่อนสนิทปรับทุกข์ซึ่งกันและกัน ความคิดหลากหลายก่อร่างสร้างตัวในทันที


เมื่อการปลอบประโลมพักใหญ่ของเพื่อนสาวทั้งสองสิ้นสุด เสื้อผ้าของฟาโรที่ใช้ในการถ่ายแบบซึ่งถูกศศิชาหอบไว้กับตัวนานเกือบชั่วโมงก็ถูกเก็บเข้าที่ยังตำแหน่งของมัน และทั้งสองสาวก็เดินกลับไปยังตู้นอนเพื่อพักผ่อนก่อนการเดินทางจะสิ้นสุดยังปลายสถานี



โรงแรมระดับห้าดาวภายในตัวเมืองจังหวัดเชียงใหม่ คงความหรูหราเป็นไทยด้วยการตกแต่งสถานที่แบบเรือนไทยโบราณ ตั้งแต่ด้านหน้าทางเข้าซึ่งเขียวขจีไปด้วยต้นไม้ใหญ่หลากหลายชนิด อบอวลกลิ่นไอธรรมชาติ บรรยากาศร่มรื่นและสวยงามไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ สร้างความเพลินตาและหย่อนใจในคราวเดียวกัน


ทีมงานทั้งหลายลงจากรถตู้ที่รอรับจากสถานีรถไฟเชียงใหม่เพื่อเดินทางยังโรงแรมดังกล่าวในช่วงสายของวัน แต่ละคนดูกระปรี้กระเปร่าเนื่องจากพักผ่อนนอนหลับเต็มตื่น จะมีก็แต่บางคนที่อยู่ในสภาพอิดโรยคล้ายไม่ได้หลับทั้งคืน


พนักงานของโรงแรมโดยเฉพาะหญิงสาวต่างให้ความสนใจชายหนุ่มที่เดินตัวปลิวไปนั่งยังโซฟาสำรองแขก ซึ่งรอการติดต่อขอเช็คอินเข้าห้องพัก โดยพนักงานบางคนทราบถึงข้อมูลในการติดต่อจองห้องพักล่วงหน้าเพื่อการถ่ายแบบของดาราชื่อดัง จึงพร้อมใจออกมารอต้อนรับกันอย่างถ้วนหน้าจนเต็มล็อบบี้บริการลูกค้า


กระเป๋าเดินทางถูกลากจูงมายังบริเวณหน้าเคาน์เตอร์บริการเพื่อติดต่อขอรับกุญแจห้องที่จองไว้ โดยทีมงานทั้งหลายต่างยืนรอการแจกจ่ายคีย์การ์ดเพื่อนำสิ่งของเครื่องใช้เข้าไปเก็บประจำห้องพักที่แบ่งให้นอนห้องละสองคนตามอัธยาศัย จะมีก็แต่ดาราชื่อดังที่ถูกจัดให้นอนเดี่ยวเป็นการส่วนตัว


ศศิชารับคีย์การ์ดจากดรุนัยเพื่อส่งต่อให้ฟาโรซึ่งเป็นเจ้าของห้องพักหมายเลขนั้นอีกทอดหนึ่ง หญิงสาวระบายลมหายใจอย่างหนักหน่วงเพื่อตัดความกังวลหวั่นไหว ละทิ้งปัญหาส่วนตัวทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นกับฟาโร พร้อมปฏิบัติตามหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด กระเป๋าเดินทางใบโตของดาราหนุ่มถูกดึงให้เคลื่อนที่ไปหยุดอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมยื่นส่งคีย์การ์ดให้


“นี่กุญแจห้องคุณ” ฟาโรพับหนังสือพิมพ์และชำเลืองมองยังคีย์การ์ดก่อนจะเลื่อนสายตามองหญิงสาวที่เขามอบหน้าที่ให้เธอเป็นผู้จัดการส่วนตัวเพิ่มอีกคนในวินาทีถัดมา


“เธอต้องพาฉันไปที่ห้อง แล้วก็ลากกระเป๋าฉันมาด้วย” ดาราหนุ่มลุกยืนเต็มความสูงพร้อมนำหนังสือพิมพ์ที่ถืออยู่ในมือเก็บวางไว้บนชั้นของมันตามเดิม ฟาโรก้าวเดินยังส่วนของห้องพักที่มีบริกรของโรงแรมนำพาไป โดยไม่หันกลับมามองยังหญิงสาวที่ยืนนิ่งเป็นหิน รู้สึกปรับอารมณ์ตามดาราดังอย่างเขาไม่ทัน ทั้งที่เมื่อคืนยังพูดจาดูแคลนราวกับรังเกียจเดียดฉันท์ เช้านี้กลับทำเหมือนเป็นเรื่องปกติไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น


ศศิชาส่ายศีรษะอย่างเหนื่อยใจและเดินตามฟาโรไปในระยะห่างระดับหนึ่ง หากติดตามเขาช้าเกินไปเกรงว่าจะกลายเป็นตัวสร้างปัญหาพาให้อารมณ์ของฟาโรหงุดหงิดขึ้นมาอีก โดยทั้งสองไม่รู้เลยว่าทุกการกระทำของตนอยู่ในสายตาของใครหลายคู่ที่เฝ้ามองทุกฝีก้าวไม่ละสายตา



ประตูห้องพักถูกเคาะเป็นจังหวะก่อนสาวมาดเท่จะเปิดรับให้เพื่อนสนิทได้เข้าด้านใน ศศิชาถอดรองเท้าและเดินตรงยังเตียงนอนเดี่ยวซึ่งอยู่ติดริมหน้าต่าง โดยนลัทจงใจยกเตียงฝั่งนั้นให้เพื่อนสาวครอบครองอยู่แล้ว เนื่องจากเธอชอบนอนดูพระจันทร์ในช่วงเวลาค่ำคืนเป็นชีวิตจิตใจ ศศิชาทิ้งกายลงบนเตียงนุ่มแผ่หลาคล้ายเหนื่อยล้ากับการเดินทางที่ยังไม่คุ้นชินกับอาการมึนเมาเท่าที่ควร


“ส่งคุณชายเขาเรียบร้อยแล้วหรือไง” นลัทยืนมองเพื่อนร่วมห้องด้วยความเอ็นดูจากสภาพหมดแรงของเธอ รู้สึกว่าตนเองคิดผิดไปถนัดที่ยอมให้ศศิชามารับหน้าที่เป็นผู้จัดการของดาราหนุ่มแทนการเป็นช่างแต่งหน้า ทั้งที่เธอเป็นผู้หญิงบอบบางแต่ต้องมาถูกใช้ให้หอบหิ้วสัมภาระของชายหนุ่มตลอดการเดินทางราวกับจงใจกลั่นแกล้งเธออย่างนั้น


“อือ ปวดแขนเป็นบ้า ดาราดังๆ เขาต้องพกอะไรกันเยอะแยะทุกครั้งที่เดินทางหรือไงนะ ตอนซีรับหน้าที่นี้เมื่อยแบบดี้หรือเปล่า” เสียงถอนใจเฮือกใหญ่ทำให้เพื่อนที่ยืนฟังคำบ่นหลุดยิ้ม และอยากบอกให้เธอรับรู้ใจแทบขาด ตั้งแต่รับหน้าที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวของฟาโรมาหลายปี ไม่เคยต้องขนสัมภาระของเขาเลยสักครั้ง เนื่องจากฟาโรไม่ชอบให้ใครหน้าไหนยุ่มย่ามกับเครื่องใช้ส่วนตัว จะมีก็แต่ศศิชาที่อาจถูกชะตาหรือถูกกลั่นแกล้งก็ไม่ทราบได้ ฟาโรจึงเจาะจงให้เธอรับผิดชอบสัมภาระของเขาเช่นนี้


“ก็เพลียพอกันล่ะ ส่วนดาราดังก็เป็นอย่างนี้เกือบทุกคนล่ะน่า อีกหน่อยก็ชินไปเอง” นลัทปลอบใจระหว่างลากกระเป๋าเดินทางของเพื่อนสนิทที่ถือมาให้ตั้งแต่ลงจากรถไฟ วางไว้ตรงปลายเตียง “นี่กระเป๋าเสื้อผ้า หายเหนื่อยแล้วก็จัดการเก็บเข้าตู้ด้วยล่ะ แล้วก็นอนพักซะหน่อย วันนี้ไม่มีคิวถ่ายของฟาโร แกไม่ต้องไปก็ได้ วันนี้มีคิวถ่ายคนอื่น คงตั้งกองใกล้ๆ นี่เอง เดี๋ยวค่ำซีกลับมาหา”


ศศิชาลืมตาโพลงมองเพดานห้องพักเมื่อได้ยินว่าไม่มีคิวถ่ายของฟาโร แต่เหตุใดนลัทยังต้องทำงานทั้งที่ควรจะพักผ่อนด้วยกันให้หายเหนื่อยเสียก่อน ร่างบอบบางดึงตนเองลุกขึ้นนั่งเพื่อเจรจาคลายความสงสัย “ฟาโรไม่มีคิวถ่าย แล้วซีตั้งกองถ่ายใครล่ะ” ดวงตากลมโตภายใต้กรอบแว่นมองคู่สนทนาอยากได้คำตอบ พลางคิดในใจ หรือจะมีดาราคนอื่นที่เดินทางมาด้วยรถส่วนตัวร่วมงานครั้งนี้


“ก็มีนางแบบหน้าใหม่อีกคนที่ต้องถ่ายแฟชั่นร่วมกับฟาโร แต่คิววันนี้คงต้องให้เธอถ่ายเดี่ยวไปก่อน” นลัทกล่าวโดยไม่ได้หันไปมองเพื่อนที่ทำท่าครุ่นคิดอย่างหนัก


“ไมกิเหรอ” ศศิชาถามด้วยจิตใจวูบไหวอย่างไม่มีสาเหตุ


“ไม่อะ งานนี้ไมกิไม่รู้เรื่อง เพราะถูกต้นสังกัดกีดกั้นให้ออกห่างจากฟาโรตั้งแต่มีข่าวนั่นล่ะ” ทั้งที่นางแบบหน้าใหม่ที่ต้องร่วมงานคู่กับฟาโรไม่ใช่ไมกิ ทว่าจิตใจของคนฟังกลับเต้นระรัวไม่ลดลงเลย แต่มันยิ่งทวีคูณความรุนแรงมากกว่าเดิมอีกเท่าตัว ‘รู้สึกไม่ชอบใจที่เขาต้องอยู่ใกล้ผู้หญิงทุกคน ต่อให้มันคือการร่วมงานก็ตาม’


“อืม” สิ้นเสียงรับรู้ ศศิชาก็ทิ้งกายลงบนที่นอนอีกครั้ง ไม่อยากคิดฟุ้งซ่านไปไกลจนรู้สึกหงุดหงิด พยายามหาเรื่องคุยเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกปั่นป่วนในจิตใจ “ซีไปทำงานเถอะ เดี๋ยวเสื้อผ้าพวกนั้นดี้จัดการเก็บเข้าตู้ให้เอง” หญิงสาวพูดทั้งที่ยังนอนแผ่อยู่อย่างนั้นด้วยความรู้สึกขัดใจโดยมีเรื่องราวของฟาโรและนางแบบสาวเป็นต้นเหตุ


“งั้นแกพักผ่อนไปก่อนนะ เดี๋ยวซีว่างแล้วจะเดินมาปลุกให้ไปกินข้าวกลางวัน เมื่อเช้าที่กินขนมปังรองท้องไปคงยังไม่หิวใช่ไหม”


“ไม่หิวหรอก ตั้งใจทำงานนะ” ศศิชายกมือโบกลา บ่งบอกให้รับรู้ว่าไม่ต้องเป็นห่วงเธอ จนได้ยินเสียงประตูห้องปิดลง ดวงตากลมโตค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงช้าๆ ความเย็นของเครื่องปรับอากาศพาเคลิบเคลิ้มและเกือบหลับไหล


หญิงสาวจมอยู่กับความคิดที่ว่าจะมีนางแบบอีกคนมาทำงานร่วมกับขวัญใจของเธออย่างใกล้ชิดสนิทสนม พลางคิดไปไกลว่าฟาโรจะมีท่าทีร้ายกาจกับนางแบบเหล่านั้นอย่างไรบ้าง หรือการกระทำหยาบกร้านจะแสดงออกแค่กับเธอและทีมงานเท่านั้น


เสียงเคาะประตูทำลายความคิดกลางอากาศ ศศิชาดึงตนเองลุกขึ้นและเดินไปยังประตูห้องอย่างนึกบ่นในใจ หรือเพื่อนของเธอจะลืมของเอาไว้จึงต้องย้อนกลับมาอีกครั้ง ลูกปิดถูกคลายล็อกซึ่งนลัทกดปิดไว้ให้ก่อนออกจากห้องเมื่อครู่นี้


“ลืมอะไร...ล่ะ” ยังไม่ทันพูดจบประโยคเธอก็ต้องตะลึงเมื่อบุคคลตรงหน้าไม่ใช่นลัทอย่างที่คาดเดาเอาไว้ แต่กลับเป็นชายร่างสูงที่ยืนมองเธอด้วยรอยยิ้มละมุนจนต้องอุทานเบาๆ‘ฟาโร’


“ขอเข้าไปหน่อยได้ไหม” เสียงทุ้มกล่าวอย่างเว้าวอนจนคนฟังรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก


“เอ่อ...คือ...” ระหว่างที่หญิงสาวยืนอึกอักไม่แน่ใจ ผู้มาเยือนก็รีบแทรกกายเข้ามายืนในห้องพร้อมปิดประตูกดล็อคเรียบร้อย และโผเข้าโอบกอดร่างบอบบางไว้แนบแน่นจนศศิชาตกตะลึงหนักกว่าเดิม


“ฉันขอโทษที่เคยพูดจาไม่ดีใส่เธอ อภัยให้ฉันได้ไหม” อ้อมแขนกระชับแน่นจนรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ค่อยๆ ร้อนขึ้นเรื่อยๆ จากอุณหภูมิในร่างกายจนแผ่ซ่านไปทั้งเรือนร่าง ใบหน้าร้อนผ่าวราวกับคนกำลังจะเป็นไข้ เรี่ยวแรงที่คิดจะผลักไสกลับเลือนหายจนต้องยืนนิ่งให้เขากอดอยู่แบบนั้น โดยพูดอะไรไม่ออกสักคำ


คนตัวสูงผละห่างพร้อมคลายแรงกอดแต่ยังไม่ปล่อยวงแขนเสียทีเดียว ทำให้เธอที่ยืนอึ้งอยู่ในอ้อมแขนนั้นตกตะลึงหนักกว่าเดิม ราวกับถูกเวทย์มนตร์ทำให้ขยับเคลื่อนไหวไม่ได้


“ฉันนอนคิดทั้งคืน ว่าความรู้สึกแย่ๆ ที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพราะฉัน...ชอบเธอ” ศศิชาเบิกตากว้าง จ้องมองไปยังดวงตาทรงเสน่ห์สีฟ้าน้ำทะเลที่สั่นไหวเป็นประกาย ทำให้หัวใจของเธอหวั่นไหวตาม


ใบหน้าคมคายค่อยๆ โน้มลงมาใกล้จนลมหายใจอบอุ่นรดรินใส่ข้างแก้ม เพิ่มจังหวะการเต้นของหัวใจให้ถี่รัวและรุนแรงมากขึ้นจนแทบระเบิด ศศิชาพยายามคิดว่าทุกอย่างเป็นเพียงภาพลวงตาและไม่ใช่ความจริง แต่ยังไม่ทันได้หาสาเหตุ ร่างกายของเธอก็ถูกช้อนอุ้มจนต้องรีบคว้าคอของฟาโรเอาไว้แน่นอย่างไม่ทันตั้งตัว ทั้งที่ตกใจจนอยากกรีดร้องแต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกจากลำคอสักนิด


น้ำเสียงแผ่วข้างใบหูย้ำซ้ำๆ ว่า ‘ขอโทษ’ ทุกอย่างอื้ออึงสับสนจนไม่รับรู้สิ่งใดนอกจากความหวิวไหวที่ปั่นป่วนอยู่ภายในจิตใจจนแทบขาดรอน ริมฝีปากอบอุ่นรุกไล้บนแก้มนวลอย่างอ่อนโยน พาหลงเคลิ้มลืมตัวว่าทุกสิ่งอาจเป็นเพียงภาพลวงตา


แผ่นหลังแตะถูกความนุ่มนวลบนเตียงนอน เมื่อเขาค่อยๆ วางเธอลงอย่างทะนุถนอม เพราะความอ่อนโยนอย่างนี้หรือเปล่า หญิงสาวหลายคนจึงถูกเขาครอบครองหัวใจเฉกเช่นเธอเวลานี้ ซึ่งหลงใหลไปกับความอบอุ่นบนเรือนร่างราวกับอยู่ในความฝัน ล่องลอยไกลโดยไม่คิดต่อต้าน แต่กลับปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจ ไม่ว่าจะเป็นริมฝีปากอบอุ่นที่ซุกไชร้ตามซอกคอ หรือฝ่ามือร้อนผ่าวที่แตะสัมผัสและลูบไล้ไปตามร่างกายก่อนจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าอาภรณ์จนเปลือยเปล่า พร้อมยินยอมตกเป็นของเขาในที่สุด


‘ฟาโร’ เสียงแผ่วในลำคอหลุดเรียกชื่อชายหนุ่มที่มอบความสุขและความวาบหวามให้อย่างยากที่จะลืมเลือน ร่องรอยของความอบอุ่นยังคงวนเวียนอยู่บนเรือนร่างจนอยากสัมผัสอีกครั้ง ศศิชากระชับอ้อมแขนเต็มแรงกอด แต่มันกลับนุ่มนิ่มเกินกว่าจะเป็นร่างของบุรุษที่เคยกอดก่ายก่อนหน้านี้


ความผิดปกติดึงให้เธอลืมตามองรอบบริเวณ แสงสว่างนอกหน้าต่างค่อยๆ หรี่ลงจนเกือบจะมืดมิดเต็มที มือควานหาแว่นใส่ก่อนจะพลิกกายไปอีกฝั่ง และต้องผงะตกใจดีดร่างกายลงจากเตียงนอนอย่างกะทันหัน เมื่อมีบุรุษผู้คุ้นเคยนั่งกอดอกอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียงของเธอ


“ซันเซ็ท! นายมานั่งทำอะไรตรงนี้ ฉันตกใจหมดเลย!” เมื่อความตื่นเต้นค่อยๆ เลือนหายทำให้ศศิชานึกถึงชายหนุ่มอีกคนขึ้นมา เธอกวาดสายตามองไปรอบห้องที่เกือบมืดสลัวเต็มทีก่อนจะหันมามองซันเซ็ทด้วยความแคลงใจ “นายมานั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ตอนไหน” ความใคร่รู้สั่งให้เธอถามไถ่ หรือซาตานตนนี้จะคิดไม่ซื่อ แอบมาดูมนุษย์มีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ศศิชาสาวเท้าเดินไปดูที่ห้องน้ำเผื่อจะพบบุคคลที่หายสาบสูญตามความคิดของเธอ


“ฉันมาได้สักพัก ว่าแต่เธอหาอะไรอยู่”


“ฟา...เอ่อ” ศศิชาหยุดคำพูดเมื่อนึกได้ว่าคงไม่เหมาะหากจะบอกว่าเคยมีผู้ชายอีกคนอยู่ในห้องนี้ และหนำซ้ำยังสานสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง ทว่าเธอกลับฉุกคิดระหว่างกดเปิดสวิทต์ไฟในห้องน้ำ หรือสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นแค่ฝันไป ทุกอย่างอาจไม่ใช่เรื่องจริง หญิงสาวทบทวนเรื่องราวก่อนจะเผลอหลับ ความฟุ้งซ่านคงทำให้คิดถึงฟาโรจนฝันไปไกลอย่างนั้น


“ฟาโร ซันเซ็ทย้ำคำที่ขาดหายพร้อมระบายยิ้มขำขัน


“อย่าบอกนะว่าทุกอย่างเป็นความฝัน” ศศิชาพึมพำกับตนเองพร้อมพ่นลมหายใจ และเดินกลับมายังเตียงนอนเพื่อนั่งหย่อนกายใกล้ๆ เจ้าชายรัตติกาลของเธอ


“มีอะไรในความฝันอย่างนั้นหรือ ดูเธอเสียดายชอบกล”


“เอ่อ...ปะ เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” ท่าทางมีพิรุธทำให้บุรุษด้านข้างหัวเราะอีกครั้ง “นายขำอะไร รู้หรือไงว่าฉันฝันอะไร” แม้ทุกอย่างจะเหมือนเรื่องจริง แต่มันก็เป็นแค่ความฝันที่ลวงตาลวงความรู้สึกเท่านั้น แต่เหตุใดความอบอุ่นยังคงอยู่ราวกับมันไม่ได้เลือนหายไปกับความฝันเหล่านั้นสักนิด


“ฉันแค่แวะมาบอก คำขอของเธอจะเป็นจริงเร็วๆ นี้” ศศิชาชำเลืองมองบุรุษในเงาสลัว เกิดเย็นสันหลังวาบ พาให้นึกถึงข้อแลกเปลี่ยน หากเธอได้สมหวังตามที่ต้องการ แล้วเธอต้องเสียอะไรกับการแลกเปลี่ยนครั้งนี้


“นายบอกฉันได้หรือเปล่าว่าฉันต้องสูญเสียอะไรไป” หญิงสาวผู้ตั้งคำถามเริ่มกลัวในคำตอบ


“มันยังไม่ถึงเวลาที่เธอต้องรู้ แต่เธอไม่ต้องกลัวว่าการสูญเสียจะเกิดขึ้นทันที ในเมื่อความต้องการของเธอยังต้องแลกมาด้วยความเสียใจส่วนหนึ่ง และความเสียใจเหล่านั้นอาจบั่นทอนให้การสูญเสียชีวิตของคนที่เธอรักลดน้อยลงก็ได้ มันขึ้นอยู่กับสิ่งที่เธอจะได้รับหลังจากนี้”


ศศิชาแอบคิดว่าสิ่งที่ได้รับรู้อาจเรียกว่าข่าวดี หากเธอยินยอมรับความเสียใจให้ได้มากที่สุดเพื่อการได้ฟาโรมาครอบครอง เธออาจไม่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักอย่างที่กังวลอยู่


“แสดงว่าถ้าฉันต้องเสียใจมากๆ แรงดึงดูดอาจช่วยให้ฉันไม่ต้องสูญเสียใครไปก็ได้ใช่ไหม” ซันเซ็ทจ้องมองหญิงสาวตรงหน้านิ่งๆ ไม่มีรอยยิ้มอย่างที่เคยปรากฏก่อนหน้านี้


“ก็อาจเป็นได้”


“นายคงไม่หลอกให้ฉันดีใจเล่นหรอกนะ”


“กฎทุกอย่างมันอยู่ที่เธอ” ซันเซ็ทหลบสายตามองต่ำ “ช่วงนี้ฉันอาจแวะมาหาเธอบ่อยไม่ได้ แต่ฉันจะเฝ้าดูเธอใกล้ๆ และปกป้องเธอ”


เสียงเปิดประตูดังขัดจังหวะดึงศศิชาให้หันมอง นลัทนำคีย์การ์ดเสียบใส่ช่องเก็บพร้อมกับถอดรองเท้าก่อนที่แสงสว่างจากหลอดไฟจะติดทั่วทั้งห้องโดยอัตโนมัติ หญิงสาวรีบหันกลับมามองเพื่อนต่างโลก ทว่ากลับไม่มีเขาอยู่ในห้องนั้นอีกแล้ว


“เมื่อกี้คุยโทรศัพท์หรือเปล่า ซีได้ยินเสียงแว่วๆ”


“เปล่านี่ ดี้เพิ่งตื่น” ศศิชากล่าวนิ่งๆ อย่างหน้าตาย ทั้งที่เธอเพิ่งพูดคุยกับเจ้าชายรัตติกาลเมื่อครู่นี้ แต่คงบอกความจริงให้เพื่อนสนิทรับรู้ไม่ได้เป็นอันขาด นลัทคงกล่าวหาว่าเธอบ้า หรือไม่ก็คงว่าเพ้อเจ้อ เหมือนทุกครั้งที่เธอเคยพูดถึงซันเซ็ทให้ฟัง


“หลับสบายไหม ซีแวะมาตอนบ่ายเห็นปลุกไม่ตื่นเลยปล่อยให้นอนต่อ หิวหรือยัง คนอื่นรอกินอาหารเย็นกันอยู่ เจ๊มะดันแอบบ่นว่าเลดี้ไม่ไปช่วยเมคอัพเลย ดูท่าเจ๊แกไม่อยากยุ่งกับนางแบบสวยๆ น่ะ”


“งั้นเหรอ ดี้ก็ไม่อยากยุ่งกับพวกนางสักเท่าไหร่ ให้เจ๊มะดันจัดการก็ดีแล้วนี่” ศศิชายักไหล่ เบ้ปาก ทำหน้ายุ่งใส่เพื่อนสนิทที่เดินมาขยี้ผมเบาๆ ก่อนจะดึงมือเธอให้ลุกขึ้นจากเตียงนอน


“ไปกินข้าวได้แล้ว ซีหิวแล้วล่ะ”


“โอเคๆ ขอเวลาสองนาที ล้างหน้าแปบ” นลัทปล่อยมือเพื่อนให้เธอได้ทำภารกิจส่วนตัว ก่อนจะออกจากห้องพักเพื่อไปรับประทานอาหารเย็นที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้สำหรับทีมงานที่เข้ามาใช้บริการยังสถานที่แห่งนี้


To be continued...




Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2557
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2557 20:13:00 น.
Counter : 584 Pageviews.

2 comments
  
สวัสดียามค่ำครับ

มาติดตามมนตราซาตาน... บทที่ 13 ด้วยครับ
โดย: **mp5** วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา:20:28:29 น.
  
ปอมมาแปะใจให้คุณหญิงภัค นะคะ

ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
โดย: กาปอมซ่า วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา:21:52:48 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มาโซคิส
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



เ ร า ต่ า ง กั น แ ส น ไ ก ล

Blood A_Blood Type Series
เรียบง่าย อยู่บนเหตุและผล สันติ ยุติธรรม

ถ้าในฝันนั้น.. ฉันได้มีเธอ.. ขอนอนหลับไม่ตื่นได้ไหม..
เ ว ล า คิ ด ถึ ง ใ ค ร บ า ง ค น ม า ก ๆ อ ย า ก ดึ ง เ ค้ า อ อ ก ม า จ า ก โ ล ก แ ห่ ง ค ว า ม ฝั น แ ล้ ว ก อ ด ซ ะ !! ใ ห้ ห า ย คิ ด ถึ ง





หากวันใด อ่อนแอ ท้อแท้ ผิดหวัง ให้ลองย้อนนึกถึงวันที่เคยตะเกียกตะกาย . .



ถ้าคนๆ หนึ่ง มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เรายิ้มออกมาได้โดยไม่ตั้งใจ.. มานก็ไม่แปลกเลยที่เขาสามารถทำให้เราน้ำตาไหลได้โดยไม่รู้ตัว..

Online Now




New Comments